หนิงเซ่าชิงเป็นหัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่อันดับหนึ่ง สตรีข้างกายจะมีคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวได้อย่างไร
แม้ว่ากูเหยียจะไม่รับอนุภรรยา แต่เกรงว่าบรรดาจงเหล่า และเหล่าผู้อาวุโสตระกูลหนิงล้วนไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
ในบางครั้ง การรับอนุภรรยาก็เป็นแผนการสร้างความสัมพันธ์เพื่อดึงมาเป็นพวกอย่างหนึ่ง เป็นแผนการที่ทำให้ตระกูลหนิงมีอิทธิพลมากขึ้น แม้ว่ามั่วเหนียงจะไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่บางเรื่องที่ต้องยอมรับทั้งที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเองก็ต้องทำความเข้าใจ
จะว่าไปแล้ว ในจวนกั๋วกงไม่มีผู้อาวุโส เรื่องภายในจวน ฮูหยินเป็นใหญ่สุด จะมีใครกล้าปีนขึ้นเตียงท่านกั๋วกงกัน? นอกจากนั้น หัวหน้าตระกูลมั่วก็แทบจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่จวนกั๋วกง เรื่องภายนอกของจวนกั๋วกงนั้นท่านกั๋วกงใหญ่สุด เขาพูดว่าไม่รับอนุภรรยา ผู้ใดจะกล้าคัดค้าน ถ้าหากว่าฝืนมอบมาให้ ด้วยนิสัยของท่านกั๋วกงแล้ว คงได้ผ่าคนคนนั้นเป็นสองท่อนแทน
เมื่อถูกมั่วเหนียงแอบดันเบาๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็ส่ายหน้า ความคิดของคนโบราณในบางครั้งก็พูดแล้วไม่เข้าใจ
ไม่รอให้มั่วเหนียงแสดงความต้องการในใจออกมา มั่วเชียนเสวี่ยก็วางถ้วยชา และเอ่ยว่า “ความหวังดีของท่านแม่บุญธรรม เชียนเสวี่ยน้อมรับด้วยน้ำใจก็พอเจ้าค่ะ”
มั่วเหนียงตะลึงไปเล็กน้อย!
จย่าฮูหยินก็รู้สึกผิดคาดอยู่บ้างเช่นกัน
“คนที่รู้เรื่องย่อมรู้ว่าท่านทำเพื่อบุตรี คิดเผื่ออนาคตเชียนเสวี่ย แต่คนที่ไม่รู้ จะไม่กล่าวว่าท่านส่งบุตรีอนุภรรยาไปที่จวนกั๋วกงเพื่อเป็นสาวใช้ หากลือออกไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอันดีงามของท่านลุงจย่าไปชั่วชีวิต”
ตอนนี้ นางทำได้เพียงแค่แสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
บุตรีจวนจย่า แม้ว่าจะเป็นบุตรีอนุภรรยาก็ไม่สามารถมอบให้เป็นสาวใช้เจ้าได้
มั่วเชียนเสวี่ยแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายในวาจาของพวกนาง แต่คนอื่นๆ กลับเข้าใจความหมายในวาจาของมั่วเชียนเสวี่ย
สีหน้าของหลี่อี๋เหนียงไม่น่ามองเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในใจมีโทสะ รอยยิ้มแข็งทื่อไปหลายส่วน แต่ก็เอ่ยอย่างไม่ยินยอมอีกประโยคว่า “การที่ข้างกายคุณหนูเชียนเสวี่ยไม่มีคนสนิทคอยปรนนิบัตินั้นดูไม่ค่อยดีนะเจ้าคะ”
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าความคิดประหลาดของสตรีที่นี่จริงๆ นางเป็นอนุภรรยาไปชั่วชีวิตแล้วยังไม่พอใจ ยังคิดจะส่งบุตรีไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นด้วย จึงเอ่ยจัดการว่า “ที่ไหนกัน คนทั้งจวนกั๋วกงกว่าร้อยคนล้วนฟังคำสั่งของข้าคนเดียว เชียนเสวี่ยสตรีคนเดียวจะใช้งานหมดได้เช่นไร…หลี่อี๋เหนียงคิดมากไปแล้ว”
นางกับหนิงเซ่าชิงสองคนใจตรงกัน คิดเพียงแค่จะรักครองคู่กันสองคนไปชั่วชีวิต คนพวกนี้จะหาเรื่องมาให้นาง ในใจจึงอดเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นมาไม่ได้ นางต้องเตรียมใจเอาไว้ให้ดี ในภายหน้าเกรงว่าคงมีเรื่องแนวนี้ไม่น้อย วันนี้เกรงว่าจะเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง
กับจย่าฮูหยิน นางยังสามารถบอกปัดยิ้มๆ ได้ แต่ในภายหน้าเมื่อแต่งงานไปแล้ว ต้องเผชิญหน้ากับพ่อสามี และเหล่าฮูหยินที่มอบอนุภรรยาหรือสาวใช้ที่เป็นเสมือนนางบำเรอให้ นางจะทำอย่างไร ในใจนางไม่ได้มองยายแม่มดเฒ่าเซี่ยซื่อเป็นคนนานแล้ว ย่อมไม่ได้นับรวมนางด้วย
คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า ผู้อาวุโสมอบของให้ไม่สามารถปฏิเสธได้
ดูท่านางคงต้องคิดหาวิธีอย่างจริงจังเสียแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเดาไม่ผิดเลยจริงๆ สาเหตุที่วันนี้หนิงเซ่าชิงเดินอยู่ที่เรือนฝ่ายในตระกูลหนิง ก็เป็นเพราะเหล่าฮูหยิน ท่านย่าของหนิงเซ่าชิงอ้างว่าคิดถึงหลานชายแล้ว ให้เขาเข้ามาทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนด้วยกัน
ระหว่างทานอาหารกลางวัน ไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าฮูหยินเพียงคนเดียว ยังมีสตรีวัยแรกแย้มอีกคนหนึ่งด้วย…หลานสาวของหลานชายทางตระกูลฝ่ายมารดาเหล่าฮูหยิน อวี่เหวินหันเหล่ย
ระหว่างกินข้าวเหล่าฮูหยินก็ชมอวี่เหวินหันเหล่ยผู้นี้ไม่หยุด เขียนบทความได้ แต่งกลอนเป็น งานฝีมือของสตรีก็เป็นเลิศ นิสัยสุภาพอ่อนโยน…เกรงว่าคงนำจุดเด่นทั้งหมดในใต้หล้านี้มารวมที่อวี่เหวินหันเหล่ยผู้นี้ เอ่ยอย่างชัดเจนว่าให้หนิงเซ่าชิงพากลับไปปรนนิบัติที่เรือนหัวหน้าตระกูล เพื่อรับเป็นอนุภรรยาก่อน แต่กลับถูกหนิงเซ่าชิงปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าภรรยาเอกยังไม่ทันจะแต่งเข้ามา ให้รับอนุภรรยาก่อนนั้นไม่เหมาะสม
หลังจากนั้นก็วางชามและตะเกียบลงอย่างไม่รีบร้อน พลางอ้างว่ามีธุระต้องจัดการ และจากไปอย่างรวดเร็วทันที
หลี่อี๋เหนียงเผชิญหน้ากับการปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมของมั่วเชียนเสวี่ย และเห็นว่าจย่าฮูหยินไม่พูดแทนนางอีก สีหน้าของหลี่อี๋เหนียงก็หม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวา แต่จางอี๋เหนียงกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เจียงซื่อกับเหยาซื่อสบตากันแวบหนึ่ง พวกนางล้วนมาจากตระกูลบัณฑิต และเป็นภรรยาเอก ในยามปกติจึงไม่ลดตัวไปมาหาสู่กับอี๋เหนียง ล้วนเข้าใจสภาพจิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นอย่างมาก จึงพากันโน้มน้าวจย่าฮูหยินอยู่หลายประโยคด้วยความปรารถนาดี
ความจริงแล้วจย่าฮูหยินก็ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร เพียงแค่นึกถึงตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานไป ไม่มีคนคอยช่วยเหลือก็รู้สึกไม่วางใจ
นั่งกันอยู่ครู่หนึ่ง และสนทนากันอีกเล็กน้อย จย่าฮูหยินก็มีสีหน้าอ่อนล้าบ้างแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงรีบลุกขึ้นกล่าวคำอำลา
จย่าฮูหยินและพี่สะใภ้ทั้งสองล้วนรั้งนางเอาไว้ด้วยความจริงใจ ส่วนอี๋เหนียงและเหล่าน้องสาวสองสามคนนั่นก็แค่แสร้งเอ่ยรั้งนางเอาไว้ประโยคสองประโยค
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่าวันหน้าจะมาอีก และยังบอกว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องปักปิ่นแล้ว ถึงตอนนั้นก็เชิญจย่าฮูหยินและทุกคนไปเที่ยวเล่นที่จวนกั๋วกงด้วย จย่าฮูหยินถึงได้วางใจให้เจียงซื่อกับเหยาซื่อพามั่วเชียนเสวี่ยไปส่งที่ประตูแทนตนเอง
จางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงต้องปรนนิบัติจย่าฮูหยินจึงไม่ได้ออกไปส่งด้วย
ขณะเดินผ่านระเบียงทางเดิน เจียงซื่อกับเหยาซื่อก็พูดไปยิ้มไปตลอดทางจนกระทั่งส่งมั่วเชียนเสวี่ยออกจากจวนจย่า
เมื่อออกจากจวนจย่าและขึ้นไปบนรถม้า มั่วเหนียงก็เริ่มพูดเรื่อยเปื่อย
“ความจริงแล้วบ่าวมองออกว่าจย่าฮูหยินหวังดีจริงๆ เห็นคุณหนูใหญ่เป็นบุตรีแท้ๆ บุตรีอนุภรรยาจวนจย่าสองคนนั้นดูท่าทางแล้วล้วนซื่อๆ แม้ว่ารูปโฉมของพวกนางสองคนจะไม่ได้โดดเด่นมาก แต่ก็นับว่าน่ามอง อีกอย่าง มีจย่าฮูหยินอยู่ มารดาของพวกนางล้วนถูกบีบอยู่ในกำมือของจย่าฮูหยิน ไม่กล้ามีความคิดจะหักหลังคุณหนูใหญ่แน่นอน ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงไม่รับเอาไว้ก่อนล่ะเจ้าคะ…”
มั่วเชียนเสวี่ยโมโหขึ้นมาทันที คนอื่นพูดก็แล้วไป ทำไมตอนนี้มั่วเหนียงยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีก
นางจำเป็นต้องล้างสมองเหล่าคนโบราณที่ติดตามนางพวกนี้เสียก่อน
ศึกภายในต้องสงบก่อนจึงค่อยสู้ศึกภายนอก! จำเป็นต้องทำให้รากเหง้าความคิดของพวกนางเปลี่ยนกลับมา
หลี่อี๋เหนียงปรนนิบัติให้จย่าฮูหยินพักผ่อนแล้ว ก็รีบกลับมาที่เรือนของจย่าหว่านรั่ว
สามคนนัดแนะกันเรียบร้อยแต่เนิ่นๆ แล้วว่า เรื่องจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ รอมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปแล้ว ล้วนมาพบกันที่เรือนของจย่าหว่านรั่ว
หลี่อี๋เหนียงยังไม่ทันได้เข้าไปในห้อง ด้านในก็มีเสียงของจย่าหว่านรั่วลอยออกมาแล้ว
“มั่วเชียนเสวี่ยผู้นั้นก็แค่โชคดี ประสบภัยแล้วยังถูกช่วยชีวิต ทั้งยังได้พบกับหัวหน้าตระกูลหนิงที่หลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เพราะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และยังถูกนำไปเลี้ยงดูอยู่ข้างกาย เมื่อโตแล้วก็จะให้แต่งงานด้วย…
“นำไปเลี้ยงดูข้างกายแล้วค่อยแต่งงานด้วยตอนโตแล้วอย่างไร ปรนนิบัติหัวหน้าตระกูลหนิงมากว่าครึ่งปี ยังไม่สามารถทำให้หัวหน้าตระกูลหวั่นไหวได้ หัวหน้าตระกูลหนิงไม่ได้พานางกลับมาเมืองหลวงด้วยกัน ยิ่งไม่ได้รับปากเรื่องแต่งงาน ถ้าหากว่าไม่ได้เกิดเรื่องนั้นขึ้น ก็เกรงว่าหัวหน้าตระกูลหนิงคงจะไม่ก้าวออกมาแสดงความรับผิดชอบเช่นกัน…”
“คนที่วางแผนให้ร้ายอยู่เบื้องหลังนั้นโง่จริงๆ ยกหินขึ้นมาแล้วดันทุ่มใส่เท้าตนเอง ใส่ร้ายไม่สำเร็จ ดันช่วยให้มั่วเชียนเสวี่ยสมปรารถนาแทน…”
“ต้องบอกว่า หัวหน้าตระกูลหนิงมีความเมตตาและเที่ยงธรรม เป็นเพราะว่านางถูกคนให้ร้าย เพื่อที่จะล้างมลทินให้กับชื่อเสียงของนาง จึงรับปากว่าจะแต่งงานด้วยในท้องพระโรง…”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกว่านางโชคดีได้อย่างไรกัน ข้าได้ยินมาว่า หัวหน้าตระกูลหนิงเป็นบุคคลมีความสามารถ หน้าตาหล่อเหลาคมคาย วรยุทธ์ก็สูงส่ง…”
หลี่อี๋เหนียงยิ่งได้ยิน สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึม สองคนนี้จะกล้าเกินไปแล้ว หัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่อันดับหนึ่งเป็นบุคคลที่พวกนางสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้เช่นนั้นหรือ
จึงตวาดใส่สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตูทันทีว่า “ถอยออกไปให้หมด เฝ้าประตูเรือนเอาไว้”
จากนั้นก็มองไปรอบๆ นอกจากสาวใช้คนสนิทของบุตรีทั้งสองแล้ว ข้างๆ ก็ไม่มีคนนอกอีก สีหน้าเคร่งขรึมของนางถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย