ภายในเรือนซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหล่าสตรีใช้ทำกิจกรรม หลังจากท่านบัณฑิตจย่าทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ยืนยันวันที่มั่วเชียนเสวี่ยจะเข้าไปบรรยายในสถานศึกษา และเดินจากไปด้วยความพอใจอย่างยิ่ง
หลังจากคุณชายจย่าทั้งสองคนเอ่ยทักทายน้องสาวบุญธรรมที่มีขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจแล้ว ก็ต่างคนต่างไปทำธุระของตนเอง
เมื่อบรรดาสตรีผู้เป็นนายของจวนทั้งหมดล้วนรวมตัวกันอยู่เป็นเพื่อนแขกในเรือนหน่วนเก๋อของจย่าฮูหยิน เหล่าสาวใช้ในเรือนหน่วนเก๋อย่อมวิ่งกันขวักไขว่ วุ่นกันไม่หยุด
เมื่อเห็นสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้นึกออกว่าของว่างหลังอาหารที่นางนำมาจากจวนกั๋วกงยังไม่ได้ยกมาเลย จึงรีบเรียกมั่วเหนียงที่ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างประตูมาสั่งว่า “หมัวมัว ไปนำขนมไข่ที่ข้าลงมือทำให้ท่านแม่บุญธรรมด้วยตนเองเข้ามา”
ขนมไข่นี้พูดว่านางลงมือทำด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วเป็นชูอีกับสื่ออู่สองคนทำภายใต้การกำกับของนาง มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่ดูความแรงของไฟในตอนที่ยกหม้อขึ้นมาตอนท้ายเท่านั้นเอง
ทว่า ภายในตระกูลร่ำรวย แบบนี้ก็นับว่าเป็นการลงมือทำด้วยตนเองแล้ว
แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ได้นำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่ธรรมดาอย่างของว่างมาเท่านั้น ของมีค่าอื่นๆ ย่อมให้จื่อจู้ จื่่อเหอ จื่อหลิง และจื่อเฉี่ยว สาวใช้ทั้งสี่ที่ตามมาด้วยมอบให้ในตั้งแต่ที่ก้าวเข้าประตูมาแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในมือของสาวใช้ทั้งสี่แต่ละคนก็ยกขนมไข่ที่หน้าตาสวยงามเข้ามา
ขนมไข่สี่ชิ้น สี่รสชาติ สี่สีสัน ด้านบนสุดราดด้วยน้ำผลไม้เคี่ยวที่ทำจากผลไม้สดตามฤดูกาล
เพื่อขนมไข่หรือขนมเค้กพวกนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเค้นสมองสุดชีวิต ในยุคนี้ไม่มีพลาสติก จานชามกระเบื้อง แม้ว่าจะยังไม่พัฒนา แต่กลับมีเครื่องแก้วแล้ว
ภาชนะทั้งสี่สวยมาก แบ่งใส่ชามแก้วก้นแบนสี่ใบ
เพียงแต่ชามแก้วพวกนี้เป็นสินสอดทองหมั้นของเฟิงชิงอวี่ในปีนั้น ได้ยินมาว่าทั่วทั้งเทียนฉีมีชามแบบนี้ไม่กี่ใบ ชามแบบนี้เอาไว้ชื่นชม ใครที่ไหนจะเอามันมาใช้ใส่อาหารจริงๆ กัน
เพียงแต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้นายบ่าวในจวนจย่าทั้งหมดตะลึงค้าง บุตรีจวนเจิ้นกั๋วกง ฮูหยินอันดับหนึ่งของตระกูลขุนนางเก่าแก่ในภายภาคหน้าแสดงฝีมือได้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแค่ขนมหวานชนิดหนึ่ง ก็สามารถทำออกมาได้งดงามตระการตาเช่นนี้…
จย่าฮูหยินชื่นชมอยู่นานมาก ถึงได้ประคองชามแก้วในนั้นขึ้นมาชามหนึ่ง ใช้ช้อนเล็กที่ทำจากทองแท้ซึ่งวางไว้คู่กันแต่แรกตัดคำเล็กๆ เข้าปากไป
