เหตุการณ์เมื่อครู่คล้ายกับการต่อสู้ที่ไม่มีระเบียบและไร้เป้าหมาย…นางยืนอยู่ด้านข้างเพื่อดูเรื่องสนุกจริงๆ…
ความจริงแล้วชูอีที่รอบคอบมาตลอดก็เห็นสตรีวิกลจริตพุ่งเข้ามาเช่นกัน นางที่ปกป้องเจ้านายด้วยความซื่อสัตย์ หนึ่งไม่ได้ร้อนรน สองไม่ได้พุ่งเข้าไป
นี่เป็นโอกาสในการแสดงความสามารถของกูเหยีย นางที่เป็นสาวใช้คนหนึ่งจะพุ่งออกไปเสนอหน้าทำไม
เรื่องเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ที่แทรกเข้ามาเล็กน้อย ทั้งสองคนเดินเคียงไหล่ไปด้วยกัน
หนิงเซ่าชิงหน้าตึงเล็กน้อย ขณะคิดเรื่องในใจ มั่วเชียนเสวี่ยยิ่งคิดก็ยิ่งตลก ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดถึงเหตุการณ์ที่สตรีอวบอ้วนโผเข้าใส่บุรุษรูปงามแสนบอบบางที่ชอบแสดงกันในโทรทัศน์แบบนั้น
พรืด…
“เชียนเสวี่ย ยังจะมีอารมณ์หัวเราะอีกหรือ” หนิงเซ่าชิงถูกสตรีผู้นั้นทำให้มีอาการคลื่นเหียน แม้ว่าน้ำเสียงจะไพเราะราวกับเครื่องสาย แต่กลับขาดความอารมณ์ดีไปไม่น้อย
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหัวหน้าตระกูลหนิงผู้ยิ่งใหญ่จะมีเสน่ห์ดึงดูดใจถึงขั้นทำให้สตรีจากตระกูลน้อยใหญ่พุ่งเข้าใส่โดยไม่สนใจตนเอง จะต้องรับเป็นสามีให้ได้…ช่างมีโชคในเรื่องของสตรีเสียจริงๆ…อิอิ…”
หนิงเซ่าชิงถูกหยอกล้อจนหมดวาจาจะเอื้อนเอ่ย โชคในเรื่องของสตรีนี้ เขาสามารถห่อแล้วส่งไปให้ซูชีได้ไหม
มั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ และเอ่ยต่อไปว่า “ผู้อื่นตะโกนปาวๆ ว่าสามีๆ โดยไม่ใส่ใจชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นท่านก็สงสารนาง รับนางเอาไว้เถอะ…”
หนิงเซ่าชิงยิ้มสว่างไสวอย่างที่สุด “นี่คือความต้องการของเชี่ยนเสวี่ยหรือ ถ้าหากว่าเชียนเสวี่ยตั้งใจเช่นนี้จริงๆ หากข้าปฏิเสธก็จะดูเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้า…”
รอยยิ้มบนใบหน้าสตรีบางนางแข็งค้าง มือเท้าสะเอวเอ่ยเสียงดังลั่นราวกับสิงโตคำราม “ หนิงเซ่าชิง ท่านกล้า!”
“เซ่าชิงมิกล้า…แต่…เหนียงจื่อยินยอม…”
“ยินยอมให้ท่าน ท่านก็เอา…?” มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยเสียงดุร้าย
“เหนียงจื่ออภัยให้เซ่าชิงเถอะ…” หนิงเซ่าชิงน้อยใจเป็นอย่างมาก
ยากที่หนิงเซ่าชิงจะมีสีหน้าท่าทางอ่อนแอเพื่อเอาใจมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยจึงยิ้ม แสร้งทำท่าทางโบกมืออย่างใจกว้าง
“ก็ได้ ข้าให้อภัยท่าน”
แล้วมั่วเชียนเสวี่ยก็ต่ออีกประโยคว่า “ตอนนี้กางหูฟังให้ดี ข้าไม่ยินยอม ไม่เช่นนั้น…อิอิ…ท่านเจอดีแน่…”
หลังจากทั้งสองคนมีปากเสียงกัน ก็ไม่ได้มีความเห็นขัดแย้งกัน แต่กลับถูกทักษะการแสดงของฝ่ายตรงข้ามที่แสดงออกมาตามโอกาสทำให้ตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อสบตาซึ่งกันและกัน ก็พากันหัวเราะจนตัวงอ
หัวเราะเสร็จแล้ว ความรู้สึกอึดอัดใจก็หายไปในชั่วพริบตา ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบอย่างสบายใจตามอารมณ์
สำนักว่าการแม่ทัพเก้าประตู
ขณะนี้ซูชีกำลังนั่งอ่าน…อ่านสมุดภาพอยู่ในห้องหนังสือของจวนแม่ทัพด้วยสีหน้าสุขุม
วันนี้หนิงเซ่าชิงพาเชียนเสวี่ยไปข้างนอก เขาก็ได้อยู่อย่างสงบเสียที ไม่ต้องรับมือกับเหล่าคนที่หาเรื่องใส่ตัวพวกนั้นอีก
ทว่า นอกประตูกลับมีคนมารายงาน
“แม่ทัพซู นี่คือราชองครักษ์ที่ใต้เท้าจัดให้ท่านขอรับ จะอยู่ข้างกายท่านโดยเฉพาะ ช่วยเหลือท่านทำคดี ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวง!”
เมื่อได้ยินเสียงบ่าวรับใช้รายงาน เขาก็วางหนังสือในมือลง หากน่าอู่ฉังต้องการจะริดรอนอำนาจเขา ก็ไม่เห็นจะต้องส่งคนมาไว้ในจวนเข้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เห็นเขาเป็นดินโคลนที่บีบได้จริงๆ หรือ
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับตะลึงค้าง…
“คารวะแม่ทัพซู!”
คนคนนั้นรูปร่างหน้าตาน่ารัก สวมเครื่องแต่งกายของจวนแม่ทัพ ทั้งร่างให้ความรู้สึกเหมือนกับเด็กที่ไปขโมยเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่อย่างไรอย่างนั้น!
ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านหญิงซูซูที่แต่งกายเป็นชาย
ซูชีมึนงงทันที! นี่มันเรื่องอะไรกัน!
“ซูซู…”
ด้วยนิสัยเปิดเผยของซูชี เดิมคิดจะตะโกนเสียงดัง! เพราะว่ามันน่าตะลึงเกินไปแล้ว
ทว่า เขากลับไม่ใช่คนไร้สมอง เมื่อคิดว่าสตรีนางหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ปฏิบัติหน้าที่ของเขา ทั้งยังแต่งกายไม่เข้ากัน หากเปิดเผยออกไป ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเอาได้
เรื่องนี้ไม่อาจให้ทุกคนรู้ได้ ดังนั้นตอนที่เอ่ยเรียกขาน เขาเอ่ยไปสองคำแล้วก็หยุดกะทันหัน ส่วนคำว่าท่านหญิงนั้นกลับถึงกลืนกลับเข้าไปได้ทันเวลา!
ซูชีที่กดเสียงต่ำจากการข่มอารมณ์โมโห เอ่ยทีละคำทีละประโยคว่า “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ซูซูหัวเราะมีความสุข พลางเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง คล้ายกับไม่ได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของซูชี “ข้าน้อยกูเสี่ยวซูมาเข้ารับตำแหน่งขอรับ! ตอนนี้เป็นทหารดูแลความสงบเรียบร้อยในจวนแม่ทัพอย่างเป็นทางการแล้ว! งานหลักคือไปตรวจการณ์ทั้งเก้าประตูกับแม่ทัพซู ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวง รินชาเทน้ำ ติดตามปรนนิบัติท่านแม่ทัพขอรับ…”
วาจานี้กล่าวด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเสียเหลือเกิน
ซูชีแทบจะกระอักเลือดออกมา!
กูเสี่ยวซู? เสี่ยวซูนี่หมายถึงนาง หรือว่าตัวเองกัน
ตรวจการเก้าประตู ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวง? นางน่ะหรือ สตรีขั้นสูงที่ถูกโอ๋มาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ต้องซักผ้า ทำงานบ้านคนหนึ่ง จะไหวหรือ
รินชาเทน้ำ ติดตามคอยปรนนิบัติผู้อื่น? ท่านหญิงที่ถูกพะเน้าพะนอมาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนางจะปรนนิบัติผู้อื่นเป็นด้วยหรือ
ยังมี เขาจะกล้าให้นางปรนนิบัติได้เช่นไร จะใช้ให้ทำอะไรได้หรือ
แต่ซูชีก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อลองคิดดูอีกทีก็เข้าใจว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่!
ท่านหญิงซูซูยังไม่ยอมตัดใจจากตัวเอง
คิดว่าจะต้องเข้ามาทางท่านพ่อกับพี่ชายของนางแน่ๆ ใต้เท้าที่เป็นแม่ทัพเก้าประตูคนก่อนก็คือจิ่งชินอ๋องซื่อจื่อพอดี
ไม่เช่นนั้น แม่ทัพเก้าประตูก็ไม่ใช่ตำแหน่งลอยๆ ไร้ซึ่งอำนาจอันใด จะให้ผู้ใดเข้ามาก็ได้ได้เช่นไรกัน
จิ่งซื่อจื่อเป็นคนจัดการ ก็หมายความว่าชินอ๋องก็เห็นชอบด้วย
ในเมื่อกระทั่งจิ่งชินอ๋องยังเห็นด้วยแล้ว เรื่องนี้ก็ยุ่งยากอยู่บ้างจริงๆ สตรีผู้นี้ไม่ได้สลัดทิ้งได้ง่ายดายขนาดนั้นอีกแล้ว
ซูชีเงียบไปครู่หนึ่ง การแสดงละครใส่หน้ากากทำหน้าเป็นใส่สตรีที่หน้าหนาเช่นท่านหญิงซูซูผู้นี้ไร้ประโยชน์ไปนานแล้ว
เขามองท่านหญิงซูซูนิ่งๆ ครู่หนึ่ง และเอ่ยเสียงเย็นว่า “ตามใจท่าน!”
เอ่ยจบแล้ว ก็หยิบสมุดภาพขึ้นมาอ่านต่อ
แม้ว่าจะเตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงเสียใจอยู่ดีเมื่อซูชีปฏิบัติต่อหน้าอย่างไม่สนใจไยดี
ทว่า นางสามารถโน้มน้าวท่านพ่อกับพี่ชายทั้งหลายได้ หลายวันมานี้พลังกายพลังใจทั้งหมดที่ใช้ไปนั้นน้อยนิด นางจะถูกวาจาเย็นชาสองประโยคไล่กลับไปได้อย่างไร
คิดฆ่าตัวตาย พยายามคิดอุบายแทบตายเพื่อหาโอกาสมาที่นี่ นางไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด เรื่องที่ตัดสินใจลงไปแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ!
ดังนั้น…ซูชี ท่านก็รอรับมือกับแผนการของข้าได้เลย!
นางไม่เชื่อหรอกว่า มีสตรีรูปโฉมงดงามเช่นนางเฝ้าอยู่ทุกวัน เขาจะไม่หวั่นไหว
ท่านหญิงซูซูเลิกคิ้วมองซูชีแวบหนึ่งแล้วก็เริ่มทำนู่นทำนี่ในห้องอย่างรวดเร็ว
ครู่หนึ่งเก็บนี่ อีกครู่จัดนั่น ทำราวกับมีสิ่งใดให้ทำมากมายเช่นนั้นจริงๆ ลอยไปลอยมาอยู่ภายใต้สายตาของซูชี…
แน่นอนว่าตอนที่ท่านหญิงซูซูเอ่ยขอร้องความต้องการกับบิดามารดาและพี่ชายนั้น จิ่งชินอ๋อง พระชายาเอกและพี่ชายอีกหลายคนของนางล้วนมีท่าทีว่าจะไปสู่ขอที่ตระกูลซู กดดันตระกูลซูให้แต่งท่านหญิงซูซู
แต่ท่านหญิงซูซูอยากให้ซูชีแต่งงานกับนางอย่างมีความสุข
นางไม่อยากทำให้เขาตกใจหรือบังคับให้เขาต้องออกจากเมืองหลวง นางรู้ว่า เขาทำเรื่องพวกนั้นออกมาได้แน่นอน
ดังนั้น ท่านหญิงซูซูจึงใช้ความตายมาบีบบังคับ
จิ่งชินอ๋องถอนหายใจ เอ่ยเพียงประโยคหนึ่ง ”สตรีเมื่อถึงวัยแล้วก็ควรออกเรือน ฝืนบังคับให้อยู่ข้างกายก็จะทะเลาะกับคนในครอบครัวเอาได้”
พระชายาเอกน้ำตารินไหล “บุตรีเมื่อโตแล้วก็ไม่เชื่อฟังมารดาอีก!”
ซื่อจื่อ พี่ชายใหญ่ของนางถอนหายใจ “เจ้าอยากจะทำอันใดก็ทำไป…เจ้าเด็กซูชีนั่นช่างโชคดีเสียจริง…”