ตอนที่ 34 คิดเอาเปรียบแต่กลับเสียเปรียบ
เขาอยากให้นางล้มเลิกและอยากบอกกับนางว่า ‘เขาไม่ได้ต้องการความร่ำรวยใดๆ’ หลายต่อหลายครั้งที่เขาอยากใช้อำนาจที่มีอยู่จัดสรรสิ่งที่นางอยากได้ แต่อีกเสียงในหัวบอกเขาว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยต้องการ นางไม่ใช่คนลุ่มหลงในชื่อเสียงเงินทอง นางเป็นหญิงสาวที่มานะพยายาม แม้ดื้อรั้นแต่ก็ยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง หากนางต้องการสิ่งใดแล้ว ก็ต้องขวนขวายสิ่งนั้นด้วยตนเองมาให้จงได้
ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากมั่วเชียนเสวี่ย เขาจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นพลางสวมเสื้อผ้า สถานที่ที่จะไปคือเซียงฝาง ทันทีที่มาถึงมือหนาเปิดตะเกียงน้ำมันขนาดเล็กพร้อมกับหยิบกระดาษน้ำมันขึ้นมาแล้วเริ่มขัดเงาชิ้นงานแกะสลัก
เขาเคยเห็นมั่วเชียนเสวี่ยทำมาก่อน และเรียนรู้ทุกขั้นตอนและข้อควรระวังจากการหว่านล้อมนาง… ไม่สิ จากการสนทนากับนาง
หนิงเซ่าชิงเป็นบุรุษ ย่อมมีแรงมากกว่า นอกจากนี้เขายังเคยฝึกฝนวรยุทธ์อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการควบคุมแรงสำหรับเขาแล้วเรียกได้ว่าง่ายราวพลิกฝ่ามือ แต่การขัดเงานี่ยังง่ายกว่าเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม มือของเขาพลันหมดเรี่ยวแรง
ยามรุ่งอรุณ ดวงตะวันกำลังโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า
เวลานี้มือของหนิงเซ่าชิงเต็มไปด้วยแผลพุพอง เขาลูบแผ่วเบาไปที่งานแกะสลัก พื้นผิวเรียบเนียน สัมผัสราบรื่นไปเสียทุกมุม ริมฝีปากของเขาเผยส่วนโค้งที่สวยงาม
พลันแหงนมองท้องฟ้าอีกครั้ง เวลากำลังพอเหมาะ กินมื้อเช้าเสร็จก็ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในหมู่บ้านได้ทันเวลาพอดี
เขาวางกระดาษน้ำมันลง พลางเดินเงียบเชียบกลับมายังห้อง เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังคงหลับอยู่ แถมยังยิ้มเล็กยิ้มน้อยราวกับกำลังหลับฝันดี สีหน้าของเขาจึงยกยิ้มอย่างพอใจ
สีหน้าหนิงเซ่าชิงดูเหนื่อยเล็กน้อย เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเบามือ และออกไปที่ห้องโถงใหญ่ ประจวบเหมาะกับอาซ้อฟางที่กำลังเข้ามาส่งอาหารเช้าดังเช่นทุกวัน มือหนารีบเอื้อมมือออกไปหยิบกล่องอาหารพร้อมกับกำชับอาซ้อฟางให้ช่วยเงียบเสียงเพื่อไม่ให้รบกวนมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังนอนหลับอยู่
ด้านอาซ้อฟางที่กลับมายังห้องครัวอย่างอารมณ์ดีพลางดึงอาซ้อกุ้ยฮวาไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “หนิงเหนียงจื่อกับท่านอาจารย์หนิงคงเข้าด้ายเข้าเข็มกันเมื่อคืนนี้เป็นแน่”
“จริงหรือ งั้นก็เป็นเรื่องดีน่ะสิ! ฮิฮิ ว่าแต่ซ้อรู้ได้อย่างไรน่ะ”
“เช้านี้ท่านอาจารย์หนิงดูท่าทางเหนื่อยล้า ทั้งขอบตาก็ดำคล้ำแต่ใบหน้ากลับมีความสุข มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าคงเพราะเมื่อคืนทำงานหนักไปหน่อย ยังบอกข้าอีกว่าหนิงเหนียงจื่อกำลังหลับอยู่ให้ช่วยเบาเสียงเล็กน้อยด้วย”
“ช่างเป็นคนดีเสียจริง รู้จักดูแลเอาใจใส่ คิดถึงครั้นวันวาน วันแรกที่พวกเราเสียพรหมจรรย์ วันรุ่งขึ้นก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อปรนนิบัติพ่อแม่สามี…”
อาซ้อทั้งสองต่างหัวเราะคิกคัก
หลังจากหนิงเซ่าชิงกินมื้อเช้าเสร็จ สายตาเหลือบมองมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังหลับใหลด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม มือหนาหยิบหนังสือขึ้นแล้วเดินทางไปโรงเรียนของหมู่บ้าน
เขาเพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้าน ด้านสองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ก็ก้าวเท้าออกจากบ้านพวกเขามาที่บ้านตระกูลหนิง
หลังจากที่ท้องร่วงและอาเจียนมาสี่ห้าวัน ในที่สุดพิษของอาหารจึงจะได้บรรเทา กระนั้นก็ตาม ทำให้พวกเขาต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงหลายวันกว่าเรี่ยวแรงจะฟื้นคืนมาบ้าง
อาซ้อจ้าวเอ้อร์คิดไม่ตก แล้วยิ่งได้ยินว่าหนิงเหนียงจื่อจ้างคนขุดหารากไม้ โดยมีค่าตอบแทนถึงสองร้อยอีแปะ! โอกาสอันดีเช่นนี้นางกลับพลาดไปได้! ทำเอาสองสามีภรรยาต่างกระวนกระวายใจ และคิดว่าอย่างไรเสียนิงเหนียงจื่อก็ออกจะร่ำรวยแถมยังฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ไม่ว่าเนื้อวัวที่ขโมยมาจะมีปัญหาจริงหรือไม่ แต่หากไปเรียกร้องถึงหน้าประตูบ้านก็ได้ค่าเสียหายมาบ้าง
มั่วเชียนเสวี่ยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากเสียงภายนอก มือเล็กนวดคลึงศีรษะที่ปวดเมื่อยของตนเอง พลางลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงง ครั้นลืมตาขึ้นพบว่าสว่างมากแล้ว นางจึง ‘กระโจน’ ลงจากเตียงด้วยท่าทีร้อนรน
งามหน้าเสียจริง! สายป่านนี้แล้ว วันนี้จะทำงานที่คั่งค้างได้เสร็จทันหรือ
ร่างบางรีบแต่งตัว เมื่อออกมาที่ห้องโถงก็ผู้คนมากมายภายในลานบ้าน ท่าทางกำลังฉุดกระชากลากถูกันอยู่
ยามนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีกะจิตกะใจสนใจสถานการ์พวกนั้น งานแกะสลักสำคัญเหนือสิ่งอื่น ระหว่างทางไปห้องเซียงฝาง อาซ้อจ้าวเอ้อร์กลับตาดีมองเห็นเป้าหมายที่ดูท่าทางกำลังรีบร้อน
“หนิงเหนียงจื่อ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นว่าเป็นอาซ้อจ้าวเอ้อร์ มั่วเชียนเสวี่ยเพิกเฉยเสียงเรียกของนางพลางเดินหน้าต่อไป ทันทีที่มือกำลังจะแตะประตู แต่กลับโดนเอ้อร์จ้าวขวางไว้พร้อมกับเสียงด่าทอ “เจ้ามันหญิงใจร้าย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ทำร้ายพวกเราสองสามีภรรยาได้หน้าตาเฉย แล้วนี่ยังไม่คิดอธิบายสิ่งใดอีก! เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่!”
“ไร้สัจธรรมเสียจริง!” อาซ้อจ้าวเอ้อร์ใช้โอกาสนี้ทรุดลงบนพื้น กล่าวฟูมฟาย “ทุกคนรู้ว่าพวกเราสองคนอาเจียนและท้องร่วงมาหลายวัน เกิดจากอาหารเป็นพิษ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ย นึกถึงนางที่ถูกพาตัวมาด้วยอาการพิษไข้สูงจนนอนไม่ได้สติในครั้งก่อน ข้าคอยส่งอาหารให้นางทุกวัน เฝ้าเช็ดตัว เอาใจใส่และดูแลมาโดยตลอด แต่ยามนี้นางกลับมาทำเช่นนี้ได้ลงคอ ช่างร้ายกาจนัก…”
ทันใดนั้น ประตูในลานกว้างก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงอาซ้อจ้าวเอ้อร์ที่ตะโกนดังลั่นเพื่อต้องการให้เป็นจุดสนใจ และเป็นไปตามคาด บัดนี้มีผู้คนมากมายทยอยมาตามเสียง ไม่นานลานบ้านก็มีชาวบ้านที่มามุงดูเต็มไปหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีหากมั่วเชียนเสวี่ยไม่รีบจัดการโดยเร็ว นางคงไม่สามารถเริ่มงานได้แน่
ทำได้เพียงก่นด่าในใจพลางหันกลับมาและเดินตรงไปที่กลางลานกว้าง ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะเปิดฉากสงครมน้ำลายกับอาซ้อจ้าวเอ้อร์นั้น…
อาซ้อฟางกลับพุ่งเข้าไปพร้อมกับถ่มน้ำลายใส่ “ถุย! เจ้ายังมีหน้ามาพูด ผู้อื่นแม้นจะไม่รู้เรื่อง แต่ข้าตาบอดหรือไง ตอนนั้นเจ้าส่งอาหารมาเพียงสองรอบ หึ แถมยังเป็นขนมปังข้าวโพด…”
“ขนมปังข้าวโพดแล้วอย่างไร อย่างน้อยก็อิ่มท้อง”
“ยังจะถามอีกว่าอย่างไร? ขนมปังข้าวโพดของเจ้าน่ะทุบหัวฆ่าคนตายได้อย่างไรล่ะ อิ่มท้องมารดาเจ้าน่ะสิ!”
ครั้นได้ยินสิ่งที่อาซ้อฟางตอบกลับ ชาวบ้านต่างพากันหัวเราะชอบใจ เนื่องจากใครๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างรู้ดีว่าขนมปังข้าวโพดของอาซ้อจ้าวเอ้อร์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความแข็งไม่มีใครเทียบ
“เห็นหรือยังๆ นี่มันไร้คุณธรรมน้ำมิตรชัดๆ! พี่ป้าน้าอาลองฟังมันพูด นี่เป็นเพราะขนมปังข้าวโพดของข้าแข็งไปบ้าง ทำให้นางปวดฟัน นางเลยจะวางยาพิษพวกข้าทั้งบ้าน”
เมื่อเห็นภรรยาของตนกำลังร้องไห้ตะเกียกตะกายแทบขาดใจ จ้าวเอ้อร์จึงก้าวออกไปข้างหน้า ชี้นิ้วไปที่มั่วเชียนเสวี่ย “พวกท่านทุกคนลองไตร่ตรองดูให้ดี นี่มันหลักสวรรค์อะไร จะอย่างไรก็ช่าง เมียข้าอุตส่าห์มีเมตตาทำดีด้วย นางสตรีใจร้ายนี่กลับอำมหิตนัก! ตอบแทนความดีด้วยความชั่ว หากไม่ใช่เพราะดวงแข็ง ครอบครัวของเราคงจะถูกนางวางยาพิษตายไปนานแล้ว!”
การพูดเรื่องศีลธรรมจรรยาบรรณเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงนัก
หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง จะต้องถูกส่งตัวเข้าคุกโดยทันที
ท้ายที่สุดแล้ว อาซ้อฟางยังเป็นคนที่อ่อนต่อโลก นางตกใจกับดักคำพูดของจ้าวเอ้อร์ที่เอาความเป็นความตายมาเล่นทันที นางหยุดชะงัก พูดวนไปวนมาว่าเป็นไปไม่ได้ ด่าว่าพวกเขาเป็นคนโฉด นางทำได้เพียงเท่านี้
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่คุกรุ่นนี้ สองสามีภรรยาอยู่เหนือแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา นางเคยพบเจอคนประเภทนี้มาก่อนก็จริง แต่กลับไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้พบคนที่ไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่าหากไม่สู้กลับ นางคงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิดทั้งที่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น คิดได้ดังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ยอย่างนุ่มนวล
เสียงที่เปล่งออกมาของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ดังมากนัก ทว่ากลับทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
“อย่ามาพูดพล่อยๆ ที่นี่ มีใครไปวางยาที่บ้านเจ้ารึไง เจ้าเห็นกับตาเลยอย่างนั้นหรือว่าข้าเป็นคนทำ พยานเล่า? หลักฐานเล่า? เป็นโรคอี้เจิ้ง[1]หรือไง หากป่วยก็ไปรักษาเสีย!”
“พี่ป้าน้าอาฟังเข้าเถิด หญิงชั่วผู้นี้กำลังสาปแช่งข้าให้ป่วย ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ไม่คิดเลยว่าหญิงอกตัญญูผู้นี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ยอมรับผิดและชดใช้ค่าเสียหายแล้ว แถมยังจะให้ร้ายข้าอีก…”
[1] อี้เจิ้ง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากได้รับปัจจัยกระทบแบบกะทันหันทันที ส่งผลต่อจิตใจอย่างชัดเจน เช่น ปัญหาชีวิต ความสัมพันธ์ สภาวะทางจิตใจที่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงภายใต้การถูกกระทบด้านจิตใจจากผู้อื่น สภาวะแวดล้อมรอบตัว หรือสภาวะภายในจิตใจของตนเอง