รอจนเข้าไปในห้องแล้ว เซี่ยซื่อก็ยื่นมือไปถอดเสื้อคลุมให้ผู้เฒ่าหนิง “นายท่านเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาสักชุดนะเจ้าคะ เมื่อกินข้าวเสร็จ ขณะที่พักผ่อนจะได้สบายเจ้าค่ะ”
หนิงเหล่าเหยียถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สีหน้าเย็นชาอย่างต้องปฏิเสธผู้คนด้วยท่าทีห่างเหิน พร้อมจ้องมองเซี่ยซื่อด้วยนัยน์ตาคมปลาบคู่หนึ่ง พลางแค่นเสียงเย็น
เซี่ยซื่อใจกระตุก สีหน้าอบอุ่นเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางเค้นรอยยิ้มออกมา “นายท่านยุ่งมาทั้งวัน คิดว่าท่านน่าจะหิวแล้ว กินอาหารก่อนเถอะนะเจ้าคะ…”
“ไม่ต้องหรอก” หนิงเหล่าเหยียยกมือขึ้นหยุดคำพูดของนาง
หมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างคุ้นชินกับการดูทิศทางลมและสายตา ตอนนี้นายท่านหนิงสีหน้าไม่เป็นมิตร จึงให้สาวใช้และผอจื่อที่คอยปรนนิบัติถอยออกไปก่อน
“นายท่าน ท่านเป็นอันใดหรือเจ้าคะ ผู้น้อยกระทำสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ…”
หัวหน้าตระกูลหนิงแววตาคมกริบ ภายในเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่ซัดสาด ทว่าน้ำเสียงกลับราบเรียบเจือไปด้วยแววเย้ยหยัน “อาหารของเจ้า ข้าไร้วาสนาที่จะได้ลิ้มรส วันนี้ที่ข้ามา เพียงแค่มาเตือนเจ้า”
เซี่ยซื่อคือฮูหยินของหนิงเหล่าเหยีย เป็นมารดาเลี้ยงของเซ่าชิง ถ้าหากว่าจัดการมารดาเลี้ยงทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด ในสายตาของผู้อื่นล้วนเป็นคนใจแคบที่มีความแค้นเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องชำระ
แววตาคมกริบนั้นทำให้หัวใจของเซี่ยซื่อร่วงลงสู่ก้นหุบเขา กล่าวว่าไร้วาสนาที่จะได้ลิ้มรสชาติอาหารของนาง แต่บอกใบ้ว่ารู้ถึงการกระทำทั้งหมดของนาง เขาไม่ได้กล่าวออกมาตามตรง และไม่สอบถาม แต่กลับทำให้นางสะท้านใจยิ่งกว่าการเอ่ยถาม
เซี่ยซื่อไม่พอใจ ทว่ากลับรู้สึกว่าไม่สามารถสบสายตานั้นตรงๆ ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงต่ำ “ข้าน้อมรับการตักเตือนของหนิงเหล่าเหยียเจ้าค่ะ”
หนิงเหล่าเหยียสีหน้าเย็นชาราวกลับน้ำค้างแข็ง น้ำเสียงก็มีแววเย้ยหยัน “เจ้าอย่านึกว่าผู้อาวุโสแปดสิ้นชีพไปแล้ว ข้าจะไม่มีหนทางจัดการเจ้า ถ้าหากว่าข้าคิดจะจัดการเจ้า ก็มีวิธีเป็นพัน คนซื่อสัตย์สุจริตไม่กล่าวคำลวง เรื่องพวกนั้นเจ้าสามารถทำมันออกมาได้ ทว่าข้ากลับพูดไม่ออก และไม่อยากจะพูด”
เพียงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็มากพอแล้ว ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ อดีตหัวหน้าตระกูลผู้นี้ก็โทษว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของนางแล้ว นางโต้แย้งไปก็ไร้ประโยชน์
เซี่ยซื่อหวาดกลัว อึดอัดใจ และพูดไม่ออก
หนิงเหล่าเหยียยิ้มเย็นไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ครู่หนึ่ง ยังคงเป็นหนิงเหล่าเหยียที่ทำลายความนิ่งเงียบนี้ลง
“ชิงเอ๋อร์เห็นแก่หน้าข้า จึงไม่สืบสาวเอาความเรื่องก่อนหน้านี้ เจ้าไม่มีความรู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือ” หนิงเหล่าเหยียมองเซี่ยซื่ออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
หลายปีมานี้ เขาไม่เคยเชื่อใจนางอย่างแท้จริง และไม่เคยมีความรู้สึกระหว่างชายหญิงกับนาง คราแรกที่แต่งนางเข้ามา ก็เป็นเพราะบิดาและพี่ชายนางทั้งหมดล้วนสิ้นชีพเพราะตนเอง เขารับปากคำขอร้องของพวกเขาก่อนตายว่าจะให้ฐานะและชื่อเสียงกับนาง
ไม่ว่าในนั้นจะมีเบื้องลึกอันใด แต่บุญคุณในการช่วยชีวิตนั้นเป็นความจริง นางให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ตระกูลหนิงก็เป็นความจริง วันนี้ถ้าหากว่านางรู้จักกาลเทศะก็จะละเว้นนางสักครั้ง เป็นการตอบแทนบุญคุณในวันนั้น
