บรรดาสตรีชั้นสูงที่เข้าใจเรื่องรักใคร่ ไม่รู้จะยิ้มหรือจะหัวเราะให้กับคำว่าทะเลาะตบตีของมั่วเชียนเสวี่ย
ทางด้านหญิงชั้นสูง แม้จะพอรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เวลานี้ไม่มีใครกล้าแสดงออกมา ทำได้เพียงฝืนยิ้มแล้วเปลี่ยนบทสนทนา พวกเขาเหมือนตอนที่มา มาอย่างยิ่งใหญ่ กลับไปอย่างยิ่งใหญ่
“คุณหนูเจ้าคะ! คุณหนูเจ้าคะ!” เพิ่งเดินได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงสืออู่ร้องเรียกจากด้านหลัง!
บรรดาสตรีชั้นสูงต่างรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อยากจะหลบเลี่ยงก็หลบเลี่ยงได้ ทว่าเพราะความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็น พวกนางจึงยืนอยู่ที่เดิม รอสืออู่
มั่วเชียนเสวี่ยมองทุกคนปราดหนึ่งเงียบๆ โดยเฉพาะตอนที่ดวงตาขององค์หญิงอวี้เหอหรี่เล็ก ฉายรอยยิ้ม นางยืนอยู่ด้านหน้า ตอนที่สืออู่วิ่งมา นางด่าทอสืออู่เล็กน้อย “เหตุใดต้องร้องตะโกนเสียงดังเช่นนี้ หากวิ่งชนบรรดาสตรีชั้นสูงเข้า เจ้าจะได้เห็นดี!” ความน่าเกรงขามที่ควรมี บางคราก็ควรแสดงออกมาด้วย
สืออู่รีบคุกเข่าลงบนพื้น กล่าวขอโทษสตรีชั้นสูงทั้งหลาย ทุกคนล้วนบอกว่าไม่ถือสา แต่สายตาของพวกนางราวกับหมาป่า ร้อนใจอยากจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในป่าไผ่กันแน่!
หรือจะกล่าวว่าสิ่งที่พวกนางอยากรู้คือ ผู้ใด…เป็นตัวเอกกันแน่!
“เรื่องอะไรควรค่าให้เจ้าร้องตะโกนเสียงดัง พูดมาเถอะ” แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยล้วนเห็นสายตาของทุกคน แต่ต้องแสร้งวางตัวในการเอ่ยถามเล็กน้อย การแสดงละคร ต้องแสดงให้สมบูรณ์แบบจึงจะสมจริง
อย่างน้อย ต้องทำให้พวกคนที่สงสัยใคร่รู้ ได้รับความพอใจ!
สืออู่ถูกถามเช่นนี้ ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อขึ้นมาทันที!
ทุกคนต่างคิดกันไปต่างๆ นานา บรรดาสตรีชั้นสูงที่รู้ดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดวงแก้มของพวกนางก็แดงระเรื่อเช่นเดียวกัน ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงถามสืออู่ “บอกให้เจ้าพูดก็พูดสิ เหตุใดอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้ หรือว่า…”
หยุดชะงัก สีหน้าของนางฉายความเข้าใจ
การหยุดชะงักของนาง สะกิดความคิดของทุกคนได้สำเร็จ ทุกคนต่างมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น รอนางพูดออกมา!
“หรือว่า…ทะเลาะตบตีกันจนมีคนตายเช่นนั้นหรือ”
ฮ่าๆ…
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลใด สุดท้ายกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ถึงขั้นหัวเราะออกมา!
มั่วเชียนเสวี่ยมองสตรีชั้นสูงคนนั้นด้วยความฉงน ขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านนี้มีปัญหาอะไร หรือว่าเชียนเสวี่ยเดาผิด”
คุณหนูคนนั้นเห็นมั่วเชียนเสวี่ยถามนาง ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย!
นางไม่ได้หัวเราะเยาะมั่วเชียนเสวี่ย เพียงแต่จนปัญญากับความใสซื่อของมั่วเชียนเสวี่ย! ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่ ในเรือนหลังใหญ่ มีสตรีคนใดบ้างที่จะไม่ประสีประสา
ตอนเห็นแก้มของบรรดาสตรีชั้นสูงมากมายแดงระเรื่อ คนที่รู้ความและคนที่ไม่ประสีประสา ต่างพอจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…
“ไม่…ไม่มีอะไรข้าเพียงรู้สึกว่า คุณหนูใหญ่มั่ว…พูดมีเหตุผลก็เท่านั้น”
พูดมีเหตุผลจึงหัวเราะเช่นนั้นหรือ ภายในใจของทุกคนต่างดูแคลนนาง แต่ล้วนไม่สะดวกที่จะขัดนาง จึงทำได้เพียงเห็นดีเห็นงาม แค่เพราะพวกนางก็กลั้นหัวเราะเช่นเดียวกัน
“สาวใช้คนนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นในป่าไผ่ เจ้าพูดมาเล่า” หลี่ฮูหยินที่สวมชุดสีเหลือง รอดูเรื่องสนุกมานานแล้ว ในที่สุดก็ไม่อาจข่มความอยากรู้อยากเห็นได้ ถามด้วยความร้อนใจ
มั่วเชียนเสวี่ยก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน นางเองก็อยากจะรู้ว่าสถานการณ์ของสงครามเป็นอย่างไร
ดวงแก้มของสืออู่แดงก่ำ แต่ยังคงพูดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด!
เหล่าสตรีชั้นสูงที่เมื่อครู่กระซิบกระซาบกันนั้น เงียบเสียงลงทันที!
บรรดาหญิงชั้นสูงมีทั้งคนที่รอดูเรื่องสนุก มีทั้งคนที่แก้มแดงก่ำก้มหน้างุด ส่วนสตรีชั้นสูงกลับเผยสีหน้าเป็นจริงตามคาด!
