ตอนที่ 40 มือคู่งามได้พักผ่อน
ในสมัยโบราณ เมื่อถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านถือเป็นความผิดร้ายแรง หากถูกไล่ตีด้วยไม้ ต่อให้ถูกตีจนตาย คนตีไม่มีความผิด
ครั้นตัวปัญหาของเรื่องจากไป ชาวบ้านเห็นว่าไม่มีละครสนุกให้ดูแล้วก็พากันแยกย้ายไป
อาซ้อฟางดึงอาซ้อกุ้ยฮวาไปขอโทษ แต่เมื่อหนิงเซ่าชิงเห็นพวกนางเดินออกมาข้างหน้า ก็สะบัดแขนเสื้อพลางเดินสวนกลับเข้าไปในบ้านทันที ทำให้ทั้งสองคนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้นึกตำหนิพวกนางเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงนางพอใจมากที่อาซ้อฟางตัดสินใจเช่นนั้น เพราะถ้าหากไม่มีใครดึงอาซ้อฟางไว้ในตอนนั้น มีหวังอาซ้อฟางจะต้องกุลีกุจอออกไปช่วยนางแล้วพลอยปะทะกับผู้อาวุโสไปด้วยเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น อาซ้อฟางทำดีที่สุดแล้ว หากไม่ได้นางตามสองแสบทั้งสองมา ป่านนี้ความบริสุทธิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยก็คงไม่ถูกพิสูจน์และเรื่องราวอาจจะไม่จบลงด้วยดีเช่นนี้
ส่วนอาซ้อกุ้ยฮวา นางเป็นแม่หม้ายลูกติด จะมีความกล้าหาญออกมายืนหยัดเพื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างไร นางยังเป็นเพียงคนอ่อนแอที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้มีท่าทีตำหนิ หัวใจของอาซ้อฟางที่เต้นระรัวก็พลันสงบลง ด้านอาซ้อกุ้ยฮวาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาพลางเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวันแก่พวกเขา
อาซ้อฟางพอเห็นว่าพายุฝนห่าได้สงบลงแล้ว นึกถึงคำพูดของหนิงเซ่าชิง นางดึงมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาพลางเอ่ยถาม “น้องสาว สามีของเจ้าคงไม่ย้ายออกจากหมู่บ้านจริงๆ หรอกนะ”
ครั้นเห็นท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย มั่วเชียนเสวี่ยจึงปลอบโยนนาง “ไม่หรอก สามีของข้าพูดออกไปด้วยอารมณ์ แต่ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว”
ทุกหมู่บ้านมีทั้งคนดี คนชั่วและคนไร้ความคิด ย้ายไปหมู่บ้านไหนก็เฉกเช่นเดียวกันหมด อีกอย่าง สองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ก็ถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเรียบร้อย ทั้งคนเสเพลผู้นั้นก็ขาเป๋ไปแล้วด้วย ดังนั้นนางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาสร้างปัญหาอีก แล้วเหตุใดต้องย้ายออกจากหมู่บ้านด้วยเล่า
อาซ้อฟางคว้ามือของมั่วเชียนเสวี่ยพลางลูบที่หลังมืออย่างอ่อนโยน ดูนางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าที่มือของมั่วเชียนเสวี่ยมีแผลพุพองเต็มไปหมด ปากแผลเปิดเหวอหวะเผยให้เห็นเนื้อสีแดงข้างใน นางจึงร้องโวยวายขึ้นด้วยความตกใจ “หนิงเหนียงจื่อ เจ้าไปทำอะไรมา เหตุใดมือถึงเป็นเช่นนี้ เจ้าเจ็บหรือไม่…”
คำทักท้วงแสนเป็นกังวลของอาซ้อฟางทำให้มั่วเชียนเสวี่ยได้สติและรีบตรงบึ่งไปที่ห้องข้างทันที
สวรรค์! ดันลืมงานแกะสลักรากที่รอให้นางไปขัดเงาอยู่ห้องเซียงฟางได้อย่างไร นี่ก็บ่ายแล้ว พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดินแล้วด้วย ไม่ทันแล้วๆ
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยผลักประตูออก ทันใดนั้นแสงจากภายนอกประตูก็ตกกระทบลงบนงานแกะสลักชิ้นนั้น ประกายแวววาวสะท้อนเข้ากับดวงตาของนาง
ร่างบางอ้าปากนิ่งค้าง นี่…เป็นไปได้อย่างไร
เมื่อวานยังเป็นเพียงงานแกะสลักที่หยาบกระด้าง แถมยังมีเสี้ยนหนามมากมายที่ยื่นออกมาไม่ใช่หรือ เหตุใดในวันนี้พื้นผิวของมันกลับแปรเปลี่ยนเป็นพื้นผิวที่เรียบลื่นจนสามารถสะท้อนแสงได้!
