“หึ? เวลานี้รู้จักขอโทษข้าด้วยหรือ เมื่อครู่พวกเจ้ามัวแต่ทำอะไรอยู่”
มั่วเชียนเสวี่ยเสพติดการเป็นคนชั่วช้าแล้ว นางทำสีหน้าลำพองใจเยี่ยงคนชั่วช้า ทำให้หญิงตระกูลมั่วทั้งสองคนโมโหจนกัดฟันกรอด! แต่เรื่องยังไม่จบ!
“พวกเจ้าไปเถอะ กลับตระกูลมั่วหรือจะไปหาหัวหน้าตระกูลหนิงของพวกเจ้า ข้าก็ไม่ยุ่ง จวนกั๋วกงคับแคบ ไม่อาจรับพวกเจ้าสองคนเอาไว้ได้!”
พวกนางทั้งสองคนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าในวันที่ท้องฟ้าสดใส!
ณ เรือนเสวี่ยหว่าน มีเสียงร้องไห้ดังระงมขึ้นมาทันที
เสียงนี้ช่างแสบแก้วหูยิ่งนัก แม้กระทั่งชูอีและมั่วเหนียงก็ไม่อาจทนได้ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับตั้งใจฟัง ตั้งใจมอง
ในที่สุด พวกนางสองคนก็ร้องไห้จนเสียงแหบ ขืนร่ำไห้ต่อไปเกรงว่าจะเสียโฉมแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่คิดจะเล่นแล้ว!
“ร้องไห้เสร็จหรือยัง” มั่วเชียนเสวี่ยส่งยิ้มให้ทั้งสอง หลังจากนั้นก็พูดในสิ่งที่ทำให้พวกนางทั้งสองคนแทบจะอกแตกตาย!
“เมื่อร้องไห้เสร็จแล้วก็กลับไปเสีย อย่าร้องโหยหวนในเรือนเสวี่ยหว่านของข้า อีกเรื่องหนึ่ง…ข้าไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด…”
สีหน้าของทั้งสองตกตะลึง! ไม่รู้จะร้องไห้ หรือจะกล่าวขอบคุณ
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยพูดจบ นางก็หมุนตัวหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง ไม่สนใจเรื่องข้างนอกอีก
ก่อนหน้านี้พวกนางบอกว่าล้อเล่นไม่ใช่หรือ พูดจาหยาบคายตั้งมากมาย แต่กลับจะให้ปล่อยผ่านไปโดยอ้างว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ นางก็จะลองล้อเล่นดูบ้าง!
ดูซิว่าพวกนางจะตกใจหรือไม่!
เห็นชัดว่าหญิงทั้งสองไม่ได้โง่เขลาถึงขั้นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย พวกนางจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงเอาไว้ได้อย่างไร ยังไม่ทันได้เข้าตระกูล ก็คิดอยากจะข่มขู่พวกนางแล้ว!
แต่พวกนางเป็นฝ่ายผิดเอง แม้จะคับแค้นใจ ทว่าก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงฝืนกล่าวขอบคุณ แล้ววิ่งแจ้นออกไป
มั่วเหนียงมองแผ่นหลังของพวกนางทั้งสองคนที่วิ่งแจ้นออกไป ฉงนเล็กน้อย
หากจัดการพวกนางในคราวเดียว จะดีเพียงใดกัน นี่คุณหนูทำอะไรอยู่…
“คุณหนู?” มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่ามั่วเหนียงจะถามเรื่องอะไร นางโบกมือให้หมัวมัว
“พลังในการต่อสู้ติดลบ ไม่ควรค่าแก่การหวาดกลัว อีกทั้ง วันข้างหน้าพวกนางยังมีประโยชน์!” นางกำลังบ่มเพาะสตรีทั้งสอง จากนั้นค่อยสร้างความประหลาดใจให้กับตระกูลมั่ว!
……
ภายในห้องเก็บคดีของแม่ทัพเก้าประตู ซูชีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าดวงตาและสมองของตนไม่พอใช้!
ไม่ใช่เพราะเหตุใด แต่เพราะองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าเอาแต่เดินวนไปมา ทำให้เขาเวียนหัวและปวดตาอย่างมาก!
“กูเสี่ยวซู! เจ้าช่วยเงียบหน่อยได้หรือไม่!”
ตั้งแต่เช้า ซูชีร้องเรียกชื่อนี้ไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้ง หากไม่ใช่เพราะน้ำเสียงของซูชีเหี้ยมโหด หากไม่ใช่เพราะกูเสี่ยวซูเป็นบุรุษ คนในจวนแม่ทัพเก้าประตู คงคิดว่าแม่ทัพซูตกหลุมรักองครักษ์ข้างกายแล้ว!
ท่านหญิงซูซูถูกซูชีร้องเรียกเช่นนี้ ม้วนคดีที่กอดเอาไว้ร่วงหล่นบนพื้น! ดวงหน้าซีดขาว!
“ท่าน…ท่านทำอะไร” นางกำลังทำงานไม่ใช่หรือ ไม่สิตั้งแต่เช้าตรู่ ซูชีบอกว่า จัดเก็บม้วนดคีในอดีตให้เรียบร้อยไม่ใช่หรือ
นางง่วนกับการทำงานทั้งวัน เขายืนอยู่ข้างๆ ไม่ช่วยอะไร แต่กลับเอาแต่ตะคอกนางตลอดเวลา
เขา…เขา เห็นชัดว่าเขาอยากทำให้ตนขายหน้า อยากจะขับไล่ตน ท่านหญิงซูซูรู้สึกน้อยอกน้อยใจขึ้นมาทันที!