มีเพียงมั่วเชียนเสวี่ย กำหมัดแน่น พยายามข่มความโมโหที่ปะทุขึ้นมา!
“ไป…ไปเชิญหัวหน้าตระกูลมั่วมาให้ข้า! ข้าจะดูซิว่าหัวหน้าตระกูลจะอธิบายให้ข้าฟังอย่างไร!”
ทุกคนมองตากัน สายตาของพวกนางล้วนแสดงออกว่า ‘มีเรื่องสนุกแล้ว…’
มีเพียงองค์หญิงอวี้เหอที่ผิดหวัง!
จะดีเพียงใด หากคนในป่าไผ่คือมั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่มีผู้ใดอยากจะชมป่าไผ่แล้ว สิ่งที่ทุกคนโปรดปรานที่สุดกลายเป็นสอดรู้สอดเห็น! ดังนั้นทุกคนจึงยืนอยู่กับมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังโมโห แล้วเดินตามไปที่โถงหน้า
หัวหน้าตระกูลมั่วนั่งอยู่ในโถงหน้า ชูอีกำลังรินน้ำชา
พวกคนที่หัวหน้าตระกูลมั่วต้อนรับคือพวกคนที่อายุค่อนข้างมากเล็กน้อย ทั้งยังไม่ได้มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งเท่าใดนัก
พวกคนหนุ่ม คุณชายทั้งสามของตระกูลมั่วพาพวกเขาไปจิบน้ำชาและเสวนากลอนกวีในเรือนของตน
ทั้งยังมีบางส่วนเดินเที่ยวชมสวนดอกไม้และเดินหมาก
ยกตัวอย่างเช่น เฟิงอวี้เฉิน
เขาคือคนที่ดูแคลนคนตระกูลมั่ว
แต่ว่า พิธีปักปิ่นของญาติผู้น้อง เขาไม่อาจไม่มาร่วมงานได้
ตอนที่เห็นสืออู่เดินมาด้วยความเร่งรีบ ชูอีก็รู้แล้วว่าเรื่องทางด้านนั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว นางยกกาน้ำชาขึ้นมาแล้วรินน้ำชาให้แขกเหรื่อทันที
“หัวหน้าตระกูลมั่ว! หัวหน้าตระกูลมั่ว!” สืออู่ร้องตะโกน พร้อมกับวิ่งมา
บรรดาองครักษ์ของจวนกั๋วกงต่างรู้จักสืออู่ แน่นอนว่าย่อมไม่ขวางทาง จึงปล่อยให้สืออู่เข้ามาอย่างราบรื่น!
เวลานี้หัวหน้าตระกูลมั่วกำลังพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบตระกูลอื่นๆ พูดตามมารยาทเท่านั้น จู่ๆ ถูกคนร้องเรียก เขาตกใจทันที
ขณะที่เขากำลังตกใจอยู่นั้น สืออู่ก็มาถึงแล้ว
“หัวหน้าตระกูลมั่ว! เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูทั้งสองของท่านแล้ว เรื่องนี้ทำให้คุณหนูของข้าโมโหอย่างมาก คุณหนูเชิญท่านไป”
ถ้อยคำสั้นๆ เพียงหนึ่งประโยค แต่คนในนี้คนใดบ้างที่ไม่ใช่คนฉลาด ย่อมฟังความหมายที่ซ่อนเร้นของเรื่องนี้ออก…
ถ้อยคำนี้แฝงความหมายมากมาย…
ข้อแรก คุณหนูใหญ่ไม่ได้มาเชิญ แต่ให้หัวหน้าตระกูลมั่วออกไป ซึ่งก็หมายความว่าคุณหนูใหญ่ไม่เห็นหัวหน้าตระกูลมั่วซึ่งเป็นลุงของนางอยู่ในสายตา
ข้อสอง ได้ยินว่าคุณหนูทั้งสองที่มีปัญหาคือคนที่หัวหน้าตระกูลมั่วเตรียมเอาไว้ให้ติดตามคุณหนูใหญ่มั่วตอนแต่งออกเรือน ไม่แน่ว่าบุตรีของพวกเขาอาจจะมีโอกาสอีกครั้งแล้วก็ได้
ทุกคนมองตากันครู่หนึ่ง ต่างมีความสุขบนความทุกข์ร้อนของผู้อื่น
เดิมทีตระกูลมั่วไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ความรุ่งโรจน์ทั้งหมดของตระกูลมั่วเป็นเพราะผลงานการทำสงครามของมั่วกั๋วกง อีกทั้งคุณหนูใหญ่ของตระกูลมั่วก็ได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ให้แต่งงานกับหัวหน้าตระกูลหนิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางอันดับหนึ่ง ตระกูลมั่วจึงมีหน้ามีตายิ่งกว่าเดิม
หากสตรีตระกูลมองอีกสองคนถูกยกให้เป็นอนุภรรยาของหัวหน้าตระกูลหนิง ก็จะยิ่งไม่ธรรมดา!
เบื้องหน้าพวกเขามีสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลมั่ว ทว่าเบื้องหลังผู้ใดบ้างที่ไม่อยากให้ตระกูลของตนดีกว่าตระกูลของผู้อื่น พวกเขาไม่ชอบตระกูลมั่วมานานแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็มีจุดอ่อนของตระกูลมั่ว แล้วจะไม่ดีใจได้อย่างไร
นายท่านหลี่แสร้งตีสองหน้า “หัวหน้าตระกูลมั่ว ในเมื่อคุณหนูใหญ่ร้องเรียกท่าน เช่นนั้นท่านก็ไปเถอะ หากเป็นเรื่องร้ายแรงขึ้นมา ไม่อาจเสียเวลาได้!”