ฮ่องเต้แสยะยิ้ม คนคนนี้น่าสนใจยิ่งกว่าหัวหน้าตระกูลมั่วที่ไม่รู้ความ
“คำกล่าวที่ว่าผู้หลักแหลมคือผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ ข้าชื่นชมผู้จงรักภักดีต่อจักรพรรดิและบ้านเมืองที่ตรงไปตรงมาเช่นเจ้า”
ถ้อยคำนี้ คือคำชื่นชอมของฮ่องเต้ที่มีต่อหลูเจิ้งหยาง
หลูเจิ้งหยางตกใจเล็กน้อยที่ได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ เขาตื้นตันใจยิ่งนัก “นักรบยอมพลีชีพเพื่อคนรู้ใจ ขอเพียงฝ่าบาทมีพระบัญชา กระหม่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง ทำงานรับใช้ฝ่าบาท ถือเป็นวาสนาของกระหม่อม เป็นความโชคดีของตระกูลหลูพ่ะย่ะค่ะ”
“เสวนากับคนฉลาด ง่ายขึ้นยิ่งนัก พูดมาเถอะ เจ้าอยากได้สิ่งใด” เบื้องหน้าฮ่องเต้กล่าวชื่นชม แต่ภายในใจกลับเย้ยหยันหลูเจิ้งหยาง ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องตอบแทน ข้อนี้ฮ่องเต้รู้ดียิ่งกว่าทุกคน
ท่ามกลางความลืมตัวจากการลำพองใจ หลูเจิ้งหยางพูดขึ้น “กระหม่อมปรารถนาที่จะให้ฝ่าบาทแต่งตั้งตระกูลหลู…” ยามหลูเจิ้งหยางเงยหน้าขึ้นพูด ดวงตาของเขาทอประกายระยิบระยับ ทว่า เมื่อเขาก้มหน้าลง ดวงตาที่ทอประกายกลับแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบและเหี้ยมโหด
ไม่รอเขาพูดจบ หัวหน้าขันทีตำหนิเสียงดัง “สามหาว!” สิ่งที่ฮ่องเต้จะกำจัดในเวลานี้ก็คือตระกูลชั้นสูง แต่เขายังกล้าขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้ง อยากตายหรืออย่างไร
ในอดีตตอนที่แปดประตูใหญ่ได้รับการแต่งตั้ง ล้วนทำคุณงามความดีใหญ่หลวง ก่อตั้งแคว้น สนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ หลูเจิ้งหยางที่เป็นเพียงชาวบ้านยากไร้ มีสิทธิ์อันใด! หรือว่าหลูเจิ้งหยางคนนี้เป็นสายเลือดเดียวกับตระกูลหลูที่อยู่ในเมืองหลวงเมื่อร้อยปีก่อน พระพักตร์ของฮ่องเต้เย็นยะเยือก ฉายไอสังหาร
“ฝ่าบาทโปรดเย็นพระทัย กระหม่อมเพียง…เพียง…อยากจะอยู่เหนือผู้อื่น อยากจะเทิดเกียรติให้บรรพชน…”
เสียงตะคอกของหัวหน้าขันทีทำให้หลูเจิ้งหยางตกใจแล้วล้มลงบนพื้น แตกต่างจากคนเดิมที่ยืนตัวตรงอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคน ฮ่องเต้ที่ก่อนนี้เพิ่มความระมัดระวังได้คลายความระมัดระวังลงอีกครั้ง แล้วพูดชื่นชม “มีความทะเยอทะยานนัก!”