นางหลับตาลงลิ้มรสชาติ ทันใดนั้นคิ้วก็เลิกขึ้น รอจนกลืนขนมไข่คำนั้นลงไปแล้ว ก็ยังคล้ายกับว่าอยู่ระหว่างการลิ้มรส “อืม…รสชาติไม่เลว! ทั้งละเอียดและนุ่ม ทั้งหอมทั้งหวาน ไม่เพียงแต่รสสัมผัสนุ่มละมุน รสชาติก็ยังเข้มข้นมากด้วย”
ท่าทางขมวดคิ้วและวาจาชื่นชมเช่นนี้ของจย่าฮูหยิน ทำให้ทุกคนที่มองดูอยู่ล้วนน้ำลายสอ
จย่าฮูหยินก็ไม่ใช่คนขี้งกที่มีของกินแล้วอะไรก็ไม่สนใจประเภทนั้น หลังจากลองลิ้มรสชาติแล้วก็วางช้อนลง พลางกวาดตามองขนมไข่สี่ชิ้นนั้นแวบหนึ่ง
จากนั้นก็มองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “บุตรีบุญธรรมมีน้ำใจจริงๆ แต่ว่ามีขนมไข่ตั้งสี่ชิ้น คิดว่าแม่เฒ่าอย่างข้าคงไม่สามารถกินเยอะขนาดนั้นได้”
เอ่ยจบแล้ว ก็หันหน้าไปเอ่ยกับเจียงซื่อที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนอีกด้านว่า “เจียงซื่อ อีกครู่หนึ่งเจ้าก็นำกลับไปจานหนึ่ง รอฉือเอ๋อร์กลับมาจากสถานศึกษาแล้ว ก็ให้เขา เหยียนเอ๋อร์ และหรูฮุ่ยเอ๋อร์กินด้วยกันสักหน่อย”
เจียงซื่อตอบว่า “เจ้าค่ะ ท่านแม่สามี”
จย่าฮูหยินพยักหน้า หันไปเอ่ยกับเหยาซื่อว่า “เหยาซื่อ เจ้าก็นำกลับไปชิ้นหนึ่งด้วยสิ รอรุ่ยเอ๋อร์กลับมาจากประชุมราชการยามเช้าแล้ว เจ้าก็ปรนนิบัติให้เขากับจี้เอ๋อร์กินด้วยกันสักหน่อย”
เหยาซื่อตอบกลับ “เจ้าค่ะ ลูกจะปรนนิบัตินายท่านรองกับจี้เอ๋อร์ให้กินมากสักหน่อยแน่นอนเจ้าค่ะ”
จย่าฮูหยินพยักหน้าอีกครั้ง พลางถอนสายตากลับมา มองไปบนขนมขนมไข่อีกรอบ คล้ายกับเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า “ยังมีอีกชิ้นเก็บไว้ให้นายท่าน ระยะนี้นายท่านไม่ค่อยมีความอยากอาหาร คิดว่าน่าจะชอบขนมที่ทั้งนุ่มและนิ่มแบบนี้เช่นกัน”
เพียงแค่เวลาชั่วพริบตา จย่าฮูหยินก็จัดการที่ไปให้ขนมเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่เป็นการทำเพื่อมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ ในใจก็ขอบคุณความมีน้ำใจของท่านแม่บุญธรรม “ท่านแม่บุญธรรมจัดการได้ดีจริงๆ เป็นเชียนเสวี่ยที่รีบร้อน ทำมาน้อยเกินไป…”
จย่าฮูหยินกลับยิ้ม และชี้ไปทางอี๋เหนียงที่ปรนนิบัติอยู่อีกด้าน พลางเอ่ยว่า “จางอี๋เหนียง เจ้าออกไปเรียกเด็กๆ ให้นำจานมาแบ่งขนมขนมไข่นี่ไป ทุกคนมาลองชิมฝีมือของบุตรีบุญธรรมของข้าด้วยกัน”
ท่าทางของจย่าฮูหยินที่เอ่ยถึงบุตรีบุญธรรมนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ทำให้ในใจมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฮูหยินสายตาเฉียบแหลม บุตรีบุญธรรมที่ท่านให้การยอมรับย่อมไม่แย่แน่นอนเจ้าค่ะ” จางอี๋เหนียงชื่นชมยิ้มๆ และถอยออกไปสั่งให้เหล่าสาวใช้ที่รอปรนบัติอยู่ด้านนอกไปตามคำสั่ง
จย่าฮูหยินลูบมือมั่วเชียนเสวี่ย หัวเราะหยอกล้อว่า “เชียนเสวี่ยเอ๋ย! ความชอบของแม่บุญธรรมถูกขนมหวานนี่ทำให้เรื่องมากเสียแล้ว ในภายหลังเกรงว่าจะกินขนมอื่นๆ ไม่ลงแล้ว…”
มั่วเชียนเสวี่ยจับมือนางเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “เช่นนั้นวันหน้าเชียนเสวี่ยจะมาบ่อยๆ ท่านแม่บุณธรรมอย่าได้รังเกียจข้านะเจ้าคะ!”
การกระทำที่ให้ความรู้สึกสนิทสนมอบอุ่นใจและวาจาเอาอกเอาใจทำให้จย่าฮูหยินยิ้มตาหยี “แม่บุญธรรมกลัวว่าเจ้าจะไม่มาน่ะสิ…”
เจียงซื่อที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยยิ้มๆ ด้วยท่าทางคล้อยตาม “ใช่แล้ว ท่านแม่สามีเฝ้ารอเชียนเสวี่ยมานานหลายปีเลยนะ เชียนเสวี่ยต้องมาบ่อยๆ นะ”
“…”
บรรยากาศตรงหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครงขึ้นมาทันที เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นภายในเรือนหน่วนเก๋อไม่หยุด
มั่วเชียนเสวี่ยซาบซึ้งใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ที่แห่งนี้ทำให้นางมีความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านมากๆ ความห่วงใยจากจย่าฮูหยินเป็นสิ่งที่นางรักและทะนุถนอมอย่างรู้ค่า บนร่างของเจียงซื่อและเหยาซื่อก็ไม่ได้มีท่าทีริษยาเหมือนกับสตรีในตระกูลอื่นๆ ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ประจบสอพลอ และไม่เย้ยหยันริษยาเช่นกัน เป็นกันเองยิ่งนัก
บุตรีอนุภรรยาทั้งสามคนก็เงียบมาก นั่งยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้น มองดูอาภรณ์ชุดใหม่ของพวกนางที่ไม่มีแม้แต่รอยยับ คิดว่าล้วนสวมเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ
ในบรรดาบุตรีอนุภรรยา คนที่โตที่สุดคือจย่าหว่านหวา ตอนนี้อายุสิบเจ็ดปีแล้ว เพิ่งจะตอบรับกำหนดการแต่งงานไป อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานแล้ว
ได้ยินมาว่าบัณฑิตจากครอบครัวยากจนผู้นั้นนิสัยใจคอและความรู้ความสามารถไม่เลว แต่งงานไปก็เป็นภรรยาเอกเช่นกัน
ความจริงกล่าวว่าเป็นครอบครัวยากจน ก็แค่เปรียบเทียบจากตระกูลร่ำรวยเท่านั้น สามารถเข้าไปร่ำเรียนในสถานศึกษาประจำแคว้นได้ ฐานะครอบครัวล้วนไม่ได้แย่เท่าไร
บุตรีอนุภรรยาอีกสองคน หว่านรั่วกับหว่านหรูอายุพอๆ กับมั่วเชียนเสวี่ย คนหนึ่งเพิ่งจะผ่านวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน อีกคนเหลืออีกครึ่งปีถึงจะถึงวัยปักปิ่น
ทั้งสองคนล้วนมีรูปโฉมงดงามเป็นอย่างมาก
จย่าหว่านรั่วเพิ่งจะปักปิ่นปลายปีที่แล้ว แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูตระกูลท่านบัณฑิตจย่า แต่กลับเป็นเพราะฐานะบุตรีอนุภรรยา สูงกว่าก็ไม่ได้ ต่ำกว่าก็ไม่ดีเช่นกัน จึงยังหาคนที่เหมาะสมไม่พบ
เรือนผมสีดำของนางม้วนเป็นมวยด้านหลังศีรษะโดยมีปอยผมเล็กระอยู่ด้านข้าง นัยน์ตาใสสะอาดราวกับสายน้ำ เผยให้เห็นถึงความบริสุทธิ์สดใส เหมือนกับดอกบัวแรกแย้มที่เพิ่งโผล่พ้นจากผิวน้ำอย่างไรอย่างนั้น
จย่าหว่านหรูอายุน้อยกว่ามั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อย ใบหน้ายังคงมีเนื้อนุ่มนิ่มของเด็กน้อย ท่าทางคล้ายกับสตรีที่งดงามโดดเด่นในครอบครัวชาวบ้าน แต่เมื่อใบหน้าที่แย้มรอยยิ้มมองมานั้นสวยหวานมาก จนทำให้คนมองตาเป็นประกาย
ทั้งสองคนล้วนก้มหน้าหลุบตาลง เมื่ออยู่ต่อหน้าจย่าฮูหยินก็เต็มไปด้วยมารยาท ดูท่าจะนิสัยดีมาก ทั้งสองคนล้วนถือกำเนิดจากหลี่อี๋เหนียง
หลังจากแบ่งขนมขนมไข่กันแล้ว ทุกคนย่อมชื่นชมกันอีกครา ระหว่างที่สนทนาในเรื่องที่ชวนให้ขบขัน ก็ได้กล่าววาจาที่อยู่ในใจออกมาบ้าง
เมื่อเก็บถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว หลี่อี๋เหนียงก็ชี้ไปทางหว่านรั่วกับหว่านหรูที่มีท่าทางเขินอาย พลางหยอกล้อยิ้มๆ อย่างไม่ตั้งใจว่า “ฮูหยิน ท่านดูคุณหนูรองกับคุณหนูสามสิเจ้าคะ ยามปกติเวลาพบเจอผู้คนล้วนมีท่าทางเขินอายไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเทียบกับคุณหนูเชียนเสวี่ยแล้วยังห่างชั้นไม่ใช่น้อยๆ เลยเจ้าค่ะ