ในฐานะบุรุษที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ซูชีเองก็รู้ดีว่าตนใจร้อนเกินไป แต่เขาไม่สบอารมณ์! โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นท่านหญิงซูซูเดินวนไปมาตรงหน้าเขา เขายิ่งรู้สึกอึดอัด!
อดไม่ได้ที่จะตำหนิสตรีคนนี้ ไม่มีธุระแล้วมาทำอะไรที่แม่ทัพเก้าประตู เห็นชัดว่าว่างเกินไปจึงหาเรื่องทำ!
ไม่หาเรื่องนาง นางคงไม่รู้ว่าความสามารถของตนอยู่ในระดับเท่าใด ไม่ทำให้นางลำบาก นางจะยอมถอดใจได้อย่างไร นางจะหายไปจากตรงหน้าตนได้อย่างไร
“แค่เรื่องเล็กๆ ก็ยังทำได้ไม่ดี เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หากทำไม่ไหวก็เก็บข้าวของกลับไปซะ!”
ซูชีหงุดหงิดเพราะพวกคนที่จับตัวมาเมื่อวานเป็นทุนเดิม เวลานี้ทั้งมีเจตนา ทั้งตั้งใจ คำพูดที่กล่าวออกมานั้น ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไม่มากก็น้อย
ความอับอายที่ยากจะอดทน สตรีคนหนึ่ง คงจะถอดใจกลับไปเองแล้วกระมัง
ซูชีไม่หันไปมองท่านหญิงซูซูอีก เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องเก็บคดี!
ชูชีเดินออกไป ภายในห้องเงียบสงัดขึ้นมากะทันหัน ท่านหญิงซูซูล้มตัวลงนั่งบนพื้นแล้วร้องไห้!
ซูชีไม่ชมชอบนาง! เกลียดชังนาง! ไม่ว่านางจะทำอะไร ล้วนไม่อาจทำให้ซูชีพอใจ หาเรื่องนางทุกอย่าง ตั้งแต่เมื่อวานกระทั่งตอนนี้ เขาไม่หยุดที่จะหาเรื่องนางแม้แต่น้อย ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยิ่งนัก!
แม้ท่านหญิงซูซูจะร้องไห้ แต่นางไม่คิดที่จะยอมแพ้มาก่อน!
นางคือคนแข็งแกร่งที่ไม่ยอมแพ้ นางคิดว่าการที่ซูชีทำเช่นนี้กับนาง แค่เพราะเขาไม่สมหวังในความรักก็เท่านั้น
หลังจากคิดได้แล้ว ท่านหญิงซูซูลุกขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา เม้มปากแน่น แล้วทำงานต่อ!
นางไม่เชื่อว่า ความกระตือรือร้นของนาง ไม่อาจหลอมละลายหัวใจที่น้ำแข็งของซูชีได้!
แต่ทำไปพักหนึ่ง นางกลับรู้สึกผิดปกติ
นางเป็นองครักษ์ที่คอยติดตามแม่ทัพซู ไม่ใช่คนจัดเก็บคดี ซูชีออกไปแล้ว นางจะสนใจคดีเหล่านี้ไปเพื่ออะไร
เดิมทีภายในห้องเก็บคดีมีแค่นางกับเขาสองคนเท่านั้น นางต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับเขา ดังนั้นจึงมาที่นี่
ท่านหญิงซูซูที่ตระหนักขึ้นได้มองดูรอบๆ วางม้วนคดีทั้งหมดลงบนพื้น แล้วลอบหนีออกไป
เมื่อเห็นว่าซูชีไม่ได้อยู่ในโถงทำงาน แต่อยู่ในลานฝึกยุทธ์ที่อยู่ห่างจากห้องคดีไม่มากนัก ท่านหญิงซูซูยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างอารมณ์ดี
ทว่า ท่านหญิงซูซูเพิ่งออกมาจากห้องเก็บคดีไม่นาน ประจวบเหมาะวันนี้ที่ท่านแม่ทัพเก้าประตูมีธุระ ต้องไปตรวจดูคดีในห้องคดี
เมื่อไปถึง ภายในห้องยุ่งไปหมด
“เกิดอะไรขึ้นกับห้องเก็บคดี”
“หรือว่า…หรือว่ามีโจรบุกเข้ามา”
“ผู้ใดกล้าขโมยของในจวนแม่ทัพเก้าประตู…ทหาร ไปสืบมา…”
“เมื่อครู่…คล้ายว่าท่านแม่ทัพซูเข้ามาในห้องนี้ขอรับ…”
มีเสียงดังขึ้นจากห้องเก็บคดีไม่หยุด
ซูชีหยุดฝึก หันไปมองท่านหญิงซูซูด้วยสีหน้าเยือกเย็น ทว่าท่านหญิงซูซูกลับทำท่าฟาดม้วนหนังสือ แล้วกางมือด้วยความจนปัญญา เอามือป้องปากลอบยิ้ม
ทำเต็มที่แล้ว นางยังมีอะไรต้องกลัว
มีคนคอยให้ท้าย นางทำตามอำเภอใจตนเองได้!
…….
เมื่อวานหลังจากเตาหนูกลับมา เขาก็รายงานเรื่องคุณหนูสวี่แห่งทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวผู้คลั่งไคล้บุรุษให้หนิงเซ่าชิงฟัง
แต่เช้าตรู่ ยังไม่รอให้หนิงเซ่าชิงมีการเคลื่อนไหว ภาพแผนที่ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวและที่ดินรอบๆ พระจันทร์เสี้ยว และหนังสือยินยอมยกที่ดินให้ตระหนิงก็วางอยู่บนโต๊ะของหนิงเซ่าชิงแล้ว
หนิงเซ่าชิงหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง