ทว่า นางกลับเป็นภรรยาน้องชายเขา
เขาเป็นหัวหน้าตระกูลแล้ว เดิมตนเองก็ควรจะได้ยืนอยู่ข้างกายเขา นั่งเก้าอี้ตำแหน่งฮูหยินอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง แต่ตอนนี้กลับเป็นเพียงแค่ฮูหยินเอกคนหนึ่ง
ทั้งสองคนตำแหน่งต่างกันราวฟ้ากับเหว ความผิดหวัง และโทสะในใจนางจะสงบลงได้อย่างไรกัน
ถ้าหากว่าวันนั้นไม่ได้ไปเที่ยวทะเลสาบ เลินเล่อจนตกลงไปในทะเลสาบแล้วถูกหนิงเซ่าอวี่ช่วยชีวิตขึ้นมา นางที่ร่างกายเปียกปอน สติเลือนรางก็คงไม่ต้องเสียตัวให้กับหนิงเซ่าอวี่อย่างเลอะเลือน
ถ้าหากว่าไม่ได้เสียตัวให้กับหนิงเซ่าอวี่ นางจะถูกหนิงเซ่าอวี่กำจุดอ่อนเอาไว้ได้อย่างไร
ถ้าหากไม่ใช่ว่าถูกหนิงเซ่าอวี่กำจุดอ่อนเอาไว้ ถูกเขาหลอกในระหว่างที่จิตใจเต็มไปด้วยความลังเล นางจะดื่มสุราเมามายจอกนั้นได้อย่างไร จะถูกเป่าหูจากบิดาและพี่ชายที่คะยั้นคะยอให้ดื่มสุราได้อย่างไร…
เรื่องเหล่านี้ ทุกครั้งที่นางหวนคิดถึงครั้งหนึ่งก็จะรู้สึกเสียใจครั้งหนึ่ง
วันนั้นมีพิธีเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล นางเพียงแค่ยืนมองเขาจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง พร้อมทำความเคารพหัวหน้าตระกูลคนใหม่
ส่วนเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น ภายใต้ความหล่อเหลานั้นมีความสง่างาม ภายใต้ความสง่างามแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์ และในความสูงศักดิ์นั้นก็เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ไม่ต้องกล่าววาจาใด เพียงแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ก็ให้ความรู้สึกโดดเด่น แตกต่างจากผู้อื่น และสูงศักดิ์จนมิอาจล่วงเกินได้
มีเพียงบุรุษเช่นนี้ถึงจะเป็นบุรุษที่แท้จริง!
ทว่าเขาที่ยืนอยู่เหนือผู้คน กระทั่งหางตาก็ไม่ได้มองมาทางร่างของนางสักนิด เดิมตำแหน่งข้างกายเขาสมควรจะเป็นของนาง นางควรจะเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในตระกูลหนิง เป็นคนเคียงหมอน…ของเขา
สิ่งที่บิดาต้องการก็คือให้นางกลางเป็นฮูหยินอันดับหนึ่งของตระกูลขุนนางเก่าแก่ จะมาสนใจว่านางชอบผู้ใด แต่งกับใครในระหว่างพวกเขาพี่น้อง เมื่อรู้ว่านางเสียตัว และได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงประสบอุบัติเหตุพอดี ก็รีบกล่าวโทษหนิงเหล่าเหยียให้หัวหน้าตระกูลหนิงเปลี่ยนแปลงการหมั้นหมายทันที
คู่หมั้นของพี่ชายมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับน้องชาย เปลี่ยนจากคนพี่เป็นคนน้องสมเหตุสมผลเสียที่ไหนกัน…บุตรชายคนหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หนิงเหล่าเหยียย่อมไม่ยอมให้บุตรชายอีกคนต้องก่อเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ ไม่ยอมให้ตระกูลหนิงสายตรงก่อเรื่องน่าอับอายเช่นนี้
ทว่าในตอนแรก เรื่องการแต่งงานได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่พิธีสวมกวานของหนิงเซ่าชิงใกล้จะจัดในรอมร่อแล้ว จึงกำหนดว่าจะจัดพิธีแต่งงานไว้สามวันหลังจากนั้น
ดังนั้น สามวันหลังจากนั้นผู้ที่เข้าพิธีแต่งงานกลับกลายเป็นหนิงเซ่าอวี่
ทว่า ในฐานะสตรีก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับในชะตากรรม เกิดเรื่องอื้อฉาวเช่นนั้น จึงต้องตบปากรับคำแต่งงานกับหนิงเซ่าอวี่เท่านั้น
แม้นเพิ่งจะแต่งเข้ามาแต่เพราะนางตั้งครรภ์ หนิงเซ่าอวี่จึงหลับนอนกับสาวใช้ข้างกาย นางย่อมมีโทสะ จึงแท้งบุตรไปโดยปริยาย
ยายแม่มดเฒ่าเซี่ยซื่อผู้นั้นยิ่งน่าโมโหกว่า บอกว่านางแท้งลูก จำเป็นต้องบำรุงรักษาสุขภาพ มอบอนุภรรยามาเพิ่มให้อีกสองคนทันที กล่าวอย่างน่าฟังว่าให้ช่วยนางปรนนิบัติสามีตัวดีด้วยกัน
พวกเขาคิดว่าก่อนที่นางจะให้กำเนิดบุตร นางจะยอมให้สตรีแพศยาสองคนนั้นมีบุตร เพื่อปีนขึ้นมาเหยียบหัวนางเช่นนั้นหรือ ตลกน่ะ!