ในเมื่อเขาเชื่อมั่นเช่นนี้ คราวนี้คิดว่าคงจะไม่ปล่อยนางไปอีก ตอนนี้เซี่ยซื่อมีท่าทีสงบนิ่ง ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ในใจท่านเคยมีข้าบ้างไหม”
คราแรกที่นางแต่งเข้ามา ก็เคยรักอย่างสุดใจ เพียงแต่ถูกเมินเฉยอย่างยาวนาน ทำให้ในใจนางเกิดความเกลียดชัง ความอาฆาตแค้น หลังจากนั้นถึงได้บ่มเพาะความอาฆาตแค้นนั้นเป็นสุราพิษ
ในเมื่อไม่ได้รับความรัก เช่นนั้นก็ช่วยให้บุตรชายได้ขึ้นรับตำแหน่ง จนได้รับอำนาจและฐานะ…
คิดไม่ถึงว่าเซี่ยซื่อจะถามเช่นนี้ หนิงเหล่าเหยียชะงักไปเล็กน้อย เดิมไม่อยากจะตอบคำถาม แต่เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยซื่อแล้ว ในใจก็รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก จึงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ชั่วชีวิตนี้คนที่เหมาะสมคู่ควรกับข้ามีเพียงคนเดียว นางให้กำเนิดบุตรชายคนโตแด่ตระกูลหนิงของข้า นางต่างหากที่เป็นภรรยาที่ข้าหนิงปั๋วเทายอมรับเพียงหนึ่งเดียวจากการปฏิบัติตามขั้นตอนสามหนังสือ หกพิธีการ[1]”
แม้ว่าจะไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ แต่ความหมายโดยนัยกลับชัดเจนถึงที่สุด
เอ่ยจบแล้ว หนิงเหล่าเหยียก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ที่เขามาในวันนี้ไม่ได้มาสนทนาเรื่องความรู้สึกรักใคร่อะไรนั่น
“อวี่เอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของข้า ส่วนเจ้าแม้เป็นแค่ห้องข้าง แต่ก็เป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูลที่เคยจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอวี่เอ๋อร์ และเคยเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งของตระกูลหนิง เพื่อไม่ให้อวี่เอ๋อร์ถูกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น เพื่อหน้าตาของตระกูลหนิง…ถ้าหากว่าเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง และยังอยากจะให้อวี่เอ๋อร์สามารถใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหนิงได้อย่างสงบแล้วล่ะก็ เจ้าควรจะรู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร…”
เมื่อกล่าววาจาบอกใบ้ที่ชัดเจนเช่นนี้จบแล้ว หนิงเหล่าเหยียก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หัวใจของเซี่ยซื่อที่ดำดิ่งลงก้นหุบเขาถูกความเกลียดชังเต็มเติมในทันที
หลายปีมานี้ นางได้อะไรจากการอยู่ในตระกูลหนิง ตำแหน่งฮูหยินหัวหน้าตระกูลคนหนึ่งที่กลวงเปล่า ทั้งยังเป็นแค่ตัวตายตัวแทนเท่านั้น
มิน่าหลังจากที่หนิงเซ่าชิงขึ้นรับตำแหน่ง พวกเขาถึงไม่ได้ทำโทษอะไรนาง ที่แท้พวกเขาพ่อลูกสองคนก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของนาง และก็ไม่ได้ให้อภัยนาง และไม่ได้หาหลักฐานไม่พบ
พวกเขาจะจัดการนางไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เพียงแค่ต้องการข้ออ้างหนึ่งในการอุดปากผู้คนในใต้หล้า พวกเขาไม่จัดการนาง เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากนาง สร้างภาพความกลมเกลียวกันในงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี[2]เมื่อหลายวันก่อน
ความจริงแล้ว นางรู้ดีอยู่แก่ใจนานแล้ว
ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาสิบกว่าปีระหว่างหนิงเหล่าเหยียกับนาง เขาเคยปฏิบัติต่อนางดีๆ ด้วยเมื่อไรกัน เขามันคนโหดเหี้ยมใจร้าย วันนี้เมื่อผ่านเรื่องนี้ไปก็ไม่ยอมให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในตระกูลหนิงอีกเป็นแน่
เป็นสตรีที่แต่งเข้ามาแทนสตรีที่เสียชีวิตไป! เป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูลที่เคยจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ!
ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า!
ถ้าหากว่าโทษฐานการวางยาพิษฆ่าสามีตัวเอง วางยาพิษฆ่าบุตรชายของภรรยาเอกกลายเป็นความจริงขึ้นมา จนต้องประหารนางผู้เป็นฮูหยินของตระกูลนี้ต่อหน้าผู้คน ตระกูลหนิงของเขาแบกรับความอับอายเช่นนี้ไม่ไหว ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงยังไม่ยอมแพ้เสียที ยังจะถามคำถามนั้น ทำให้ตนเองอับอาย
เหล่าสตรีที่เคยได้รับความชื่นชอบในเรือนหลัง เหล่าสตรีที่เคยปีนขึ้นมาเหยียบหัวนางด้วยความกำเริบเสิบสานพวกนั้น เกรงว่าในใจเขาก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
จางอี๋เหนียงอะไรนั่น เสียนอี๋เหนียงอะไรนั่น นางคณิกาชั้นสูงรูปโฉมงดงามเน้นขายศิลปะที่มีคนมอบให้เมื่อสิบปีก่อนอะไรนั่น ในสายตาของบุรุษผู้นี้ ก็เหมือนกับบุปผาที่ปลูกในอุทยานดอกไม้ อารมณ์ดีก็มองมากหน่อย แต่ผู้ที่อยู่ในใจจริงๆ จนสามารถทำให้เขามองนานมากขึ้นกว่านี้ เห็นว่าคู่ควรกับเขา ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีเพียงแค่คนเดียว!
และที่น่าเสียดสีที่สุดก็คือ สตรีผู้สามารถทำให้บุรุษที่เย็นชาโหดเหี้ยมคนนี้มองนางมากขึ้นแวบหนึ่งจนกล่าวว่าเป็นสตรีที่คู่ควรกับตนเอง ก็คือมารดาของหนิงเซ่าชิง สตรีที่ดวงซวยอายุสั้นคนนั้น
ช่างน่าหัวเราะเสียจริง!
แต่เหตุผลที่เขากล่าวกับนางกลับเป็น นางให้กำเนิดบุตรชายของพวกเขา นางต่างหากที่เป็นภรรยาที่เขายอมรับเพียงหนึ่งเดียวจากการปฏิบัติตามขั้นตอนสามหนังสือ หกพิธีการ
นี่คือความรู้สึกของหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่คนหนึ่ง เย็นชา! โหดเหี้ยม! และเด็ดขาดอย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ!
ตอนที่เท้าของหนิงเหล่าเหยียจะก้าวเข้ามาในเรือนหลัก เซี่ยซื่อก็คิดตกแล้ว จึงรีบก้าวขึ้นไป “ข้าสมัครใจย้ายเข้าไปในวัดประจำตระกูลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เพื่อสวดภาวนาให้ตระกูลหนิงมีความเจริญ เพื่อขอพรให้หนิงเหล่าเหยียมีความสุข ขอเพียงแค่ตระกูลหนิงสงบสุข ขอให้อาการป่วยของหนิงเหล่าเหยียหายป่วยเร็วๆ”
หนิงเหล่าเหยียไม่ได้หันหน้ากลับไป แต่เท้าที่จะก้าวออกนอกประตูกลับชะงัก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หาได้ยากที่เจ้าจะรู้ความ ก่อนไปก็ไปพบเซ่าอวี่เสียหน่อย ในภายหน้าหากไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปพบจะดีกว่า”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ ในภายหลังนางก็ใช้ชีวิตอยู่ในวัดประจำตระกูล หลังจากนี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้ออกมา กระทั่งบุตรชายก็ไม่ต้องพบหน้า
เซี่ยซื่อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เขากระทำการใด ถ้าหากไม่เด็ดขาด เขาก็ไม่ใช่หนิงปั๋วเทา ในเมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็จะไม่ลังเลอีก “เจ้าค่ะ”
“เจ้าสามารถมองสถานการณ์ออกเช่นนี้ ก็จะไม่ถือสาเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อพบกับเซ่าอวี่ก็บอกเขาด้วยว่า สายใยพี่น้องตัดกันไม่ขาด ไม่จำเป็นต้องพะวงใจอยู่ตลอดเวลา”
[1] สามหนังสือ หกพิธีการ เป็นบรรทัดฐานของธรรมเนียมนิยมการแต่งงานของจีน ซึ่งเป็นกระบวนการที่คู่บ่าวสาวจะต้องปฏิบัติตามอย่างครบถ้วน เพราะหลังจากที่เสร็จสิ้นขั้นตอนหมดนี้จะถือว่าการแต่งงานเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นทางการ โดยที่ฝ่ายชายจะต้องมอบเทียบหมั้น เทียบสินสอด เทียบเชิญเจ้าสาว ให้กับฝ่ายหญิง และเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ก็จะปฏิบัติตามธรรมเนียมดังต่อไปนี้ ทาบทาม ถามชื่อ ดูดวงสมพงศ์ หมั้น ดูฤกษ์ และรับตัวเจ้าสาว
[2] หลิวสุ่ยสี เป็นงานกินโต๊ะที่อาหารทุกจานต้องมีน้ำซุป และจะต้องทำการเสิร์ฟอาหารโดยไม่ขาดตอน ประหนึ่งสายน้ำไหล จึงได้รับการเรียกขานว่างานเลี้ยงสายน้ำไหล