หลันรั่วเมิ่งไม่ใช่พวกคนที่ชอบประจบสอพลอผู้มีอำนาจ นางเพียงนับถือในความสามารถของมั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น งานเลี้ยงดอกท้อเมื่อคราวก่อน กลอนกวีสองบทที่มั่วเชียนเสวี่ยเขียน สำหรับหลันรั่วเมิ่งแล้ว เป็นผลงานที่น่าอัศจรรย์ราวกับเทพเซียน!
นับถือและประจบสอพลอ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็มองเห็นความแตกต่างของทั้งสองอย่างได้ เพราะความจริงใจของหลันรั่วเมิ่ง มั่วเชียนเสวี่ยจึงรู้สึกเป็นมิตรกับนางเล็กน้อย
งานชมดอกไม้ในครั้งนี้ จำนวนผู้คนที่มาร่วมงานมากกว่างานเลี้ยงดอกท้อมากโข
งานเลี้ยงในครั้งนั้นถือเป็นงานเลี้ยงของราชวงศ์ กฎระเบียบต่างๆ จึงเคร่งครัดอย่างมาก! อีกทั้งผู้ที่มีฐานันดรศักดิ์ต้อยต่ำ ล้วนไม่อาจเข้าร่วมงาน แม้รางวัลชนะเลิศจะเป็นของที่ล้ำค่ามาก แต่ถึงอย่างไรก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจน!
แต่งานชมดอกไม้ที่ตระกูลหลันเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับงานเลี้ยงดอกท้อแล้วกล่าวได้ว่าเปิดโอกาสให้ทุกคนมาร่วมงาน
ชายใดในตระกูลยากไร้อยากจะมาร่วมงานก็มาร่วมงานได้ แค่ว่าต้องมีคุณชายพาเข้างานเท่านั้น
แน่นอน หญิงสาวตระกูลเล็กๆ อยากจะมาร่วมงานก็ใช่ว่าจะมาไม่ได้ แค่ว่าขณะเดียวกันที่นางมีเครือญาติสตรีชั้นสูงพามาร่วมงาน แต่ก็ต้องทนกับการดูถูกเดียดฉันท์จากสตรีชั้นสูงให้ได้!
สตรีตระกูลมั่วสองคนนั้น เมื่อหลายวันก่อนก็มีความคิดเช่นนี้ พวกนางพูดถึงงานชมดอกไม้หลายหน อยากจะให้มั่วเชียนเสวี่ยพามาร่วมงาน ทว่า ท่าทีของพวกนางทำให้มั่วเหนียงรังเกียจ มั่วเหนียงจึงช่วยตนปฏิเสธตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยมาถึง นางก็กลายเป็นแขกสำคัญที่สุดในสายตาของหลันรั่วเมิ่ง นางบอกให้พี่น้องคนอื่นๆ ในตระกูลหลันช่วยดูแลแขกเรื่อในงาน ส่วนตนเดินชมดอกไม้ พูดคุยกับมั่วเชียนเสวี่ยและซูซู
งานชมดอกไม้ ณ สวนร้อยบุปผาที่ตระกูลหลันจัดขึ้นในครั้งนี้ แม้จะบอกว่าบรรดาสตรีที่ยังไม่ออกเรือนล้วนมาร่วมงานได้ แต่บางคนที่มีสถานะแล้ว ทั้งยังเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วก็ยังมาร่วมครื้นเครงด้วยกัน
ขณะที่พวกนางทั้งสามคนกำลังชมดอกไม้ มองทิวทัศน์ที่สวยงาม พูดถึงกลอนกวี ก็มีกลุ่มสตรีชั้นสูงหลายคนเดินผ่านหน้าพวกนางไป ล้วนสวมอารมณ์งดงามหรูหรา เครื่องประดับแพรวพราวระยิบระยับทั่วเรือนร่าง ส่งเสียงกริ๊งกร๊าง เดินผ่านอย่างสง่างามท่ามกลางความโอ่อ่า อบอวลด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ
การแต่งกายเช่นนี้ ความสง่างามเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ ช่างโอ้อวดยิ่งนัก! ยิ่งกว่าองค์หญิงอวี้เหอเสียอีก มั่วเชียนเสวี่ยพึมพำในใจ แล้วพูดขึ้น “นี่คือสตรีเรือนหลังตระกูลใด เหตุใดจึงเดินมาด้วยความโอ่อ่าเช่นนี้”
เห็นแววตาฉงนของมั่วเชียนเสวี่ย หลันรั่วเมิ่งพูดอธิบายเสียงเบา “พวกนางเป็นคนของตระกูลหนิง เชียนเสวี่ยไม่รู้หรือ”
นางควรรู้ด้วยหรือ
มั่วเชียนเสวี่ยมองหลันรั่วเมิ่งด้วยสีหน้าแปลกใจ
นางเพิ่งกลับเข้ามาในเมืองหลวงไม่นาน เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นางไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุข วันนี้ต่อกรกับคนนี้ พรุ่งนี้ถูกอีกคนวางแผลลอบทำร้าย นางจะมีเวลาไปตระกูลหนิง ตระกูลจางได้อย่างไร
เดี๋ยวก่อน…ตระกูลหนิง?
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
มองทั้งสองครู่หนึ่ง น้ำเสียงของนางไม่แน่ใจเท่าใดนัก
“ตระกูลหนิงใด” หรือว่าเป็นคนในตระกูลหนิงเซ่าชิง
“ดูเจ้าเล่า! ในเมืองหลวง กล้าบอกว่าตนเป็นคนตระกูลหนิง เจ้าว่าจะมีสักกี่คน” ซูซูเห็นสีหน้าตะลึงงันของมั่วเชียนเสวี่ย นางอารมณ์ดีขึ้นมาทันที!
มั่วเชียนเสวี่ยมักจะคอยหยอกล้อนาง ทำทีว่าตนฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก ในที่สุดก็เห็นสีหน้าตกตะลึงของนาง แล้วจะไม่ให้ตนดีใจได้อย่างไร!
“ใช่ ในเมืองหลวง มีเพียงตระกูลชั้นสูงเยี่ยงตระกูลหนิงเท่านั้นจึงจะกล้าวางมาดยิ่งใหญ่เช่นนี้ แม้แต่ตระกูลซู หลายปีมานี้ก็ถ่อมตนไปมากแล้ว ช่าง…” สิ่งที่หลันรั่วเมิ่งรู้ ย่อมมากกว่าที่พวกนางสองคนรู้
ท่านหญิงซูซูเป็นอันธพาลน้อยของเมืองหลวง คนในตระกูลดูแลนางดั่งไข่ในหิน ทั้งยังไม่สนใจเรื่องเล็กเรื่องน้อย แล้วนางจะสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งกว่า นางเพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้อยากจะรู้ แต่ก็ไม่มีช่องทางให้นางรับรู้
ความเป็นจริงแม้หลันรั่วเมิ่งไม่พูด มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจความหมายที่แฝงไว้ในคำพูดของนาง
เวลานี้ฮ่องเต้กำลังหาจุดอ่อนของตระกูลชั้นสูง รอที่จะกำจัด
การมีอยู่ของตระกูลชั้นสูงเป็นการทำลายกฎแห่งธรรมชาติ มีอำนาจเหนือราชวงศ์ แค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้พะว้าพะวัง!
แต่เวลานี้ สตรีในตระกูลหนิงกลับไม่เพียงไม่ถ่อมตน ทั้งยังทำตัวโดดเด่นเช่นเคย เมื่อคนมีเจตนาร้ายเห็นเข้า พูดใส่สีตีไข่เล็กน้อย ผลลัพธ์ต้องน่าอัศจรรย์มากยิ่งนัก!
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะเข้าใจหลักเหตุผลนี้ แต่นางไม่ได้เลือกที่จะเข้าไปยุ่ง
ด้วยอุปนิสัยของหนิงเซ่าชิง เขาไม่มีวันเข้าไปยุ่งเรื่องของสตรเรือนหลัง…
“ต่างคนต่างมีความชอบของตนเอง” หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา นางก็หมุนตัวหันหลังเดินจากไป
ไม่ว่าอย่างไร เวลานี้เรื่องในเรือนหลังของตระกูลหนิงยังไม่ใช่เรื่องของนาง
กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องของนาง แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะคิดวิเคราะห์ สตรีตระกูลหนิงโอ้อวด เกรงว่าหนิงเซ่าชิงคงจะรู้แล้ว
หนิงเซ่าชิงสามารถหยุดทุกอย่างได้ แต่เขาไม่ทำ ปล่อยให้พวกนางวางตัวเช่นนี้ต่อไป ในเมื่อเขานิ่งดูดาย ไม่เข้าไปยุ่งเหมือนที่ผ่านมา เกรงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้นไว้
นาง…อย่าเข้าไปยุ่งจะเป็นการดีที่สุด
ทุกคนต่างพูดคุยกับคนรู้จัก หรือไม่ก็คนที่สนิท หรือไม่ก็เสวนากับผู้ที่มีฐานะทัดเทียมเพื่อคลายความเบื่อหน่าย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รอมั่วเชียนเสวี่ย ท่านหญิงซูซูและหลันรั่วเมิ่งกลับมาจากเดินชมสวน งานชมดอกไม้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเมื่อเป็นงานชมดอกไม้ที่จัดขึ้นเพื่อสตรีชั้นสูงและคุณชายทั้งหลาย เช่นนั้นย่อมต้องให้บุตรีสายตรงคนโตผู้มีฐานันดรศักดิ์สูงสุดที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาเป็นเจ้าภาพ
มองดูหลันรั่วเมิ่งที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่ด้านบน พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ ความชาญฉลาดและการเลี้ยงดูของคนโบราณ ห่างไกลจากคนรุ่นหลังยิ่งนัก
หลันรั่วเมิ่งอายุยังน้อย ดูเหมือนอายุยังน้อยกว่าตน แต่ยืนอยู่ด้านบนคอยอำนวยการต่างๆ ไม่มีความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
สิ่งนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะคิดถึงตนในยุคปัจจุบัน เด็กอายุสิบสองสิบสามในยุคปัจจุบันทำสิ่งใด กำลังเรียนชั้นประถมอยู่กระมัง แต่ในยุคสมัยนี้ กลับแบกรับหน้าที่สำคัญของตระกูล ไม่ง่ายเลยจริงๆ
งานชมดอกไม้ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่แต่อย่างใด ผลัดกันแต่งกลอนกวี เมื่อแต่งได้ดี เช่นนั้นก็มีชื่อเสียงที่ดี เมื่อเขียนได้ไม่ดี ก็จะถูกผู้คนจดจำเอาไว้ จัดอยู่ในรายชื่อที่จะไม่ข้องแวะด้วยอีก
ด้านบนพูดคุยกลอนกวีอย่างครึกครื้น มั่วเชียนเสวี่ยและซูซูหาที่ว่าง นั่งลงที่โต๊ะด้านล่าง แล้วพูดคุยกัน
สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะรู้คือ เรื่องระหว่างท่านหญิงซูซูกับซูชีเป็นอย่างไรกันแน่
การหยอกล้อเมื่อครั้นลงจากรถม้าในวันนี้เป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น
หากจะบอกว่าเมื่อคราวก่อนตอนอยู่ในภัตตาคารเป็นการพบเจอกันครั้งแรกของทั้งสอง ซูซูตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ นางไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน!
เหลวไหลเกินไปแล้ว ด้วยอุปนิสัยของท่านหญิงซูซู นางไม่มีวันตกหลุมรักบุรุษที่ไม่เคยพูดคุยกันตั้งแต่แรกพบอย่างแน่นอน