“เจ้าค่ะ”
หนิงเหล่าเหยียได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ก็หันหน้ากลับไปด้วยอย่างเหยียดหยาม และในเวลาเดียวกันกับที่เท้าก้าวออกไปอีกครั้ง ก็สั่งการเสียงเย็นว่า “ใครก็ได้ มอบความตายให้กับหลี่หมัวมัว!”
มีคนก้าวเข้าไปบีบคอของหลี่หมัวมัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หลี่หมัวมัวยังไม่ทันได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือออกมากสิ้นชีพ ล้มลงไปนอนกับพื้นแล้ว
เซี่ยซื่อกำมือแน่น กัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด โดยไม่เอ่ยพูดอะไร ถ้าหากว่านางไม่ตาย แม้ว่าตนเองจะไปวัดประจำตระกูลแล้ว ก็เกรงว่าหนิงปั๋วเทาคงจะไม่วางใจเช่นกัน
ดูท่า การที่ตนไปวัดประจำตระกูลเป็นการเลือกที่ถูกต้อง ถ้าหากว่าเมื่อครู่ยังไม่เอ่ยปากพูด ก็เกรงว่าจะยอมให้อีกไม่กี่วัน ไม่เพียงแต่หมัวมัวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อ นางเองก็ต้องสิ้นชีพกะทันหันเช่นกัน
เมื่อหนิงเหล่าเหยียจากไป เซี่ยซื่อก็ให้คนไปเรียกหนิงเซ่าอวี่มาทันที
นางไม่ได้อธิบายสาเหตุการเดินทางไปวัดประจำตระกูลอะไรมากนัก หนิงเซ่าอวี่เป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ สำหรับเรื่องนี้เขาไร้ความสามารถ จึงไม่ได้ถามอะไรมากมายเช่นกัน
เซี่ยซื่อพูดถึงเรื่องที่เป็นห่วงอื่นๆ มากมาย พูดในสิ่งที่หนิงเหล่าเหยียฝากนางให้บอกต่อ และกำชับเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพอะไรเหล่านี้
แต่เป้าหมายที่แท้จริงของนาง ก็คือการมอบป้ายคำสั่งให้กับเขา หลังจากนั้นก็เขียนคำพูดที่ต้องการจะพูดลงบนกระดาษต่อหน้าหนิงเซ่าอวี่ รอจนหนิงเซ่าอวี่เห็นชัดเจนแล้ว นางก็กลืนกระดาษแผ่นนั้นลงไป และไล่เขาออกไป หนิงเซ่าอวี่รู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ นางกลัวว่าจะมีคนแอบฟังอยู่ในที่ลับ
ยามที่ก้าวออกจากเรือน หัวใจหนิงเซ่าอวี่หนักอึ้งมาก นึกถึงคำพูดที่เขียนอยู่บนกระดาษเหล่านั้น ในใจก็ครุ่นคิดอย่างไม่รู้ตัว
ความรู้สึกหนักอึ้งของเขาไม่ได้เป็นเพราะเซี่ยซื่อต้องไปวัดประจำตระกูลทั้งหมด แต่เป็นเพราะต้องตื่นจากฝันอันงดงาม วางแผนมาเนิ่นนานกลับสู้เขาที่กลับมาเพียงไม่กี่วันไม่ได้ น่าชิงชังที่สุด…
ทำไมกัน เพราะเหตุใดกัน เพียงแค่เพราะเขาเกิดก่อนเขา เขาจึงได้รับความรักจากบิดา เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากจงเหล่ากับผู้อาวุโสของตระกูลให้เป็นหัวหน้าตระกูล และเป็นศูนย์รวมความสนใจทั้งหมด…
ตอนเยาว์วัยเป็นเช่นนี้ เติบใหญ่แล้วก็ยังคงเป็นเช่นนี้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านหน้า จึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทว่ากลับพบเห็นคนคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องมาทางนี้ แสงอาทิตย์ยามบ่ายด้านหลังเรืองรองราวกับเส้นใยสีทองนับพันสาดส่องอยู่รอบกายเขา ทอประกายระยิบระยับ โดดเด่นสะดุดตา
ลวดลายที่ปักด้วยดิ้นทองบริเวณปกคอเสื้อและชายแขนเสื้อ ทำให้รอบกายเขามีกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ยากจะเทียบเทียมได้ พลังอำนาจที่ราวกับดูหมิ่นทุกสิ่งอย่างเป็นธรรมชาติตรงหว่างคิ้ว จึงยิ่งสร้างความรู้สึกกดดันให้ผู้คนคุกเข่าเชื่อฟังคำสั่งเขาอย่างอดไม่ได้
ความอิจฉาของหนิงเซ่าอวี่ปะทุขึ้นในใจจนข่มเอาไว้ไม่อยู่ไปชั่วขณะ
เดิมทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของเขา
คนตรงหน้าเขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหนิงเซ่าชิง พี่ชายของเขา ศัตรูที่เขาเกลียดมากที่สุด
ใช่แล้ว ศัตรู
บุตรชายภรรยาเอก เก่งกาจ สายเลือดสูงส่ง ทอแสงราวกับแสงอาทิตย์บนยอดเขาที่สาดส่องไปทั่วตระกูลหนิง ภายใต้ความเจิดจ้าเป็นประกายเช่นนั้น ทุกคนล้วนหม่นหมองไร้สีสัน
บิดาดูแลเขาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า รักและทะนุถนอมเป็นอย่างมาก อบรมสั่งสอนเขาไปบนเส้นทางการเป็นหัวหน้าตระกูลตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เขาล้วนใช้สิ่งที่ดีที่สุด
วิชาความรู้ ฝึกวิทยายุทธ์ เทศนาคำสอน มีศีลธรรม ทำตัวว่ามีวิทยายุทธ์ มีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์เล็กน้อย ช่ำชองการใช้กลยุทธ์ทางการทหารครึ่งๆ กลางๆ ก็จับดาบถือปืนจริงๆ ออกไปสร้างศักดินาและชื่อเสียงให้กับตระกูลตั้งนานแล้ว…
แต่ว่า เขาล่ะ…
ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด บิดาก็ไม่เคยมองเขาตรงๆ ไม่เคยกล่าวชื่นชม และไม่เคยยิ้มให้เขาสักครั้ง
ไม่รอให้หนิงเซ่าชิงเดินเข้ามาใกล้ หนิงเซ่าอวี่ก็ปรับสีหน้าบูดบึ้งให้กลายเป็นสีหน้ายิ้มแย้มที่มีความประหลาดใจระคนยินดีออกมา
เขาหยุดนิ่ง รอให้หนิงเซ่าชิงเดินเข้ามาใกล้ และเอียงกายถอยให้ พลางไถ่ถามทุกข์สุข “ระยะนี้พี่ใหญ่สบายดีหรือไม่”
ตระกูลหนิงเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่กำทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ในมือ แม้ว่าที่พักอาศัยจะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนพระราชวัง แต่กลับมีเรือนพักมากกว่าสามพันเรือน อีกทั้งจำนวนยังขยายไปเรื่อยๆ กว้างใหญ่มาก
หนิงเซ่าชิงที่เป็นหัวหน้าตระกูล ก็ย้ายไปอาศัยในเรือนของหัวหน้าตระกูลโดยเฉพาะแล้ว เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ภารกิจก็มากมาย ปกติแล้วแทบจะไม่ได้พำนักอยู่ในเรือนแห่งนี้ โอกาสที่ทั้งสองคนจะได้พบหน้ากันย่อมน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ถ้าหากว่าเป็นหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เมื่อพบกันระหว่างทาง หนิงเซ่าชิงจะยิ้มแย้มโอบกอดเขา และตบบ่าเชื้อเชิญเขาเข้าไปกินอาหารกลางวัน พร้อมกับดื่มสักจอก
ทว่าในวันนี้ สถานภาพทางสังคมเปลี่ยนแปลง ในใจหลงเหลือเพียงแค่ความโศกเศร้าเย็นชา ยังจะมีความประทับใจที่ไหนอีก
หนิงเซ่าชิงกวาดตามอง หนิงเซ่าอวี่ที่อยู่ด้านขวาตรงหน้าแวบหนึ่งอย่างไม่ประหลาดใจหรือยินดี มือไพล่หลัง เหลือบตามอง เชิดคางขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เคร่งขรึม และเย็นชาอย่างรวดเร็ว พลังอำนาจของหัวหน้าตระกูลแผ่กระจายออกมา “หลังจากนี้เรียกข้าว่าหัวหน้าตระกูล ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างข้ากับเจ้าถูกตัดขาดไปตั้งแต่เจ้าแทงมีดลงมาในครานั้นแล้ว”
ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่นั้นสูงศักดิ์ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ราชวงศ์ จึงไม่ได้มีกฎระเบียบมากมายดั่งเช่นราชวงศ์ขนาดนั้น ระหว่างพี่น้องแท้ๆ ยังคงเรียกขานกันว่าพี่น้อง ซึ่งให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันอย่างเห็นได้ชัดทว่า พี่น้องที่เกิดจากอนุภรรยานั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกขานเป็นพี่น้องกับผู้เป็นหัวหน้าตระกูลได้อีกเด็ดขาด
