“อืม” หนิงเซ่าชิงตอบ และคล้ายกับรับรู้ได้ถึงความไม่เข้าใจของมั่วเชียนเสวี่ย จึงเอ่ยว่า “รอไปถึงแล้ว เจ้าก็จะรู้เอง”
ในเมื่อหนิงเซ่าชิงพูดขนาดนี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยย่อมไม่ถาม และย่อมรับปาก
ราวกับว่านางไม่เคยสงสัยเรื่องใดๆ ของหนิงเซ่าชิง เชื่อใจเขาด้วยความยินยอมพร้อมใจ! ส่วนหนิงเซ่าชิงก็คู่ควรที่จะได้รับความเชื่อใจนี้ของนาง
จากนั้น หนิงเซ่าชิงก็สั่งให้กุ่ยซาเตรียมรถม้า เจ้านายสองคนกับสามองครักษ์ก็มุ่งหน้าตรงไปยังวัดเซียงกั๋ว
หลังจากกินมื้อเช้าในเมืองไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเห็นมั่วเหนียงมีสีหน้าแดงระเรื่อก็ส่งนางกลับไปก่อน อย่างไรเสียทั้งสองคนนั่งรถม้าสองคัน ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดี มั่วเหนียงเห็นเจ้านายอยู่กับว่าที่กูเหยียแล้ว จะยังมีสิ่งใดที่ไม่วางใจอีก เมื่อออกจากภัตตาคาร ก็ให้อาอู่ขับรถม้าของจวนกั๋วกงกลับไป
ดังนั้นตอนที่ไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบ ข้ากายนางมีเพียงแค่ชูอีกับสืออู่
ชูอีกับสืออู่นั่งอยู่คานหน้ารถ กุ่ยซานั่งอยู่ตรงกลางบังคับรถม้า ส่วนที่ว่างภายในตัวรถล้วนมอบให้กับคู่รักที่กำลังหวานชื่นกันคู่นี้
ตอนนี้ไม่มีผู้คนแล้ว ทั้งยังอยู่ภายในตัวรถ ข้างนอกก็มีคนสนิทเฝ้าอยู่
ทั้งสองคนจึงค่อนข้างผ่อนคลายลงกว่าก่อนหน้านี้ ไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ที่ต้องคำนึงคนรอบด้าน คำนึงว่าพวกเขาจะทำลายชื่อเสียงของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยซุกอยู่ในอ้อมแขนของหนิงเซ่าชิงเงียบๆ และหลับตาลง
สิ่งที่นางชื่นชอบมากที่สุด ก็คือซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ไม่หวาดกลัวความยากลำบากและอุปสรรคใดๆ
“เหนื่อยแล้วหรือ ถ้าเหนื่อยก็หลับสักหน่อย ถึงแล้วข้าจะปลุกเจ้า” หนิงเซ่าชิงลูบเรือนผมนางอย่างอ่อนโยน พลางจุมพิตศีรษะนาง
มั่วเชียนเสวี่ยที่หลับตาอยู่โค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกสบายอกสบายใจเต็มที่ คนรักกอดตนเองเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับทรัพย์สมบัติที่หาได้ยากอย่างไรอย่างนั้น
ฝีมือการบังคับรถม้าของกุ่ยซาดีมาก หนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างในแทบจะสัมผัสถึงแรงกระแทกไม่ได้เลยสักนิด เพียงแค่โคลงเคลงไปมาเล็กน้อย คล้ายกับอยู่ในเปลเด็กของมารดา สบายและน่าพึงพอใจ
มั่วเชียนเสวี่ยลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา มองไปทางหนิงเซ่าชิง ทันใดนั้นนางก็ใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอเขาเอาไว้ โน้มศีรษะลงมาเล็กน้อยให้ตรงกับนาง
ใบหน้าสง่างาม คมคาย มีเสน่ห์ไม่เป็นรองใครอยู่ตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา จึงยื่นมือออกไปเชยคางเขาเอาไว้ “คนงาม ยิ้มให้คุณชายเช่นข้าสักหน่อย ยิ้มได้น่ามอง ข้าจะให้รางวัล!”
มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วมองหนิงเซ่าชิงด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ และแสดงท่าทางเป็นลูกผู้ดีมีเงินที่รังแกชาวบ้านอย่างเต็มที่
ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยเรียกตนเองว่าคุณชาย หนิงเซ่าชิงก็ชะงักไปเล็กน้อย พลางไล้สันจมูกนางอย่างเอาใจ “ทำตัวเจ้าเล่ห์!” จากนั้นก็ทำตามความต้องการ แย้มรอยยิ้มที่งดงามที่สุดของเขาออกมา
คนโบราณกล่าวไว้ว่า ยิ้มคราแรกล่มเมือง ยิ้มอีกคราล่มชาติบ้านเมือง ที่กล่าวมานั้นก็คือตัวหายนะเช่นหนิงเซ่าชิงผู้นี้?
อย่างน้อย แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยที่เผชิญหน้ากับเขาในยามกลางวันและค่ำคืน ก็ยังคงสติหลุดลอยเมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ตรงหน้า
ในใจหนิงเซ่าชิงแสดงออกว่าตนเองประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยตกอยู่ในหลุมพรางแห่งความอ่อนโยนของตนเอง เขายังคงแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้คนหวั่นไหว แต่นัยน์ตากลับมีประกายเจ้าเล่ห์ และก้มหน้าลงมา ขณะที่เอ่ยวาจา ลมหายใจอุ่นร้อนที่หายใจออกมานั้นก็รินรดใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ย…
ทำให้แพขนตาของมั่วเชียนเสวี่ยสั่นไหวตามไปด้วย
“ท่านบอกว่าจะให้รางวัล ไม่รู้ว่าจะให้รางวัลแบบไหน” เขายินยอมที่จะเป็นคนรูปงามผู้นั้นต่อหน้ามั่วเชียนเสวี่ย เพียงเพื่อให้ได้รับรอยยิ้มจากคนงามในใจเขา
“นี่พอหรือไม่” เอ่ยจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็โน้มคอหนิงเซ่าชิงลงมา พลางจุมพิตลงบนริมฝีปากที่ยกขึ้นสูงอย่างแรง
แต่ก็เพียงแค่ครู่หนึ่ง หลังจากจุมพิตหนักๆ ไปแล้ว ก็ปล่อยออก
“ไม่พอ! ท่านขี้เหนียวเกินไปแล้ว!” หนิงเซ่าชิงย่อมไม่พึงพอใจต่อจุมพิตที่คล้ายกับแมงปอแตะผิวน้ำเช่นนี้ ในตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะปล่อยตนเอง เขาก็ก้มหน้าลงมา
ใครจะสามารถจินตนาการออกว่า หัวหน้าตระกูลขุนนางเก่าแก่คนหนึ่งจะถึงกับแสดงท่าทางเคารพนบนอบ ทำตัวน่ารัก เพื่อเอาใจสตรีนางหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนเสแสร้ง นางก็ปรารถนาและชื่นชอบจุมพิตของหนิงเซ่าชิงเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงทำตามเสียงหัวใจตนเอง กอดเอวของเอาไว้ พลางจุมพิตกันอย่างมิอาจพรากจากกันภายในห้องโดยสารที่คับแคบนี้
มีเสียงบางอย่างดังขึ้นข้างหูไม่ขาดสาย ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ข้างนอกจะทำตัวเป็นคนโง่ที่ฟังไม่ได้ยินเช่นนั้นหรือ
แต่แม้ว่าจะได้ยินแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจแสดงความเห็นใดๆ!
ความสัมพันธ์ของคุณหนูกับกูเหยียดี นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่พวกนางซึ่งเป็นสาวใช้เฝ้ารออยู่ในใจ
มุมปากของชูอีประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ ในใจก็รู้สึกดีใจแทนคุณหนู กูเหยียเป็นห่วงและรักคุณหนูขนาดนี้ ก้อนหินก้อนใหญ่ในใจนางก็วางลงได้แล้ว!
ในภายภาคหน้า ขอเพียงแค่คุณหนูใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข พวกนางที่เป็นบ่าว ก็จะดีใจที่สุด!
แต่ชูอีกลับไม่สังเกตเห็นว่าทุกการกระทำและทุกความเคลื่อนไหวของนางล้วนถูกคนแอบสังเกตดู จากนั้นก็จดจำเอาไว้ในใจ
ชานเมืองทางเหนือของเมืองหลวง เทือกเขาที่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างต่อเนื่อง ดุจดั่งเกลียวคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดในมหาสมุทร เผยให้เห็นสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย ด้านบนสุดของเทือกเขาที่ต่อเนื่องกันก็คือวัดเซียงกั๋ว
ยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งนั้น แม้ว่าจะอยู่ไกลแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ ทว่า วัดเซียงกั๋วกลับมีระยะห่างไกลจากเมืองหลวง ตลอดทางล้วนเป็นทางบนภูเขา ดังนั้นระหว่างทางจึงค่อนข้างใช้เวลาไปไม่น้อย
เพียงแต่เป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิง สองคนแสดงความรักใกล้ชิดสนิทสนม โอบกอดกันด้วยความรู้สึกชิงชังที่มีเวลาเพียงน้อยนิดอยู่ในตัวรถ เมื่อคนสองคนที่รักกันได้อยู่ด้วยกัน ที่ใดล้วนรู้สึกว่างดงามเป็นอย่างมาก จะไปรู้สึกเบื่อหน่าย อืดอาดชักช้า และอ่อนเพลียระหว่างทางเสียที่ไหนกัน
ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวอยู่บนภูเขานั้นโคลงเคลงไปมา ในอ้อมแขนของหนิงเซ่าชิงทั้งอุ่นทั้งสบาย เมื่อคืนมั่วเชียนเสวี่ยจึงหลับอย่างมีความสุข วันนี้ตื่นแต่เช้า บวกกับมีหนิงเซ่าชิงอยู่ด้วย นางจึงรู้สึกผ่อนคลายมาก
ตอนนี้เปลือกตาทั้งสองข้างลืมขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ครู่หนึ่งก็หลับไประหว่างจุมพิต
หนิงเซ่าชิงส่ายหน้าอย่างหมดวาจาจะเอ่ย พลางจิ้มลงบนจมูกเล็กๆ ที่เดี๋ยวบานเดี๋ยวหุบ และจัดแจงท่าทางให้มั่วเชียนเสวี่ยหลับได้สบายยิ่งกว่าเดิม
เดือนห้า แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ทว่า บนภูเขายังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง
ตลอดทางลมภูเขาพัดเข้ามาทางม่านรถ หนิงเซ่าชิงกลัวมั่วเชียนเสวี่ยหนาว จึงยื่นมือออกมาหยิบผ้าห่มผืนบางที่เตรียมเอาไว้ในรถม้าตลอดมาคลุมให้มั่วเชียนเสวี่ย
การกระทำอ่อนโยนอย่างยิ่ง!
“ช้าหน่อย” หลังจากสั่งกุ่ยซาที่บังคับรถม้าอยู่ข้างนอกแล้ว หนิงเซ่าชิงที่กอดร่างมั่วเชียนเสวี่ยที่หลับสนิทอยู่ก็หลับตาลงเช่นกัน
เขาสืบทอดวิชาความรู้จากเจ้าอาวาสหยวนเหรินแห่งวัดเซียงกั๋ว เป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าอาวาสหยวนเหริน
ตั้งแต่เขาลงเขาหลังจากร่ำเรียนสำเร็จจนกระทั่งตอนนี้ ก็ผ่านไปห้าปีแล้ว เขากลับไม่เคยกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว
ไม่ใช่ไม่อยากทำตัวเป็นศิษย์ที่มีใจกตัญญู แต่วินาทีที่เดินออกจากวัดเซียงกั๋ว ความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ของเขากับเจ้าอาวาสหยวนเหรินก็ดำเนินมาถึงปลายทางแล้ว
ในวันที่เดินออกจากวัดเซียงกั๋ว วาจาที่อาจารย์ของเขา…เจ้าอาวาสหยวนเหรินยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่วัดเซียงกั๋วกล่าวกับตนเองเหล่านั้น วันนี้ยังดังก้องอยู่ในหูของหนิงเซ่าชิง