ตอนที่ 35 ช่างอึดอัดและหน้าด้านเหลือทน (1)
“ยอมรับผิดอะไร? ยอมรับผิดฐานที่เจ้าเป็นขโมยหรือใส่ร้ายป้ายสีดีล่ะ หรือยอมรับผิดที่เจ้า…”
“เจ้า! อย่ามาใส่ร้ายกันนะ! ข้าไปขโมยอะไรตอนไหน”
เมื่อเห็นว่าอาซ้อจ้าวเอ้อร์ติดกับดักของนางเข้า มั่วเชียนเสวี่ยจึงยิ้มเยาะเย้ยในใจ วันนี้นางจะให้มนุษย์ป้าลิ้มรสว่านอกจากไม่ได้กำไรแล้วยังขาดทุนนั้นเป็นเช่นไร
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ขโมยมัน ข้าขอถามอีกครั้ง ในคืนนั้นเจ้ากินสิ่งใดเข้าไปบ้างถึงได้เกิดป่วยเช่นนี้”
ทันทีที่อาซ้อจ้าวเอ้อร์กำลังเอ่ยตอบ จู่ๆ จ้าวเอ้อร์ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง “กินอะไรมาน่ะหรือ แน่นอนว่าก็ต้องกินเต้าหู้ของเจ้าอย่างไรเล่า!”
ครั้นได้ยินที่สามีของนางพูด จึงตระหนักได้ว่าไม่สมควรเอ่ยว่าเป็นเพราะกินเนื้อวัวเข้าไป
เนื้อวัวในวันนั้นถูกส่งโดยคนที่มารับเต้าหู้ ซึ่งอาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาเป็นพยานได้ ฉะนั้นจะพูดว่าเป็นเพราะพวกเขากินเนื้อวัวไม่ได้
เนื้อหมูที่ว่าแพงแล้วแต่เนื้อวัวยังแพงกว่า เนื้อวัวสามสี่จินมีราคาถึงหลายร้อยอีแปะ ไม่ต้องพูดถึงยาบำรุงร่างกาย นั่นย่อมแพงกว่าเนื้ออีก ถ้าพูดเช่นนั้นจะดูเป็นการส่อพิรุธและกลายเป็นขโมยจริงๆ
เดิมทีจ้าวเอ้อร์เป็นพวกขี้โกง เขาจึงคิดคำนวณได้รอบคอบกว่า แผนรับมือก็เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาตะโกนพลางขยิบตาให้ภรรยา หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าสตรีโง่เง่านางนี้จะทำแผนเขาพัง
‘คนศีลเสมอกันย่อมอยู่ด้วยกันได้’ หลังจากได้รับสัญญาณจากสามีของตน นางจึงหันกลับมาทันที เวลานี้ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความโลภ
สูตรลับเต้าหู้นั่นจะตกเป็นของนางแล้ว! ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ หนิงเหนียงจื่อต้องเป็นกังวลว่าจะเกิดผลเสียกับกิจการเต้าหู้ของนาง ฉะนั้นนางจะต้องอ่อนข้อให้พวกตน หากนางไม่ยอม นางอาจต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับสองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ ไม่แน่อาจต้องให้สูตรลับในการทำเต้าหู้มาให้พวกนางด้วย
อาซ้อจ้าวเอ้อร์กลอกตาปกปิดความได้ใจไว้ ชี้นิ้วไปที่มั่วเชียนเสวี่ยและเริ่มกล่าวหาเพื่อเรียกคะแนนความสงสาร “ใช่ ในคืนนั้น พวกข้ากินเต้าหู้ของเจ้า เจ้ามันคนใจไม้ไส้ระกำ จะต้องถูกฟ้าผ่าตาย…”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินซ้อเอ้อร์จ้าวบอกว่าเพราะกินเต้าหู้ ความโกรธก็ปะทุขึ้น หากข้อกล่าวหานี้ถูกนำไปขยายต่อ ในอนาคตใครจะกล้ากินเต้าหู้และทำการแลกเปลี่ยนถั่ว
ช่วงนี้ ถั่วยังคงมีมาเรื่อยๆ นับว่าช่วยได้มาก
มีอาหารสดใหม่กิน แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้อ ป้าๆ น้าๆ อาซ้อน้อยใหญ่แต่ละบ้านล้วนนำถั่วมาแลกเพื่อเพิ่มอาหารดีๆ ให้กับโต๊ะอาหาร จะรับแขกหรือให้เด็กๆ ได้กินแก้ยากก็ดีนัก เรื่องดีขนาดนี้ใครเล่าจะพลาดได้
บางครั้งลูกสะใภ้ที่เจ้าเล่ห์ยังแอบนำถั่วมาแลกเปลี่ยนมากน้อย เพื่อแอบส่งเต้าหู้ไปที่บ้านแม่ในต่างหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านรอบนอกรู้ว่าหมู่บ้านหวังจยามีเต้าหู้ เมื่อวานนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเหมือนจะได้ยินหนิงเซ่าชิงพูดว่ามีคนจากหมู่บ้านอื่นเดินทางมาเพื่อนำถั่วมาแลกกับเต้าหู้ของนาง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำเต้าหู้ทุกวัน ใช้ถั่วไปก็ไม่น้อย แต่จำนวนถั่วในโกดังไม่ลดจำนวนลงแต่กลับเพิ่มขึ้น
มนุษย์ป้านี่ อยากทำลายกิจการของนางงั้นหรือ? รนหาที่เสียแล้ว!
มั่วเชียนเสวี่ยมีงานแกะสลักที่ต้องรอไปจัดการให้เสร็จสิ้น คงต้องจบเรื่องโดยเร็วที่สุด นางไม่มีเวลามากพอที่จะเล่นต่อล้อต่อเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องกับครอบครัวนี้อีกต่อไป
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยคิดได้เช่นนั้น นางยิ้มอย่างเยือกเย็น หันหน้าพูดกับชาวบ้านที่มามุงดู “ลุงป้าน้าอาทุกท่าน นี่เป็นปัญหาใหญ่และข้าคงไม่สามารถอธิบายได้ในไม่กี่ประโยค ได้โปรดช่วยเชิญท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสมาที่นี่ด้วยเถิด ในวันนี้ ตัวข้าเองก็ต้องการสะสางกับนางอย่างแจ่มแจ้งเช่นกัน” มั่วเชียนเสวี่ยเตรียมแผนไว้แล้ว รอแค่พวกเขามาถึงก็พอ
เชิญหัวหน้าบ้าน? เชิญท่านผู้อาวุโส? ดวงตาของอาซ้อจ้าวเอ้อร์พลันเบิกกว้าง หญิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ
ก็ดี๊ แท้จริงนางเพียงต้องการปอกลอกเอาเงินนิดๆ หน่อยๆ และอยากได้สูตรทำเต้าหู้ แต่แม่คนโง่นดันกระโดดลงไปในกองไฟเสียเอง อย่าหาว่าพวกนางใจร้ายก็แล้วกัน แค่ต้องเล่นละครให้สมจริงเท่านั้น ว่าแล้ว สองสามีภรรยาหมาลอบกัดก็สบตากัน…
ทันใดนั้น อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็เอามือแนบที่ท้องของนางพลางคร่ำครวญ “โอ้ย…ท้องข้า ทำไมท้องข้าถึงเจ็บอีกแล้ว”
พี่จ้าวเอ้อร์วิ่งไปข้างหน้าอย่างร้อนรน แสร้งทำเป็นกังวลใจ “แม่ยอดดวงใจของพี่ เจ้าเป็นอะไรไป หนิงเหนียงจื่อ เจ้าใส่อะไรลงไปในเต้าหู้กันแน่ โอย…ข้าก็เริ่มปวดท้องอีกแล้ว”
“พี่จ้าวเอ้อร์ พี่อย่าเป็นอะไรไปนะ….”
มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่เงียบ
ทั้งสองเพิ่มบทให้ตัวเองขึ้นไปอีก อาซ้อจ้าวเอ้อร์ที่ทำท่าเกิดอาการอาหารเป็นพิษกะทันหัน จากนั้นก็แกล้งล้มทำท่าเจ็บเจียนตาย นอนกลิ้งไปมาที่พื้นส่งเสียงอื้ออึง
ชาวบ้านต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาให้ตนเอง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน อาสาช่วยมั่วเชียนเสวี่ยไปตามหัวหน้าหมู่บ้านมาให้
มั่วเชียนเสวี่ยจำเขาได้ เขามีนามว่าหวังเทียนซง บุตรชายคนโตของหวังซาน มั่วเชียนเสวี่ยจำได้ดี ครั้งก่อนที่นางจะจ้างคนขุดหารากไม้ ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้ปรามนางไว้ ไม่อยากให้นางจ่ายเงินมากเกินจำเป็น เขาดูท่าทางเป็นคนใจดี ดังนั้นนางจึงประทับใจในตัวเขามาตั้งแต่นั้น
เมื่อหวังเทียนซงไปตามหัวหน้าหมู่บ้าน มั่วเชียนเสวี่ยจึงก้าวถอยหลังพลางกระซิบสองสามคำกับอาซ้อฟาง
เดิมอาซ้อฟางมีสีหน้ากังวล เมื่อได้ยินแผนการที่กำลังจะเริ่มขึ้น สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไป มองไปที่พื้นอย่างเห็นใจ แต่พอได้ยินอาซ้อจ้าวเอ้อร์คร่ำครวญ นางจึงถอยร่นออกไปเงียบๆ
มั่วเชียนเสวี่ยดูละครของสองสามีภรรยาด้วยท่าทางเย็นชา นางไม่โกรธแต่กลับหัวเราะ และขอให้อาซ้อกุ้ยฮวานำเก้าอี้สองสามตัวออกมาตระเตรียมเพื่อรองรับท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังจะมาถึง นางไม่มีทางให้ยอดมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าสองคนนี้มีโอกาสเข้าไปเหยียบบ้านนางแน่นอน
ครั้นอาซ้อกุ้ยฮวาจัดแจงเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย มั่วเชียนเสวี่ยจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างสบายใจ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน
ยืนดูละครเหนื่อยเสียเปล่า ถ้าได้นั่งจิบชาสักหน่อยก็คงจะไม่เลว
ผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสก็มาถึง สองสามีภรรยาที่เห็นก็พลันแสดงอาการเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง เสียงที่เดิมทีร้องครวญครางอ่อนแรง ยามนี้กลับหวีดร้องดังขึ้นยี่สิบเท่า
เมื่อจ้าวเอ้อร์เห็นหนทางที่จะช่วยให้รอดพ้น เขา ‘พยายาม’ จะ ‘ลุกขึ้น’ จากบนพื้น เพื่อมาทักทายท่านหัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสที่เพิ่งมาถึง
แม้นเขาจะลุกขึ้นยืนแล้ว แต่ยังทำขาสั่น และทำท่าจะล้มลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ
เล่นละครเก่งเสียจริง! มั่วเชียนเสวี่ยได้แต่ถอนหายใจ เอ่ยทักทายหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสสองสามคำ จากนั้นจึงถอยร่นออกมาพลางมองไปยังพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
หัวหน้าหมู่บ้านเอี้ยวตัวหลบมือที่ยื่นมาจับแขนเสื้อของตนอย่างรังเกียจ ราวกับว่ากลัวกลิ่นเหม็นสาบจะโดนตัว จากนั้นจึงหันกลับมานั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้
“จ้าวเอ้อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องช่วยพวกเรานะ…”
สองสามีภรรยาร้องไห้ฟูมฟายพลางแย่งกันพูดสุดฤทธิ์ สภาพดูอนาถกว่าบิดามารดาที่ตายไปแล้วของพวกเขาเสียอีก
“เอาล่ะๆ พอได้แล้ว บอกกล่าวเรื่องราวชัดเจนแล้ว พวกเจ้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่ไย ไปยืนไกลๆ หน่อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าหมู่บ้านตัดสินเถิด” หวังเอ้อร์จึงกล่าวตักเตือนอย่างขุ่นเคืองเมื่อเห็นสีหน้าของผู้นำดูแย่ลง
สองสามีภรรยาที่ได้ฟังดังนั้น เห็นว่าเป็นไปดั่งใจหวังจึงยอมเงียบเสียงลง
หัวหน้าหมู่บ้านครุ่นคิดเงียบๆ ทั้งลานบ้านเงียบไปครู่หนึ่ง เขามองที่มั่วเชียนเสวี่ยและเอ่ยถาม “หนิงเหนียงจื่อ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
ยังไม่ทันที่มั่วเชียนเสวี่ยจะได้เอ่ยตอบ อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็พลันตะโกนขึ้น “แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นจะหาว่าหลานพูดปดหรือ…”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า…”
“เฮอะ…” เจ้าหล่อนสบถออกมาอย่างไม่ยินยอม
ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าดังตรงเข้ามาใกล้ เสียงบังเหียนของม้าได้ขัดจังหวะการสนทนาเมื่อสักครู่
ในเวลานี้ น่าจะเป็นเสียงของรถม้าจากไป๋อวิ๋นจวีที่เข้ามาขนเต้าหู้
เมื่อเห็นว่าคนนอกเข้ามา หัวหน้าหมู่บ้านจึงเงยหน้าขึ้น “เมื่อมีแขกมา เห็นทีว่าพวกเราควรเข้าไปคุยกันข้างใน” เรื่องภายในครอบครัวไม่ควรนำมาประจานกัน อีกอย่างนี่ก็ถือเป็นปัญหาในหมู่บ้าน จะให้คนนอกเอาไปนินทากันให้สนุกปากไม่ได้