ตอนที่หนิงเซ่าอวี่เข้ามาในเรือน กุ้ยเสี่ยวซีกำลังเอนตัวนอนอยู่บนตั่งด้วยความฉุนเฉียวเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงหนิงเซ่าอวี่เข้าประตูมา กระทั่งนิ้วก็ยังไม่กระดิกแม้แต่น้อย
นางเกลียด ทำไมวันนั้นคนที่ผ่านริมทะเลสาบไม่ใช่หนิงเซ่าชิง
นางเกลียดที่คนตรงหน้าทำให้นางเจ็บใจที่สูญเสียทุกสิ่งไป
เหลือบมองดูแล้ว เมื่อเทียบกับหนิงเซ่าชิงที่ยืนอยู่เหนือผู้คน สูงศักดิ์ น่าเกรงขามผู้นั้น ท่าทางเช่นนี้ของหนิงเซ่าอวี่ดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด วันนั้นตนเองเสียสติหรือว่าถูกคนวางยา ทำไมถึงได้ยอมรับด้วยความเลอะเลือนเช่นนี้…
นัยน์ตากุ้ยซื่อมีประกายดูแคลนเผยออกมา หนิงเซ่าอวี่ย่อมไม่พอใจ เดิมเขาก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว
เขานั่งลงที่ข้างตั่ง ตวาดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ทำหน้าบึ้งเช่นนี้ทั้งวันให้ใครดูกัน ยังไม่รู้จักลุกขึ้นมาปรนนิบัติ ไปรินน้ำให้ข้าไป”
ถ้าหากไม่ได้มีแผนการที่ท่านแม่เขียนลงบนกระดาษ อย่างไรเขาก็ไม่มีทางมาหาสตรีที่น่าคลื่นไส้ผู้นี้ รูปโฉมงดงามแล้วอย่างไร ปรนนิบัติคนไม่เป็น มีแค่รูปโฉมงดงามจะมีประโยชน์อันใด
เขาไม่ได้มีเพียงแค่นางคนเดียว อนุภรรยาอีกสองนางพยายามตอบสนองเขาอย่างรื่นรมย์ ทุกครั้งล้วนปรนนิบัติเขาอย่างยอดเยี่ยม ถ้าหากไม่ใช่ว่าตระกูลนางสามารถช่วยตนเองได้ เขาคงไม่สนใจสตรีที่ไม่รู้ความเช่นนี้ไปนานแล้ว
แน่นอนว่าสาเหตุหลักที่เขาแต่งนางยังคงเป็นเพราะนางเคยเป็นสตรีที่หนิงเซ่าชิงหมั้นหมายเอาไว้
กุ้ยซื่อลอบด่าในใจ ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าทำร้ายข้า ตอนนี้ข้าก็เป็นฮูหยินหัวหน้าตระกูลแล้ว ยังจะต้องปรนนิบัติเจ้าด้วยหรือ แต่ว่าด่าก็ส่วนด่า นางยังคงลุกขึ้นไปรินน้ำให้กับหนิงเซ่าอวี่อย่างไม่เต็มใจ
หนิงเซ่าอวี่รับถ้วยมา พลางเย้ยหยันด้วยท่าทีประหลาด “ในใจเจ้ายังคงคิดถึงเขา?”