หนิงเซ่าอวี่ถูกประโยคนี้ทำให้สำลัก รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นการตบหน้าเขา คิดจะจัดเขาให้เป็นพวกเดียวกันกับบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา แม้ว่าเขาจะเกิดจากสตรีที่แต่งเข้ามาหลังจากที่ภรรยาเอกคนก่อนสิ้นชีพไป แต่เขาก็เป็นบุตรภรรยาเอกเช่นกัน จะไม่มีคุณสมบัติเรียกว่าพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน
วันนั้นเขาไม่ได้เมาจนไม่ได้สติหรอกหรือ ทำไมถึงจำมีดที่แทงเข้าไปในวันนั้นได้ชัดเจนขนาดนี้กัน ถ้าหากมีดในวันนั้นสามารถแทงเข้าไปลึกกว่านี้อีกนิ้วหนึ่งก็คงจะดี
แต่ก่อนหนิงเซ่าชิงมีเพียงแค่รอยยิ้มที่มอบให้เขา ไม่เคยกะเกณฑ์ว่าเขาควรพูดอะไร ยอมถอยให้เขาตลอด เขาทำความผิด กระทั่งคำพูดรุนแรง เขาก็ไม่เคยเอ่ยกับเขาสักประโยคเดียว
วันนั้น หลังจากเขาสลัดมีดสั้นออกด้วยฝ่ามือหนึ่งแล้ว ก็บีบคอตนเองด้วยความเดือดดาล ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน เมื่อได้ยินตนเองเรียกว่าพี่ใหญ่ กลับหยุดมืออดกลั้นต่อความปรารถนาที่จะลงมือฆ่าได้
นึกถึงในอดีต เขามักจะนึกว่า แม้ว่าจะมีมีดที่แทงเข้าไปในวันนั้น แม้ว่าจะมีเรื่องต่างๆ นาๆ ก่อนหน้านี้ การที่เขากลับมาแล้วไม่เอ่ยถึงสักคำ ก็คงจะเป็นคนไร้ประโยชน์ และให้อภัยตนเองราวกับเป็นตุ๊กตาดินเผาตัวหนึ่งเหมือนในอดีตเช่นเคย
ทว่า ตอนที่ถูกนักฆ่าบีบให้จากไป เขากล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ของนอกกายพวกนี้ ในเมื่อเจ้าต้องการ ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน นับจากนี้เจ้ากับข้าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก!’
หึ เชื่อถือไม่ได้ ไร้น้ำใจ!
พูดแล้วว่าจะไม่กลับมาอีก ตอนนี้ไม่เพียงแต่กลับมาเอาทุกสิ่งที่เป็นของเขาคืน ทั้งยังแสร้งทำเป็นตีหน้าเซ่อ และทำให้ตนเองกลายเป็นตัวตลกในตระกูล
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สงบ หนิงเซ่าอวี่ชี้นิ้วไปทางหนิงเซ่าชิงอย่างอดไม่อยู่ “พี่ใหญ่ ท่าน…”
“บังอาจ!”
ไม่รู้ว่าเงาดำเงาหนึ่งโผล่ออกมาจากที่ไหนทางด้านหลัง พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง บีบนิ้วเขาเอาไว้แล้วหักขึ้นไปด้านบน ก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบมาจากข้อนิ้ว นั่นคือเสียงของนิ้วที่ถูกหัก และตามมาด้วยเสียงตวาดด้วยความโมโห “หัวหน้าตระกูลฐานะสูงส่ง จะยอมให้เจ้าชี้นิ้วใส่ตามใจชอบได้อย่างไร…”
“เตาหนู ถอยไป!” เสียงของหนิงเซ่าชิงดังขึ้นทันที ทหารองครักษ์ชุดดำที่ถูกเรียกว่าเตาหนูถึงได้ปล่อยนิ้วของหนิงเซ่าอวี่ พลางรับคำว่า “ขอรับ” พร้อมกับถอยไปยืนนิ่งอยู่ด้านหลังหนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าอวี่เก็บนิ้วที่เจ็บปวดกลับมาแล้ว แววตาก็ปรากฏคลื่นแห่งความเกลียดชังออกมา เมื่อใดกันที่ทาสรับใช้คนหนึ่งสามารถเหยียบหัวตำหนิเขาได้เช่นนี้
การจู่โจมเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่ว่าเขาหลบไม่พ้น แต่เขาไม่อยากหลบ
สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่ มองเห็นได้อย่างดียิ่ง ถ้าหากว่าเขาหลบพ้นหรือว่าประมือกับเตาหนูขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะไม่จัดการเขา ก็เกรงว่าหัวหน้าผู้อาวุโสและเหล่าผู้อาวุโสจะสร้างอำนาจให้กับหัวหน้าตระกูลคนใหม่ โดยการลงมือกับเขาเอง
เขาไม่หลบก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง