“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” อวิ๋นอิ๋นพยักหน้าขอบคุณ แต่กลับไม่กล้ารับผ้าเช็ดหน้า นางหยิบผ้าเช็ดหน้าตนเองออกมาซับน้ำตา พลางเอ่ยปฏิเสธโดยไม่คิดสักนิด
“ตอนนี้งานบัญชีในมืออวิ๋นอิ๋นยังทำได้ไม่ดี ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป รองานในมือล้วนจัดการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันหมดแล้วค่อยรับนางมาก็ยังไม่สาย”
“เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นข้าจะซื้อเรือนเล็กๆ ให้เจ้าเรือนหนึ่ง เพื่อให้เจ้ากับซีซีสองแม่ลูกได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผ่านคืนวันไปด้วยความสงบสุข ตอนที่เจ้าไม่อยู่บ้าน ก็ให้อวี้ยาโถวดูแลนาง” อวี้ยาโถวก็คือสาวใช้ที่คอยติดตามดูแลนางโดยเฉพาะคนนั้น
อวิ๋นอิ๋นเงยหน้า ตะลึงเล็กน้อย และก้มหน้าลงคล้ายกับหวาดหวั่นไม่สบายใจ ขณะเอ่ยขอบคุณ “บุญคุณของนายหญิง อวิ๋นอิ๋นไม่มีวันตอบแทนคืนได้หมด”
มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือไม่ใส่ใจ ความคิดล่องลอยไปอยู่ที่บ้านไร่ทันที
เมื่อวานนางส่งชูอีกับสืออู่ไปดูหมู่บ้านในชนบทแห่งนั้นมา นี่คือบ้านไร่แห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในสินเดิมแต่งงานของนาง
หลังจากชูอีกับสืออู่ไปดูแล้วก็กลับมารายงานว่า บ้านไร่นั้นใหญ่มาก แต่กลับถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า ตลอดทั้งปีอาศัยเพียงแค่ต้นผลไม้ ขายผลไม้เล็กน้อยเพื่อเก็บรักษาเอาไว้
ความหมายของหวังเทียนเหลยก็คือ หากว่าบ้านไร่นี้จัดการได้เรียบร้อย รายได้ปีหนึ่งก็เกรงว่าจะพอให้คนทั้งหมู่บ้านหวังจยาไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินแล้ว
หวังเทียนเหลยเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง จะต้องไม่คุยโวโอ้อวดแน่นอน หมู่บ้านหวังจยามีคนหลายร้อยคน สามารถทำให้คนหลายร้อยคนไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินนั้นต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงใด อีกทั้งที่นาภายใต้อำนาจดูแลของหมู่บ้านจะต้องเป็นดินดีทั้งหมดแน่นอน
เพียงแต่ ถ้าจะให้บ้านไร่นี้ใช้งานได้จริง กำลังคนและทรัพยากรทางวัตถุล้วนไม่สามารถขาดได้ นางต้องคิดหาวิธีค่อยไปทำพวกผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้ อาศัยเพียงแค่ที่ดินและเสบียงอาหารนั้นไม่มีทางได้ผลตอบแทนสูงสุดเด็ดขาด
เทียนฉียังหยุดอยู่ที่การยึดเกษตรกรรมเป็นหลัก บ้านไร่แห่งนี้เป็นแหล่งทำเงินที่สำคัญของนาง
ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูของโรงงานเครื่องปรุงรสเซียนมั่ว แม้ว่าปริมาณผลผลิตจะยังทำไม่ทันชั่วคราว แต่ใบสั่งซื้อกลับรับไปจนถึงปลายปีแล้ว
ในภายหน้า นางยังต้องคิดหาวิธีขยายโรงงานผลิต เทียนฉีกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากว่าทุกครอบครัวล้วนใช้เครื่องปรุงรสที่ผลิตจากโรงงานของนาง จะยังต้องกังวลเรื่องเงินทองไหลมาเทมาอีกหรือ…
ตระกูลหนิงกุมอำนาจทางทรัพย์สินเงินทองในใต้หล้า หากว่านางสามารถกุมอำนาจทางการเงินในเทียนฉีได้หนึ่งหรือสองส่วน บวกกับอำนาจทางการทหารที่มั่วเทียนฟ่างผู้เป็นบิดาทิ้งไว้ให้ รอนางแต่งงานไป ก็เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นนางอีก
แต่การจะกุมอำนาจทางการเงินหนึ่งหรือสองส่วนในเทียนฉีนั้นจะง่ายอย่างที่เอ่ยได้เช่นไร
บ้านไร่…นางจำเป็นต้องไปตรวจสอบด้วยตนเองสักรอบถึงจะได้
คิดถึงตรงนี้ ในใจมั่วเชียนเสวี่ยก็คิดเล็กคิดน้อยอีก จึงเอ่ยว่า “อีกสองวันข้าจะไปที่บ้านไร่แล้วจะรับซีซีกลับมาให้เจ้าด้วย เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดถึงจนร้องไห้จนในใจข้ารู้สึกแย่อีก”
นางสามารถทำดีกับอวิ๋นอิ๋นได้ แต่ว่ามีจุดหนึ่ง ในตอนที่นางยังไม่นำอำนาจในการจัดการดูแลบัญชีของอวิ๋นอิ๋นกลับคืนมา นางไม่มีทางคืนสัญญาขายตัวของอวิ๋นอิ๋นให้นางเด็ดขาด
ไม่ใช่ว่านางใจร้าย แต่นางมีบทเรียนในอดีตจากพ่อบ้านเฟิงมาแล้ว การพึงระวังต่อคนที่คิดร้ายกับเรานั้นจะขาดไม่ได้!
นัยน์ตาอวิ๋นอิ๋นมีประกายพาดผ่านทันที แต่กลับอับแสงลง และเอ่ยปฏิเสธเสียงขรึม “ไม่ต้องลำบากนายหญิงเจ้าค่ะ ในมือข้ายังมีเรื่องมากมายที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย แม้ว่านางจะมาแล้ว ก็เกรงว่าข้าจะหาเวลามาอยู่เป็นเพื่อนนางทันทีไม่ได้ มาแล้วก็ต้องส่งกลับไป จะเป็นการเพิ่มความเสียใจในการจากกัน ไม่สู้ตั้งใจแน่วแน่ รอจนเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้วค่อยไปรับนางมาดีกว่า”
นางกล่าววาจาแต่ละเรื่องล้วนมีเหตุผลดูดี แต่มั่วเชียนเสวี่ยที่ฟังอยู่กลับรู้สึกไร้เหตุผล และประหลาดมาก!
รับซีซีมาอยู่ในจวนกั๋วกงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับนาง ทำไมนางถึงได้เอาแต่ปฏิเสธอย่างเดียวเล่า
แปลกมากจริงๆ!
การครุ่นคิดในครั้งนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกถึงครั้งที่แล้ว ตอนที่กินข้าว สายตาที่อวิ๋นอิ๋นมองหลูเจิ้งหยางนั้นผิดปกติ
และเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว แม้ว่านัยน์ตาของอวิ๋นอิ๋นจะมีน้ำตา แต่กลับอดกลั้นสุดความสามารถ บนร่างก็แผ่กลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกอึดอัดที่อธิบายไม่ถูกออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าตนเองสงสัยคนโดยไม่มีอะไรอ้างอิงหรือไม่ เมื่อมีการเอาใจใส่ จึงมีอคติ
อย่างไรก็ตาม นางยิ่งมองอวิ๋นอิ๋นก็ยิ่งเกิดความสงสัย ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ
ไม่ใช่สงสัยว่าอวิ๋นอิ๋นจะหักหลังนาง แต่สัญชาตญาณบอกว่าผิดปกติ…
นึกถึงวันนั้นที่อวิ๋นอิ๋นเอ่ยถึงเรื่องที่สามีตนเองเร่งรีบไปสอบแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก มั่วเชียนเสวี่ยก็วิเคราะห์อย่างสุดโต่งในใจ คงไม่ใช่ว่าอวิ๋นอิ๋นเดินทางในเมืองหลวงมากไปแล้วพบกับอดีตสามี และค้นพบว่าสามีผู้นั้นแต่งงานกับผู้อื่นอย่างไร้มโนธรรมหรอกนะ…
ไม่เช่นนั้น ก็อธิบายไม่ได้จริงๆ
ใต้ฟ้านี้ มีมารดาคนไหนบ้างไม่คิดถึงลูกตนเอง
แต่ก่อนนางกับซีซีไม่เคยแยกจากกันสักวัน ตอนนี้ยับยั้งไม่ให้นางรับซีซีมาเที่ยวเล่นที่จวนกั๋วกงหลายต่อหลายครั้ง นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว
หน่วยตาอวิ๋นอิ๋นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา มั่วเชียนเสวี่ยจึงจงใจหยั่งเชิง “หลังจากข้ารับซีซีมาแล้ว จะไม่ส่งกลับไปที่หมู่บ้านอีก เลี้ยงไว้ที่จวนกั๋วกงนี่แหละ จวนกั๋วกงที่กว้างขวางเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะมีคนเพิ่มมาอีกคนหรอก เช่นนี้ เจ้าก็สามารถพบนางได้บ่อยๆ”
อวิ๋นอิ๋นคล้ายกับได้รับความตื่นตระหนก ร่างที่สะอื้นนั้นสั่นระริกทันที เอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ไม่!”
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึง นางคิดว่าอวิ๋นอิ๋นจะดีใจ คิดว่านางจะตื้นตันใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธด้วยปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้
ระหว่างที่มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงค้างอยู่นั้น อวิ๋นอิ๋นกลับได้สติคืนมา รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ทำให้นายหญิงตกใจแล้ว หนูปี้ไม่ดีเองเจ้าค่ะ ความหมายของหนูปี้ก็คือ ทุกวันนี้นายหญิงก็ยุ่งมากอยู่แล้ว ซีซีซุกซน มาอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้กับนายหญิง”
เมื่อเห็นนางเอ่ยอย่างจริงใจ มั่วเชียนเสวี่ยก็ทำได้เพียงแค่ข่มความสงสัยในใจเอาไว้
ปีนั้นที่อวิ๋นอิ๋นยินยอมเป็นทาสของตนเอง ก็ยืนกรานที่จะให้บุตรีเป็นอิสระ หรือนางกลัวว่าตนเองให้ซีซีมาที่จวนแล้ว ตนเองจะเห็นนางเป็นทาส
นี่ไม่ถูกต้อง!
มั่วเชียนเสวี่ยคิดแล้วไม่เข้าใจอยู่บ้างจึงถอนหายใจออกมา “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าก็กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย ถ้าหากมีสิ่งใดที่ต้องการฝากไปให้ซีซี ก็มอบให้กับชูอีหรือสืออู่ วันมะรืนจะได้นำไปด้วย”
ช่างเถอะ ตัวนางไม่ยินยอมรับบุตรีมา เช่นนั้นก็ตามใจนางแล้วกัน
“เจ้าค่ะ ขอบคุณนายหญิง นายหญิงก็พักผ่อนเช้าหน่อยนะเจ้าคะ บ่าวขอลา”
อวิ๋นอิ๋นคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะครั้งหนึ่งแล้วถึงลุกขึ้นถอยออกไป
……
ณ ตระกูลหนิง
ฟ้ามืดแล้ว ภายในห้องของจื่อฮูหยิน หมัวมัวในเรือนของเหล่าฮูหยินมาถ่ายทอดวาจา นางบอกว่าระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องในใจมาก นอนไม่ค่อยหลับ อยากจะเชิญอดีตหัวหน้าตระกูลไปสนทนาด้วยกันสักหน่อย
อดีตหัวหน้าตระกูลหนิงที่ได้รับการปรนนิบัติจากจื่อฮูหยิน เดิมกำลังเตรียมจะพักผ่อน ได้ยินว่าร่างกายฮูหยินผู้เฒ่าไม่สบาย นอนไม่หลับ อยากให้ตนเองไปสนทนาด้วย ก็เปลี่ยนเสื้อผ้า มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนฉือหนิง นั่งปลอบอยู่ข้างกายฮููหยินผู้เฒ่า
ความจริงแล้ว ร่างกายของตัวเขาเองก็ไม่ค่อยดีนานแล้ว
ถ้าไม่ใช่ว่ามีฝีมือสูงส่ง และมียารักษา เรื่องในตระกูลก็มีเซ่าชิงมารับช่วงต่อ ถ้าหากว่ายังคงทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักเหมือนกับในอดีต ก็ไม่แน่ว่า วันใดเขาอาจจะหายใจไม่ออกเพราะไอแน่ๆ
ระหว่างที่สนทนากัน หนิงเหล่าเหยียเห็นจอนผมมารดาล้วนเป็นสีขาวหมดแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปนวดไหล่ให้กับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเพลิดเพลินไปกับการนวดของบุตรชาย หลังจากโบกมือให้เหล่าสาวใช้และผัวจื่อที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องออกไปแล้ว ก็มองหนิงเหล่าเหยียแวบหนึ่ง พลางถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เซ่าชิงกลับมาแล้วหรือ”