ตอนที่ 33 คียงข้างหญิงสาวที่มุ่งมั่น
หลังจากมองดูรากไม้เหล่านี้อย่างละเอียด มือของมั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มหยิบจับรากไม้แต่ละอันเพื่อคัดสรรชิ้นที่ดีที่สุด ทันใดนั้นมือนางไปสัมผัสเข้ากับรากไม้ต้นหนึ่ง กลิ่นหอมของมันฟุ้งกระจายทั่วห้อง ดวงตาของนางพลันส่องประกายในทันที
แม้รูปร่างของรากไม้นี้อาจดูแย่ไปหน่อยเมื่อเทียบกับรากไม้ที่เหลือ แต่นางเลือกใช้งานมันอย่างไม่ลังเล
รากไม้ที่มั่วเชียนเสวี่ยเลือกมานั้น แท้จริงแล้วคือรากของต้นการบูร ไม้ยืนต้นที่มีอายุการเติบโตช้า ถือเป็นไม้หายากและล้ำค่าประจำท้องถิ่น มีลักษณะพิเศษคือสามารถส่งกลิ่นหอมที่ยาวนานได้หลายปี
นอกจากนี้ ไม้การบูรยังมีความหนาแน่นสูง ลายสวยเป็นธรรมชาติ เนื้อแข็งและไม่แตกหักง่าย เรียกได้ว่าเป็นวัสดุชั้นยอดสำหรับงานแกะสลักที่นิยมชมชอบใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
หลังจากเลือกรากไม้ได้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยกวาดสายตามองหาใครสักคนเพื่อช่วยยกรากต้นการบูรนี้เข้าไปที่ห้องข้าง จากนั้นจึงหยิบพู่กันและกระดาษเพื่อเริ่มออกแบบรูปร่างของงานแกะสลัก
สำหรับรากที่มีโครงสร้างซับซ้อนเจ็ดกิ่งแปดง่ามเช่นนี้ ขั้นตอนแรกที่ควรเริ่มทำคือการกำหนดแนวคิดของผลงาน ขั้นตอนต่อไปก็คือการลงมือสร้างสรรค์ ทั้งนี้ศิลปะการแกะสลักรากนั้นถือเป็นงานที่อาศัยความชำนาญ ต้องมีการวางแผน แกะสลักอย่างความรอบคอบ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังร่างรูปแบบลงบนกระดาษ ร่างบางยืนขึ้นพลางเดินวนรอบรากของต้นการบูรอย่างคิดไม่ตก เวลาไม่เคยคอยใคร วันนี้นางจะต้องทำแผนทั้งหมดให้เสร็จสิ้น
การแกะสลักรากไม้อาจดูเหมือนเป็นงานที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ แต่แท้จริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงน้อยนิดกับรากไม้ นั่นหมายถึงอาจทำให้สูญเสียส่วนอื่นๆ ไปทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องวางแผนอย่างละเอียดและทำเครื่องหมายให้ชัดเจนเพื่อวางแนวทางจัดการในแต่ละชิ้นส่วน
“เฮ้อ เสร็จเสียที” ในที่สุดแบบก็ถูกร่างขึ้นจนเสร็จสมบูรณ์ มั่วเชียนเสวี่ยสูดหายใจยาวเหยียดพลางมองไปรอบๆ พบว่าในเวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ตะเกียงน้ำมันสองดวงก็ถูกจุดเรียบร้อยโดยหนิงเซ่าชิงที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ห่างออกไปตรงมุมห้อง
หนิงเซ่าชิงกลับมาที่นี่นานแล้ว ตั้งแต่ที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังวาดวาดเขียนเขียนบางอย่างอยู่ บางครั้งก็แอบขยับเข้าไปใกล้ร่างบางเพื่อเชยชมโดยไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เป็นเรื่องปกติที่เขาจะเห็นนางอยู่ในสภาวะตึงเครียดและทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นนี้ เขาไม่ต้องการซักไซร้ให้มากความเพียงหวังให้นางได้อยู่ในโลกแห่งจินตนาการของตนเอง หนิงเซ่าชิงเชื่อว่าทุกข้อสงสัยมีคำตอบเสมอและเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะหาคำตอ และสำหรับรากไม้นี้ แม้จะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แต่การได้อยู่เคียงข้างร่างบางในยามนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาแล้ว เวลาส่วนใหญ่เขามักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ คอยเฝ้ามองนางอยู่ตลอด
ต้องยอมรับว่าสตรีเมื่ออยู่ในอริยาบถจริงจังนั้นช่างงดงามยิ่งนัก ทั้งสมาธิ ความพากเพียรและความเข้มงวด ล้วนดึงดูดความสนใจของหนิงเซ่าชิงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยามที่มองภาพนั้นจิตใจของราวกับล่องลอยไปไกล
เมื่อเห็นรอยยิ้มแป้นบนใบหน้าเล็ก หนิงเซ่าชิงจึงวางหนังสือในมือลงพลางเดินเข้าไปทัก แต่แล้วก็ต้องบังเอิญได้ยินเสียงคำรามจากท้องของคนตรงหน้าเสียก่อน “ดูสิ เอาแต่ยุ่งทั้งวัน จนลืมกินข้าวไปเสียได้” เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดใจ
“งานนี้สำคัญมากถึงขนาดนั้นเชียวหรือ” ร่างสูงบ่น
ปากว่าพลางโอบรัดร่างบางไปยังห้องโถง เขาจัดแจงให้นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วหันหลังเดินเข้าไปในครัว ชามข้าวต้ม ซาลาเปาและเครื่องเคียงถูกยกมาวางเรียงรายข้างหน้าพร้อมกับหนิงเซ่าชิงที่เอ่ยเสียงอ่อนโยน “กินเร็วเข้า!”
“ขอบคุณท่านมาก” มั่วเชียนเสวี่ยหยิบชามข้าวต้มสีขาวนวลพลางกล่าวคำขอบคุณเสียงสะอื้น ความเปลี่ยนแปลงของหนิงเซ่าชิงทำให้นางรู้สึกได้ถึงการมีคนที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจและดูแลกันในยามที่ทั้งทุกข์และสุขของชีวิต
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงสั่งเสียงเย็น ‘ยังไม่ไปทำอาหารอีกหรือทำไมไม่ไปนอน’ อะไรทำนองนั้น
“อาซ้อฟางเตรียมสำรับพวกนี้ไว้เพื่อเจ้าโดยเฉพาะเชียวนะ” แน่นอนว่าหนิงเซ่าชิงไม่ลืมบอก ทั้งนี้เขาได้อุ่นมันไว้ในหม้อพลางเติมฟืนลงไปเป็นระยะ กลัวว่าจะเย็นชืดเสียก่อนที่นางจะได้ลิ้มรส
คุณชายผู้สูงศักดิ์ในอดีต บัดนี้ทำเพื่อคนอื่นได้ถึงเพียงนี้ หากบอกเล่าออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
“ลำบากท่านแล้ว” อดีตคุณชายอย่างเขามีคนคอยปรนนิบัติ แต่ในเวลานี้เขากลับกำลังดูแลนางอยู่! ขณะที่มือถือชามอุ่น หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็พลันอุ่นขึ้นตาม เวลานี้อากาศหนาวแล้ว มีเพียงทางเดียวที่จะสามารถเก็บอาหารเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศเย็นได้นั้น คงจะเป็นการอุ่นโดยใช้ฟืนสินะ
สุภาพบุรุษผู้ห่างไกลจากงานครัว แม้งานพวกนี้อาจดูเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับชายหนุ่มในภพปัจจุบันแต่สำหรับเหล่าชายหนุ่มในสมัยนี้ มันกลับเป็นเรื่องยุ่งยากเสียยิ่งกว่าอะไรดี
มั่วเชียนเสวี่ยเพียงต้องการกล่าวอะไรบางอย่างเพื่อขอบคุณ ใช้เวลาอ้ำอึ้งอยู่นานแต่กลับพูดออกเพียงถ้อยคำสี่พยางค์นั้น
“เจ้าคิดมากไปแล้ว กินเร็วจะได้ไปพักผ่อน” หนิงเซ่าชิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยร่างแบบชิ้นงานแกะสลักในวันนี้จนเสร็จสรรพ เห็นท่าทางของหนิงเซ่าชิงที่อ่อนโยนและนิ่งสงบ ในขณะที่กินนางจึงเล่าที่มาที่ไปของงานแกะสลักอย่างภาคภูมิใจ
มั่วเชียนเสวี่ยจะรู้ได้อย่างไรว่าแม้ภายนอกหนิงเซ่าชิงจะดูสุขุมแต่ภายในใจกลับกำลังยิ้มอย่างขมขื่น เขามีวิธีหาเงินเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อที่จะช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้น… เขากลับเลือกไม่ทำ!
ต่อให้จะมีความเสี่ยงเพียงน้อยนิด เขาก็ไม่ยอมให้สถานะจริงของเขาถูกเปิดโปงได้ เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้กับมั่วเชียนเสวี่ยและไม่ต้องการทำลายชีวิตที่เรียบง่ายในตอนนี้ เขาเพียงหวังจะอยู่เคียงข้างกับนางเช่นนี้ไปจนถึงแก่เฒ่าอย่างสงบสุขเท่านั้น
ก่อนที่จะมายังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เขาได้เขียนจดหมายถึงสหายเก่า ไหว้วานขอให้ช่วยตามหาหมอที่เก่งกล้าที่สุดในยุทธภพนี้ จวบจนบัดนี้ยังไม่มีแม้แต่ข่าวคราวใดตอบกลับมา เห็นทีต้องไปเร่งเสียหน่อยแล้ว…
พิษในร่างกายของหนิงเซ่าชิงนั้น เขารู้ดีว่ามันไม่ได้ธรรมดาอย่างที่มั่วเชียนเสวี่ยบอกเขา หลังใช้วิชากำลังภายในของตนตรวจดู แม้ว่าตอนนี้จะกดทับพิษไว้ได้ แต่เวลาที่พิษจะกำเริบขึ้นมาอีกคงไม่พ้นสองสามปีนี้
โชคดีที่หมอที่นี่ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยอาการที่แท้จริงออกมาได้ อย่างน้อยมั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ต้องมารับรู้และต้องคอยเป็นห่วงเขา
……
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันที่มั่วเชียนเสวี่ยแทบไม่ได้หยุดพัก เพราะต้องง่วนอยู่กับการแกะสลักทั้งวันทั้งคืน
หนิงเซ่าชิงแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตน จากรากไม้ที่อัปลักษณ์บัดนี้กลับกลายเป็นผลงานแกะสลักที่สวยงามราวกับปาฏิหาริย์ ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นประติมากรรมชิ้นใดที่มีชีวิตชีวาได้เท่านี้มาก่อน องค์ประกอบทุกอย่างดูเสมือนจริงทำให้งานชิ้นนี้มีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา พรุ่งนี้เป็นวันที่ห้าจวนถึงครบกำหนดเวลาส่งเต็มที ทว่านางกลับเพิ่งจะทำเสร็จถึงขั้นตอนที่สองของการแกะสลักเท่านั้น
ในขั้นตอนที่สามคือการขัดเงาซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเช่นกัน ยิ่งขัดสีที่ได้ก็ยิ่งชัดเจน ส่งผลให้งานแกะสลักยิ่งมีสีสันมากขึ้นตาม อีกทั้งในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยทั้งความละเอียดอ่อนและแรงมากโข
ด้วยเหตุนี้ ทำให้มือเล็กๆ อันบอบบางถูกมีดกรีดจนเป็นแผลพุพอง จนบางครั้งก็เป็นแผลเผยให้เห็นเนื้อสีแดง
ครั้นหนิงเซ่าชิงเห็นว่ามั่วเชียนไม่ยอมหยุดพัก เขาจึงต้องใช้วาจาหว่านล้อมพร้อมทั้งใช้กำลังฉุดยื้ออยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายก็สามารถพานางมาถึงเตียงนอนได้สำเร็จ
มั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนเตียงอย่างจำยอมพลางคิดคำนวณในหัว จากนี้เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวัน เพื่อขัดเงาและทาสีบางส่วน หากลงมือทำในช่วงเย็นก็น่าจะเพียงพอ เนื่องจากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มีลมแรงคงจะช่วยทำให้สีแห้งได้ทันในวันถัดไป
หลังจากอดนอนมาหลายวัน ร่างกายของนางเหนื่อยล้าเต็มทน หนิงเซ่าชิงที่กล่อมได้เพียงชั่วครู่ ไม่ทันไรคนข้างๆ ก็ผล็อยหลับไป
หนิงเซ่าชิงทายาที่มือของร่างบางอย่างระมัดระวัง เขาลูบไล้ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างอ่อนโยนพลางจรดริมฝีปากลงบนหน้าผาก
ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี
เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบกัน แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะอยู่ในชุดที่เรียบง่าย แต่มือของนางที่โผล่พ้นออกมาช่างดูขาว บอบบางและอ่อนนุ่มไร้ตำหนิ แต่บัดนี้มือที่ขาวนวลและอ่อนนุ่มนั่นกลับเกิดรอยหยาบเล็กๆ และแผลพุพองเต็มไปหมด ซึ่งทั้งหมดนี้เตือนให้เขารู้ว่าตัวเขาเป็นสามีที่แย่เพียงใด…