เป็นผู้ใดกัน ใครกันที่ช่วยนาง
ครั้นนึกถึงมือเรียวยาวที่ยื่นออกมาหานางในตอนเช้า แผลพุพองที่ฝ่ามือและตามส่วนโค้งของนิ้วนั่น…
มั่วเชียนเสวี่ยกระจ่างในทันที พร้อมกับรีบหันหลังออกจากห้องเซียงฟาง
อาซ้อฟางที่ยังคงยืนงงอยู่กับที่ “นี่ น้องสาว เจ้าช้าลงหน่อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” นางเอ่ยถามพลางรีบตามนางมาที่ห้องเซียงฟาง
มั่วเชียนเสวี่ยที่เร่งรีบชนเข้าอย่างจังกับอาซ้อฟางที่กำลังตามมา อาซ้อฟางดวงตาพร่ามัว แต่มั่วเชียนเสวี่ยหายวับเข้าไปในห้องโถงแล้ว
อาซ้อฟางส่ายหัวพลางเรียกสติแล้วมองไปทางเซียงฟางอย่างสับสน จู่ๆ ก็ต้องตกตะลึงในทันที
นางจำได้ชัดเจนว่าสิ่งที่ถูกหามเข้ามาในวันนั้นคือรากไม้ใหญ่ กิ่งก้านเก้งก้างและผิวสีดำที่ดูน่าเกลียด แต่ตอนนี้…แม่เจ้า นี่นางตาฝาดไปใช่หรือไม่
หนิงเซ่าชิงเพิ่งถอดเสื้อผ้าเตรียมนอนพักกลางวัน แต่กลับได้ยินเสียงลมพายุดังวืด ถัดมา ประตูห้องนอนก็เปิดออก
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามา เขาจึงขมวดคิ้วพลางลุกขึ้นนั่งแล้วทัก “เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทางตกอกตกใจเช่นนี้ได้”
ดูเหมือนว่าเขาต้องสอนมารยาทแก่นางบ้างเสียแล้ว หญิงสาวคนนี้เวลาจะสง่างามก็สง่างามเสียจนน่าใจหาย แต่เวลาหุนหันพลันแล่นสภาพดูไม่คอยได้เลย คุณธรรมของหญิงที่ดีหายไปไหนแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจน้ำเสียงและถ้อยคำเชิงตำหนิของเขา มือเล็กดึงมือของร่างสูงออกจากผ้าห่ม
ครั้นเห็นตุ่มพองบนสองมือคู่นั้น จู่ๆ นางก็น้ำตารื้นขึ้นมา “เป็นท่าน ใช่หรือไม่”
หูของหนิงเซ่าชิงแดงก่ำจากการถูกจ้องมองอย่างตื้นตันใจของมั่วเชียนเสวี่ย จากนั้นเขาก็ดึงมือกลับพลางซ่อนมันไว้ใต้ผ้าห่มดังเดิม สองตากลอกไปมา แม้ในใจจะตื่นเต้นเพียงใดก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ” ข้าทำไมหรือ”
“งานแกะสลักนั่น ท่านเป็นขัดมันให้ข้าใช่หรือไม่”
“ขัดมันอะไรกัน ข้าทำไม่เป็นเสียหน่อย!” หนิงเซ่าชิงส่ายหัวแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง “เพียงเห็นเจ้าสลักมันออกมาเสียดูดี ข้าก็เลยลองจับเล่นดูสักพัก คงไม่ได้เล่นจนพังไปหรอกนะ”
“ไม่เลย ท่าน ท่านเล่นได้ดีมาก!” จับเล่น? ใครจะไปเชื่อ! ขัดมันได้เงาวับเพียงนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม หากแค่จับเล่นจะสามารถทำให้มือเป็นแผลพุพองเต็มไปหมดได้เช่นนี้หรือ
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มทั้งน้ำตา ในเมื่อเขาไม่อยากยอมรับ นางก็ไม่จำเป็นต้องไปซักไซ้ให้มากความ
เพียงเท่านี้ก็หมดห่วง เหลือก็แต่การลงสี เพียงทาประเดี๋ยวเดียวถึงพรุ่งนี้เช้าก็คงแห้ง
ก้อนหินที่หนักอึ้งอยู่บนบ่าถูกวางลง อารมณ์พลันแจ่มใสขึ้นทันตา มั่วเชียนเสวี่ยมองดูท่าทีของอีกฝ่ายอีกครั้ง คิดในใจว่า คุณชายขี้เขินออกอาการอีกแล้ว เขาช่วยนางชัดๆ ยังจะปากแข็งบอกว่าไม่ได้ช่วยอีก ช่างน่ารักเสียจริง มั่วเชียนเสวี่ยพลันมีคิดหยอกเย้าคนตรงหน้า ก้าวเท้าไปหาหนิงเซ่าชิง ประคองแก้มของเขาขึ้นพร้อมกับประทับรอยจูบแนบนิ่ง
หลังจากลอบจุมพิต ร่างบางก็หันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง นางอดไม่ได้หัวเราะพรวดออกมา “ไม่ต้องซ่อนแล้ว มือของท่านน่ะเป็นมือที่งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา”
ในขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยผละออกมาด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างระเรื่อ ที่มุมปากของเขาเผยเส้นโค้งสวยงาม สองมือลูบบริเวณรอยจูบพลางบ่นงึมงำ มือของเจ้าก็งดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเช่นกัน
……
ในเมืองเทียนเซียง มีรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
ภายในรถ มั่วเชียนเสวี่ยลูบงานแกะสลัก ภูมิใจในผลงานของตน ช่างเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบจริงๆ! ประติมากรรมรากไม้ที่ทาสีจนสมบูรณ์ ทำให้หนิงเซ่าชิงประหลาดใจในความสมบูรณ์แบบของมัน สมบูรณ์แบบเสียจนตัวนางเอกยังนึกเสียดาย
เนื่องจากต้องขนงานแกะสลักออกไปด้วย ทว่ารถม้าของไป๋อวิ๋นจวีนั้นอัดแน่นไปด้วยเต้าหู้จำนวนมากจึงทำให้ไม่มีที่ว่างมากพอ ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงต้องจ้างรถม้าของตระกูลจางแทน
อาซ้อจางจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของสามีนางอย่างใกล้ชิด เมื่อได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าต้องไปรับนางที่บ้าน อาซ้อจางจึงตามติดมาด้วย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่อาซ้อกุ้ยฮวาเหมือนราวกับว่านางเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งทำผิดมา อาซ้อกุ้ยฮวาจึงเดินห่อตัวเข้าไปในครัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ในสถานการณ์เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยถึงกับพูดไม่ออก!
หลังจากที่เสี่ยวฉีจื่อได้ยินมาว่านางก็คือแขกคนสำคัญที่คุณชายซินนัดไว้ เขาจึงเรียกบรรดาเสี่ยวเอ้อร์มาช่วยกันเคลื่อนย้ายรูปปั้นแกะสลักที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงขนาดใหญ่ไปยังห้องพิเศษที่ซินอี้หมิงได้จองไว้ล่วงหน้า
นี่ก็ยังเช้าอยู่ ซินอี้หมิงยังไม่มา มั่วเชียนเสวี่ยจึงนั่งจิบชาอยู่ในห้องหรูหราเพียงคนเดียว แต่แล้วจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน
ผู้ที่เข้ามาใหม่แต่งตัวด้วยผ้าทอสวยหรู พร้อมกับสะบัดพัดในมือเบาๆ บุคลิกมากด้วยเสน่ห์เช่นนี้ หากไม่ใช่คุณชายเจ็ดแล้วจะเป็นใครไปได้
“หนิงเหนียงจื่อจะมาที่นี่ก็ไม่บอกกล่าวกันก่อน คงลืมคุณชายเจ็ดคนนี้ไปแล้วกระมัง” ยังคงมั่นหน้ามั่นตาเช่นเคย คำพูดของเขานี้ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยแสลงหุ
ลืมคุณชายเช่นเขาไปแล้ว? แล้วนี่เขากับนางเป็นอะไรกันทำไมจะลืมไม่ได้
หากเป็นคนที่คิดเป็นอื่นได้ยินเข้า คงคิดว่านางไม่มีคุณธรรมของหญิงสาว คอยหว่านเสน่ห์ไปทั่ว
มั่วเชียนเสวี่ยเม้มปาก วางถ้วยชาลง “คุณชายเจ็ดงานล้นมือเช่นนี้ ข้าจะกล้ารบกวนได้อย่างไร ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อเจรจาการค้า หากทำการใดไม่ถูกต้อง ขอคุณชายเจ็ดอย่าได้ถือสา”