กุ้ยซื่อกลอกตามองบนใส่เขา เมื่อเห็นมือข้างหนึ่งของเขาพันผ้าเอาไว้ ก็ไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับว่า “มือของท่านเป็นอะไร”
“จะเป็นอะไรได้เล่า ไม่ใช่ว่าถูกคนที่เจ้าเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอดเวลาหักเข้า ถึงได้ต้องไปเข้าเฝือก” หนิงเซ่าอวี่ระเบิดโทสะออกมา
กุ้ยซื่อได้ยินว่ามือของเขาถูกหนิงเซ่าชิงหัก ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงได้เกิดความรู้สึกยินดีในความโชคร้ายของเขาขึ้นมา
คาดไม่ถึงว่า ความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของเขาที่แอบซ่อนอยู่ในสายตากลับถูกหนิงเซ่าอวี่จับได้เสียอย่างนั้น โทสะที่ข่มอยู่ในใจก่อนหน้านี้จึงข่มเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ในสายตาของเขาสามารถมองเห็นเงาของหนิงเซ่าชิงบนใบหน้าของกุ้ยซื่อ
ทันใดนั้นเขาก็โผเข้าไปผลักกุ้ยซื่อให้ล้มลงกับพื้นราวกับสัตว์ร้าย และทับอยู่บนตัวนาง พลางยื่นมือออกไปฉีกกระชากอาภรณ์ของนาง
กุ้ยซื่อถูกการกระทำหยาบช้ารุนแรงทำให้ตื่นตระหนก จึงยิ่งโมโหยิ่งกว่าเดิม
ไม่เพียงแต่กระทำเรื่องในมุ้งกลางวันแสกๆ ยังจะบังคับขืนใจด้วย?
นางเป็นสตรีที่ถือกำเนิดในตระกูลขุนนาง เป็นภรรยาเอก ไม่ใช่สตรีต่ำศักดิ์ เขาจะทำเช่นนี้กับนางไม่ได้
ไม่รู้ว่ากุ้ยซื่อไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน นางผลักหนิงเซ่าอวี่ที่ทับอยู่บนร่างออกไป “หนิงเซ่าอวี่ ท่านบ้าไปแล้ว?”
หนิงเซ่าอวี่ที่มือข้างหนึ่งถูกพันแผลอยู่จึงไม่สะดวกที่จะใช้แรง เมื่อถูกผลักออกอย่างคาดไม่ถึง เพลิงโทสะก็โหมกระหน่ำ กระชากผ้าพันแผลบนมือออก และสะบัดฝ่ามือใส่กุ้ยซื่อทันที “วันนี้ข้าเป็นบ้าไปแล้ว”
กุ่ยซื่อถูกฝ่ามือนี้ตบจนมึน หนิงเซ่าอวี่ก็โน้มตัวทับลงมา
เสียงโครมครามภายในเรือนดังขึ้นเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง ช่วงแรกดูเหมือนจะเป็นเสียงข้าวของลอยไปลอยมาและกระแทกอย่างวุ่นวาย ในช่วงหลังดูเหมือนจะเป็นเสียงอาภรณ์ถูกฉีกขาด ระหว่างนั้นยังมีเสียงตะคอกของคุณชายรองและเสียงร้องขอความช่วยเหลือของฮูหยินรองดังปะปนมาด้วย…
ทว่าสาวใช้และผอจื่อที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านนอก นอกจากหน้าแดงระเรื่อแล้วก็ทำได้เพียงแค่มองหน้ากันไปมา ไม่มีสักคนที่จะกล้าเข้าไปทำลายเรื่องดีๆ ของคุณชายรอง
“ท่าน…ท่านมันไม่ใช่คน”
“ข้าเป็นคนหรือไม่นั้น เจ้ารู้แต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“…”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ภายในเรือนก็เงียบสนิท
กุ้ยซื่อที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าบวมช้ำนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่ขยับเขยื้อนราวกับปลาที่ตายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะเหมือนกับหญิงแพศยาที่ถูกสามีตนเองใช้กำลังข่มขืน
ทว่าหนิงเซ่าอวี่กลับไม่ยอมปล่อยนางไป เขาสวมเสื้อผ้าไป พลางจิกหนังศีรษะของนาง และตะคอกใส่อย่างโหดร้ายว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ กุ้ยเสี่ยวซี ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าได้คิดเชียว เขาไม่มีวันมองเจ้าไปมากกว่านี้ ยังมี ให้กำเนิดบุตรชายกับข้าอย่างว่าง่ายเสีย บางทีเจ้ายังอาจจะได้นั่งตำแหน่งฮูหยินหัวหน้าตระกูล ไม่อย่างนั้น…”
……
หลังกินอาหารกลางวัน ฮูหยินจย่าก็จูงมือมั่วเชียนเสวี่ยไปนั่งในห้องหน่วนเก๋อในเรือนเพื่อสนทนาเรื่องราวในชีวิตประจำวัน จางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงปรนนิบัติอยู่อีกด้านอย่างระมัดระวัง
ฮูหยินจย่าจูงมั่วเชียนเสวี่ยไปนั่งลงบนตั่ง สะใภ้ใหญ่เจียงซื่อ สะใภ้รองเหยาซื่อและบุตรีอีกสามคนย่อมนั่งเป็นเพื่อนอยู่บนเก้าอี้ทั้งสองฝั่งด้วยท่าทางเกรงใจและให้เกียรติ