หากเขาเป็นทายาทของตระกูลหลูจริงๆ เช่นนั้นต้องเผยความคิดของตนออกมาอย่างแน่นอน เพียงครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็เย็นพระทัยขึ้นมาก “หากทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะตอบแทนเจ้าและคนในตระกูลของเจ้าอย่างงาม เรื่องแต่งตั้งตระกูลนั้นเป็นไปไม่ได้…แต่ว่า รอให้เรื่องทุกอย่างจบลง ข้าย่อมตกรางวัลให้เจ้าตามคุณงามความดีที่เจ้าทำไว้ มอบแก้วแหวนเงินทองให้เจ้า เทิดทูลตระกูลของเจ้าแน่นอน”
ฮ่องเต้คือจิ้งจอกเฒ่า ถ้อยคำเหล่านี้ไร้ความหมาย แท้จริงแล้วไม่มีรางวัลใดๆ
หลูเจิ้งหยางโค้งตัวคำนับด้วยความดีใจ “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ก้มหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด ดวงตาคู่นั้นของเขาไร้ซึ่งความตกใจที่เกิดจากความหวาดกลัว เขาไม่ได้ตกใจที่ได้รับความเมตตาจากฮ่องเต้ การลืมตัวเพราะความลำพองใจและวางตัวอย่างระมัดระวังก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว
“ได้ยินว่ากระบี่ของเจ้า รุนแรงและไร้ความปรานี เพียงพอที่จะต่อสู้กับกระบี่มายาหยกของหัวหน้าตระกูลหนิง”
“ถึงอย่างไรหัวหน้าตระกูลหนิงกับกระหม่อมก็เคยมีความสัมพันธ์กันในอดีต กระหม่อมลำบากใจทั้งสองทาง”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้จะให้เจ้าไปจัดการหนิงเซ่าชิง” เพราะว่าเจ้าไม่มีความสามารถมากพอ!
“ข้าเพียงอยากให้เจ้า…”
“กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่าๆๆ… เมื่อฮ่องเต้เห็นหลูเจิ้งหยางตอบรับอย่างไม่ลังเล อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง “ออกไปเถอะ”
หลังจากหลูเจิ้งหยางกล่าวขอบคุณก็มีคนพาเขาออกไปจากวังหลวง เมื่อออกนอกประตูวังหลวง เขาเหยียดตัวตรง ใบหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัย
ภายในห้องทรงอักษร ขันทีคนสนิทเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดี จึงเดินไปนวดให้ฮ่องเต้ พร้อมกับถามด้วยความฉงน “คนคนนี้พึ่งพาได้จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตามังกรหรี่ลงเล็กน้อย พอใจที่ทุกอย่างอยู่ในกำมือ “ขอเพียงเขาลงมือ ทำงานตามที่ข้าสั่ง เช่นนั้น เขาก็จะกลายเป็นศัตรูของหนิงเซ่าชิง เมื่อถึงเวลานั้นคนเดียวที่เขาสามารถพึ่งพิงได้ก็คือข้า”
แววตาของหัวหน้าขันทีฉายรอยยิ้ม แล้วพูดวิเคราะห์ “เขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ไร้ที่พึ่งพิง ทำได้เพียงจงรักภักดีต่อฝ่าบาทเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด เป็นได้เพียงสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ตัวหนึ่งเท่านั้น กระหม่อมยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ ทรงได้ครอบครองอาวุธที่ดีเพิ่มอีกแล้ว…”
เมื่อเข้าสู่เดือนห้าก็เข้าสู่ฤดูคิมหันต์ พระอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้าแต่เช้าตรู่ มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาขึ้น ดวงอาทิตย์ก็สาดส่องมาจากทางทิศตะวันออกแล้ว ส่องผ่านหน้าต่างกระทบลงบนพื้นกลายเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนตื่นเช้า ทั้งยังมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้มากมาย นางใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งก็แต่งตัวเสร็จ
ขณะที่กำลังเตรียมอาหารเช้า กุ่ยซามารายงาน เขาเดินเข้ามาแล้วทำความเคารพเงียบๆ ยื่นกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กให้นางโดยไม่พูดกล่าวสิ่งใดจากนั้นหมุนตัวหันหลังเดินออกไปทันที
ตั้งแต่กุ่ยซาเข้ามาในจวนกั๋วกง ก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดแม้แต่คำเดียว ผู้ใดตัดลิ้นเจ้าไปงั้นรึ
มั่วเชียนเสวี่ยมองแผ่นหลังของเขาแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นค่อยก้มหน้าลงมองกระบอกไม้ไผ่ในมือ ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว กระบอกไม้ไผ่นี้หนิงเซ่าชิงเป็นคนสั่งให้เขานำมาให้ตนอย่างแน่นอน เมื่อวานเพิ่งเจอกัน ไม่รู้ว่าคิดจะทำการใด จึงต้องเขียนจดหมายมาให้
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะพูดบ่น แต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกชื่นมื่นยิ่งนัก นางเปิดกระบอกไม้ไผ่ หยิบม้วนกระดาษแผ่นเล็กออกมาหนึ่งแผ่น ตัวอักษรไม่มาก ไม่มีหัวข้อและไม่มีชื่อเรื่อง
เมื่อมองดูดีๆ พบว่าบนกระดาษมีเพียงเนื้อความสั้นๆ ‘เมื่อย่างกรายเข้าสู่ประตูแห่งความถวิลหา ตระหนักรู้ถึงความทุกข์ระทมของความคิดถึง ห่วงหาความทรงจำนิรันดร์ ความคะนึงแม้นเพียงครู่ทว่าไม่สิ้นสุด’นี่คือ…จดหมายรัก?!
ดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแดงระเรื่อ คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงโลกประหลาดนี้นางจะได้รับจดหมายรักของจริง
นึกถึงเมื่อวาน ทั้งสองเดินจูงมือกันเงียบๆ ท่ามกลางพื้นหญ้า…
นึกถึงเมื่อวาน เขาพานางควบขี่ม้า…อยู่ด้วยกันอย่างแนบชิดเช่นนั้น
นึกถึงจูบเมื่อวานก่อนจะกลับจวนกั๋วกง…
ราวกับว่า…ความคิดถึงชั่วชีวิตปะทุในจูบนั้น เวลานี้หวนคิดแล้วหัวใจของนางยังคงร้อนรุ่ม…ความรู้สึกจบลงกะทันหัน คือความรู้สึกที่ว่าหากยังไม่ละออกจากกัน เช่นนั้นก็จะแนบชิดและแผดเผาสติจนกลายเป็นผุยผงไปด้วยกัน
“เตรียมพู่กันกับหมึกให้ข้า…” มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้น แล้วรีบสาวเท้าเดินไปที่โต๊ะ
ชูอีที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะหนังสือ เมื่อได้ยินคุณหนูของตนพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อน นางคิดว่าคุณหนูมีเรื่องสำคัญ จึงรีบฝนหมึกทันที
สืออู่ปูกระดาษ มั่วเชียนเสวี่ยหยิบพู่กันขึ้น เขียนด้วยตัวบรรจงเล็กดอกเหมยลงบนกระดาษ
“ท่านคิดเช่นเดียวกับข้า ย่อมไม่ทำให้ความถวิลหาของท่านผิดหวัง”
เขียนเสร็จ แววตาของนางอ่อนโยนราวกับน้ำ ดวงหน้ายิ้มหวานราวน้ำผึ้ง
ชูอีและสืออู่แอบดูเนื้อความในจดหมาย ดวงหน้าของพวกนางแดงระเรื่อ
คุณหนูใหญ่และกูเหยียช่างหวานจนเลี่ยน แต่ว่า พวกท่านก็รักกันมาก ทำให้คนรู้สึกอิจฉา
มั่วเชียนเสวี่ยเป่าหมึกจนแห้ง ม้วนกระดาษ ใส่เข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ แล้วยื่นให้สืออู่ที่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับไก่ไม้แกะสลัก
เวลานี้นางกลอกตาไปมา ความรักอบอวลในใจ น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยอ่อนโยนเล็กน้อย “ไป เอานี่ไปให้กุ่ยซา ให้กุ่ยซาเอาไปให้นายท่านของเขา”
สืออู่เอากระบอกไม้ไผ่ไปส่งด้วยดวงหน้าแดงระเรื่อ แต่ตอนกลับมาสีหน้าของนางกลับเศร้าสลด
ชูอีแปลกใจเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่ากุ่ยซาไม่ยอมส่งจดหมายให้คุณหนู” เป็นไปได้อย่างไร เกรงว่านายท่านของเขาคงอยากจะให้คุณหนูรีบตอบจดหมายมากกว่ากระมัง
สืออู่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง แล้วส่ายหน้าติดต่อกัน
มั่วเหนียงพูดขึ้น “ในเมื่อไม่ใช่ แล้วเหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” สืออู่บูดบึ้ง “คุณหนู เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจฝึกยุทธ์แล้ว” ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ขอเพียงคุณหนูฝึกยุทธ์ นางล้วนติดตามไปด้วย ทั้งยังทำท่าตามคุณหนูอยู่ข้างๆ เทียบกับการอยู่ในเรือนเงียบๆ เช่นนี้การไปฝึกยุทธ์สนุกกว่ามาก