ท่านหมอถอยออกไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้เอ่ยด้วยท่าทางขลาดเขลา “องค์หญิงอวี้เหอ นี่…ปี้หวนผู้นี้เป็นคนขององค์หญิง หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ขอองค์หญิงโปรดสั่งการเองเถอะเพคะ”
ปัญหาปรากฏขึ้นตรงหน้าองค์หญิงเช่นนี้
แม้ว่าในงานเลี้ยงชมดอกท้อคราวที่แล้ว คนที่ออกคำสั่งจะเป็นองค์หญิงอวี้เหอ แต่คนที่ลงมือก็คือปี้หวน มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีทางลืม
ถ้าไม่ใช่ว่านางฉลาดหลักแหลม ถ้าไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าหวังหมอประหลาดผู้นั้นทิ้งยาป้องกันสติเอาไว้ให้ ก็มิอาจรับรองได้ว่าผู้ที่จะถูกเล่นงานจะไม่ใช่ตัวนาง
นางไม่มีทางปล่อยองค์หญิงอวี้เหอกับปี้หวนที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำความผิดผู้นี้ไป
องค์หญิงอวี้เหอไม่โง่ กลับกัน นางฉลาดมาก เรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าหากว่านางยังมองไม่ออกอีกว่าถูกมั่วเชียนเสวี่ยเปิดโปงออกมาอย่างชัดเจน ก็คงตาบอดแล้ว
ตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่า คราวที่แล้วมั่วเชียนเสวี่ยยังคงร่างกายบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ก่อนที่บุรุษสองคนนั้นจะตาย ก็ได้บอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วจริงๆ
นั่นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ไม่รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยใช้วิธีการใด กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ [1]ทำให้ปี้หวนสตรีโง่เง่าผู้นี้ตกหลุมพราง มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงแต่จะหลุดออกจากแผนการที่วางเอาไว้ แต่ยังเปิดเผยตนเองด้วย
ในตอนนี้องค์หญิงอวี้เหอที่มักจะยิ้มอ่อนโยนมีท่าทีเย็นชาเด็ดขาด
นางเอ่ยเสียงเบา “โบยให้ตาย!”
องค์หญิงออกมาท่องเที่ยว ย่อมไม่มีทางพาข้ารับใช้มาปรนนิบัติเพียงแค่คนเดียว สิ้นเสียงองค์หญิงอวี้เหอ ย่อมมีคนพุ่งออกมาจับปี้หวนเอาไว้ และเตรียมลากออกไป
ไม่รู้ว่าปี้หวนไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด อดทนต่อความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อย สะบัดคนที่จับนางไว้ทั้งสองคนออกแล้วคุกเข่าลงกับพื้น พลางร้องขอความเมตตา “องค์หญิงโปรดละเว้นด้วยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ความจริงแล้ว ตอนนี้ตัวนางก็ยังคงไม่รู้ว่า นางที่เป็นสตรีวัยแรกแย้มซึ่งยังมิได้แต่งงานจะตั้งครรภ์ได้เช่นไร จะต้องมีอันใดผิดพลาดแน่นอน!
ปี้หวนร้องขอให้ละเว้นชีวิตแล้ว ก็ส่ายศีรษะอย่างแรง น้ำมูกน้ำตารินไหลรวมกัน “องค์หญิง นี่มันเป็นไปไม่ได้ หม่อมฉันถูกปรักปรำ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหม่อมฉันยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง…เขาปรักปรำหม่อมฉัน…”
ทว่า กลับไม่มีผู้ใดเชื่อในวาจาของนาง
เป็นเพราะสีหน้าของนางซีดเผือด อาการอื่นๆ ก็เป็นอาการของการแท้งบุตร
และยิ่งเป็นเพราะมีสตรีชั้นสูงสองคนที่นั่งอยู่ในที่นี้รู้จักท่านหมอที่ตรวจอาการให้นางพอดี
ท่านหมอที่ตรวจโรคให้กับเหล่าสตรีชั้นสูงในเมือง วนไปวนมาก็มีเพียงแค่ไม่กี่ท่าน
ถงเหรินถังมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่มาก จะตรวจพลาดว่าเป็นการแท้งบุตรหรือไม่ได้เช่นไร
องค์หญิงอวี้เหอหันหน้าไปอีกทาง นางไม่มองปี้หวนเลยด้วยซ้ำ จิตใจนางวุ่นวายเล็กน้อย การจู่โจมนี้มาอย่างกะทันหัน นางไม่ทันคิดให้เรียบร้อยว่าจะจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้อย่างไรไปชั่วขณะ
ปี้หวนรู้ว่าเมื่อตนเองถูกลากออกไปก็มีเพียงแต่ตายสถานเดียว จึงพนันสักคราโดยการกล่าวเรื่องที่รู้ออกมา “องค์หญิง แม้ว่าหม่อมฉันไม่มีผลงาน แต่ก็ทุ่มเทกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อพระองค์อย่างยากลำบาก เมื่อครู่หม่อมฉันยังไปช่วยพระองค์…”
อวี้เหอร่างกายแข็งทื่อ หันขวับไปจ้ององค์รักหญิงที่คุมตัวปี้หวนสองคนนั้นเขม็ง และตวาดเสียงดัง “ยังจะนิ่งอยู่ทำไม ปิดปากแล้วโบยให้ตายเสีย”
องครักษ์สองนางตระหนก รีบดำเนินการทันที พวกนางคุมตัวปี้หวนไม่อยู่เสียที่ไหน แต่ปกติอยู่ด้วยกันทั้งเช้าเย็น จึงแข็งใจทำไม่ลงชั่วคราว
เพียงพริบตาเดียว องครักษ์สองนางก็จับปี้หวนไว้แน่น คนหนึ่งรีบร้อนดึงชายเสื้อปี้หวนยัดใส่ปากนางในตอนที่นางกำลังเอ่ยคำว่าอวี้เหอ
แต่เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยกลับดังขึ้นในตอนนี้ “ช้าก่อน”
“ข้าจัดการสาวใช้ของตนเอง คุณหนูใหญ่มั่วยังมีอันใดจะกล่าวอีก”
“องค์หญิงอวี้เหอจัดการสาวใช้ของตนเอง หม่อมฉันย่อมมิมีอันใดจะกล่าว เพียงแต่โปรดให้ความเมตตากับหม่อมฉันเรื่องหนึ่ง แม้ว่าสาวใช้ผู้นี้จะเสียตัวไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะตกอยู่ในสภาพที่ถูกปรักปรำ เหตุใดพระองค์จึงไม่ให้นางกล่าววาจาให้จบ องค์หญิงมีเมตตาโอบอ้อมอารีเสมอมา ย่อมใจกว้างต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง เมื่อครู่คิดว่าคงถูกสาวใช้ผู้นี้ทำให้บันดาลโทสะจนทำเกินเลยไปชั่วคราว ถ้าหากองค์หญิงไม่สะดวกสอบปากคำ หม่อมฉันที่จงรักภักดีในตัวพระองค์ สามารถสอบถาม…”
กล่าวอย่างน่าฟังก็คือไต่สวนสาวใช้ด้วยความจงรักภักดี กล่าวอย่างไม่น่าฟังก็คือ ให้โอกาสปี้หวนเอ่ย เพื่อทำให้องค์หญิงขายหน้า
องค์หญิงอวี้เหอกล่าวไม่ออก หากว่านางยืนกรานที่จะให้นำคนไปโบยให้ตาย ก็จะไร้คุณธรรม หากไม่โบยปี้หวนผู้นี้ให้ตาย มิต้องกล่าวถึงว่าเรื่องของสตรีแพศยาสองนางในวันนี้จะถูกป้ายบนตัวนาง เรื่องในงานเลี้ยงชมดอกท้อวันนั้น คิดอยากจะปิดก็ปิดไว้ไม่อยู่
สีหน้าขององค์หญิงอวี้เหอดำทะมึนถึงขีดสุด การเดินทางในวันนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยมีสภาพย่ำแย่ แต่ตนเองกลับต้องแบกรับชื่อเสียงสกปรกด้วย
ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ ถ้าหากสาวใช้ผู้นี้ไม่ตาย สิ่งที่ตนเองทำมาทั้งหมดในหลายปีมานี้ก็จะกลายเป็นดั่งฟองอากาศเท่านั้น
ปี้หวนจำเป็นต้องตาย!
ช่างมันเถอะ! เทียบกับชื่อเสียงป่นปี้ไม่มีที่สิ้นสุด ชื่อเสียงด้านคุณธรรมนี่ไม่เอาแล้วก็ได้ ปี้หวนผู้นี้จำเป็นต้องตายต่อหน้าตนเอง ถึงจะสบายใจได้
องค์หญิงอวี้เหอที่คิดตกแล้ว ก็เหลือบตาขึ้นมอง พลางเอ่ยด้วยท่าทางแน่วแน่อย่างที่สุด “ไม่ต้อง ข้าตกรางวัลเมื่อทำความดีและลงโทษเมื่อกระทำความผิดอย่างชัดเจนมาโดยตลอด นางกระทำความผิด ก็สมควรได้รับโทษ
ตานางจ้องมั่วเชียนเสวี่ย แต่ปากกลับสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาข้างกาย “ยังจะนิ่งอยู่ทำไป ลากนางไปโบยให้ตาย”
มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมืออกไปขวางเอาไว้ “ช้าก่อน!”
องค์หญิงอวี้เหอขมวดคิ้วเป็นปม ฝืนอดทนไม่เอ่ยอันใด
เหล่าสตรีชั้นสูงที่อยู่ในที่นั้นล้วนก้มหน้า พยายามลดทอนความมีตัวตนของตนเองสุดความสามารถ และมิกล้าส่งเลียงหรือเคลื่อนไหวอันใดในช่วงเวลาสำคัญนี้แม้แต่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยโค้งตัวแสดงให้เห็นถึงความเคารพนบนอบ แต่วาจาที่กล่าวออกมากลับบีบคั้นผู้คน “วันนี้เป็นงานเลี้ยงปักปิ่นของหม่อมฉัน มิอาจให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดได้ ถ้าหากพระองค์ยืนกรานจะทำเช่นนั้น ก็ขอให้นำคนออกไปจากจวนกั๋วกงก่อนค่อยลงโทษเพคะ”
ขับไล่แขกอย่างสง่าผ่าเผย!
คิดไม่ถึงว่าพระราชธิดาที่ประสูติแต่ฮองเฮาจะถูกบุตรีของขุนนางขับไล่อย่างเปิดเผยเช่นนี้
อีกทั้ง การขับไล่นี้ยังทำให้นางกล่าวเหตุผลใดไม่ออกด้วย
องค์หญิงอวี้เหอเบิกตากว้างมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ย ภายในแววตาที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะนั้นมีแวว…เหลือเชื่อยิ่งกว่า
สตรีนางนี้! น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ในตอนนี้นางขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก แม้ว่าจะหน้าด้านอยู่ต่อไป แม้ว่าทุกคนจะไม่กล่าวอันใด แต่ในใจทุกคนกลับเห็นนางเป็นตัวตลกและยิ่งดูถูกนาง แพ้คนมิอาจแพ้พลังอำนาจ! ใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า องค์หญิงอวี้เหอก็เชิดหน้าขึ้น แค่นเสียงหนักแล้วก้าวเท้าจากไป
ทว่า ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย องค์หญิงอวี้เหอมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
ท่ามกลางสายตาผู้คน องค์หญิงอวี้เหอหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างเศร้าหมอง
หัวหน้าตระกูลมั่วพาสตรีตระกูลมั่วสองนางจากไปด้วยความเดือดดาล องค์หญิงอวี้เหอคุมตัวสาวใช้ที่กระทำความผิดจากไปด้วยความเศร้าหมอง เหล่าสตรีชั้นสูงในสวนบุปผาก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
งานเลี้ยงปักปิ่นนี้ กล่าวได้เลยว่าข่าวซุบซิบนินทาแบบใดล้วนมีหมด!
แรกคือจย่าเหล่าฮูหยินเป็นผู้จัดการพิธีปักปิ่นให้กับมั่วเชียนเสวี่ยในฐานะมารดาบุญธรรม จากนั้นก็คือของขวัญแสดงความยินดีอันล้ำค่าจากหนิงเซ่าชิง
สองเรื่องนี้ยังไม่ทันหยุดกล่าวถึง ทางด้านสตรีสองนางที่เดิมกล่าวว่ามอบให้เป็นสินเดิมติดตามตอนเจ้าสาวแต่งงานไปของตระกูลมั่วกลับก่อความวุ่นวายขึ้นมา นัดพบคนลับๆ ในป่าไผ่อย่างทนความเหงาไม่ไหว จากนั้นก็มีข่าวลือว่าสาวใช้คนสนิทขององค์หญิงอวี้เหอตั้งครรภ์และแท้งบุตร!
เรื่องแล้วเรื่องเล่าคล้ายกับว่าไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกัน แต่กลับทำให้ผู้คนนำเรื่องทั้งหมดมาเชื่อมโยงกันอย่างง่ายดาย! หากเป็นผู้อื่น เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในจวน ทั้งยังไร้บิดามารดาจัดการ คาดว่าแม้จะไม่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ก็ต้องสติเลอะเลือนแน่นอน จะเป็นจะตายก็ยังต้องถูกผู้อื่นบีบบังคับ ถูกผู้อื่นเย้ยหยัน ปฏิบัติกับคนผู้นั้นประหนึ่งเป็นตัวตลก
[1] กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ เป็นกลยุทธ์ในนิยายสามก๊ก ซึ่งมีความหมายว่าเสียสละส่วนน้อยเพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน