ตอนที่ 42 ใครให้ราคาดีกว่า
ซูชีครุ่นคิด นางต้องการเงินอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะสามีที่ป่วยหรือ เหตุใดนางจึงไม่มาหาเขาเล่า
เขาจะไม่บอกนางหรอกว่าที่เขามาวันนี้ก็เพราะมาช่วยนาง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่มั่วเชียนเสวี่ยหันหลังตีตัวออกห่างจากเขาตอนเข้าประตูมาในครั้งแรก ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แต่ก็ต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้…
อันที่จริง เขานับถือในพรสวรรค์ของคนตรงหน้า แม้จะสงสารช่วงชีวิตที่ต้องพบเจอ แต่ในขณะเดียวกันก็ชื่นชมในความจริงใจและตรงไปตรงมาของนาง เพียงคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าสนใจมาก เขาจึงอยากปกป้องเสมือนการกางร่มให้ดอกไม้งามท่ามกลางสายลมและสายฝน ไม่ใช่การเก็บดอกไม้กลับบ้านไปด้วย
บ้านของเขาเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและเล่ห์กลเพทุบายมากมาย นางที่สดใสงดงามเพียงนั้น จะไปอยู่ได้อย่างไร
ครั้นคิดถึงตอนที่นางต้องลงมือทำไร่ทำสวน ทั้งยังหัวเราะอย่างมีความสุขได้อีกด้วย ดวงตาของซูชีกลอกไปมา แม้เขาไม่ใช่คนที่นางนึกถึงแต่เขาก็ยังยินดีที่จะช่วย ต่อให้ท้ายที่สุดสิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาจะเป็นเพียงแค่รอยยิ้มที่ไร้หัวใจก็ตาม
“เก้าดารานำโชค!”
หลังจากเดินไปรอบๆ ผลงานแกะสลักชิ้นนั้นถึงสองครั้งสองครา จู่ๆ ซินอี้หมิงก็ร้องอุทานขึ้น “เยี่ยม! ดีมาก! งานแกะสลักชิ้นนี้ดูดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
เมื่อพูดจบ เขาก็ขยิบตาให้กับเกาหลั่งที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผู้ที่ถูกทักได้ยื่นบางสิ่งให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย
“นี่คือจำนวนเงินห้าร้อยตำลึง…”
คุณชายเจ็ดที่เห็นดังนั้นจึงทุบโต๊ะพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “อะไรนะ ห้าร้อยตำลึง งานเช่นนี้มีมูลค่าราคาเพียงห้าร้อยตำลึงเองหรือ ข้าอยากได้! สนนราคาจำนวนหกร้อยตำลึง นะ นี่เป็นเชียวนะ”
เมื่อเสียงถูกตะโกนออกมา ซูชีไร้ซึ่งภาพลักษณ์คุณชายใดๆ กลับกลายเป็นเด็กน้อยขี้แยร้องขอขนม
“คุณชายเจ็ดขอรับ นี่คือสิ่งของที่นายน้อยซื้อเพื่อมอบให้แก่เจี่ยนเหล่าไท่จวิน หากท่านชอบ ท่านก็ให้…” เกาหลั่งเอ่ยตอบอย่างกังวล เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นคุณชายของตนพึงพอใจกับสิ่งของชิ้นไหนมากเท่านี้ก่อน
ตัวเกาหลั่งเอง เขาได้ติดตามคุณชายไปสถานที่ต่างๆ มานับไม่ถ้วน โลกทัศน์กว้างขวาง ไม่มีอะไรที่ไม่เคยเห็น แต่กับผลงานชั้นสูงเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนจริงๆ
“บังอาจ! ข้าเป็นเจ้านายจะพูดอะไรยังต้องให้บ่าวรับใช้เช่นเจ้ามาสั่งสอนรึ”
คำพูดแสนเย่อหยิ่งผิดกับก่อนหน้านี้ การกระทำตรงหน้าทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกประหลาดใจ
อาลู่ก้มหน้างุดอย่างละอายใจที่มุมปากของเขาได้แต่กระตุก วันนี้คุณชายอยากทำลายภาพลักษณ์ของตนเองอีกแล้ว
“เกาหลั่งออกไปก่อน! คุณชายเจ็ด เป็นข้าที่ไร้ความสามารถสอนบ่าว ได้โปรดอภัย! เพียงแต่ผลงานชิ้นนี้ได้ถูกจับจองไว้กับท่านปรมาจารย์ผู้นั้นอยู่ก่อนแล้วและหนิงเหนียงจื่อผู้นี้ก็เป็นเพียงคนกลาง เช่นนี้เถิด ในคราวต่อไปข้าจะตระเตรียมของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ส่งไปให้ท่านเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
“เจ้ามีสัญญาหรือ เจ้าจ่ายเงินแล้วหรือ ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ นั่นข้าไม่ต้องการ น้องคนนี้ชอบเก้าดารานำโชคนี้ยิ่งนัก ท่านสละให้ข้าเถิด” คุณชายเจ็ดก้าวไปข้างหน้าผลักซินอี้หมิงออกข้าง พร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาแปดนิ้ว “หนิงเหนียงจื่อ ข้ามีแปดร้อยตำลึง ขายผลงานชิ้นนั้นให้ข้าได้หรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่ได้ คุณชายเจ็ดกำลังจะทำอะไรกันแน่
“คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านชื่นชอบผลงานนี้ ข้าเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากนัก แต่ก็รู้จักศีลธรรมดี แม้ว่าจะไม่มีการทำหนังสือสัญญา แต่คำสัญญาด้วยวาจาก็มีค่านับพันตำลึงทอง” มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับอย่างเป็นกลาง
“เจ้าโง่รึไง ข้ายอมจ่ายแปดร้อย แปดร้อยตำลึงเชียวนะ! การค้าที่มีกำไรกลับไม่ทำ เจ้าช่าง… หึ น่าโมโหเสียจริง”
ขณะที่พูดไปพลางก็เดินเข้าหาซินอี้หมิงอีกครั้ง “คุณชายซิน ท่านเป็นถึงบุตรของผู้ว่าการมณฑล เหตุใดจึงตระหนี่ถึงเพียงนี้ สินค้าประณีตเช่นนี้ แต่กลับให้ราคาเพียงเท่านั้น ท่านนี่มัน…”
แม้ว่าจะไม่ได้พูดคำหลังออกไป แต่ความหมายก็ดังชัดเจนในตัวมันเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการถูกตอกย้ำว่า ‘เขาเป็นคนตระหนี่ ไม่มีเกียรติและไร้รสนิยม’
กลับกันซินอี้หมิงไม่ได้มีท่าทีโกรธเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยิ้มตอบรับ “สิ่งนี้วิเศษตามที่นางได้รักษาสัญญาเอาไว้ อันที่จริงข้าก็ไม่ใช่คนตระหนี่อะไร เกาหลั่งเพิ่มเงินเป็นแปดร้อยตำลึง หนิงเหนียงจื่อข้างขอถามเจ้าสักหน่อยว่าปรมาจารย์ผู้นั้นมีผลงานชิ้นอื่นที่พอจะแบ่งให้ข้าได้อีกหรือไม่”
ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งเงียบ แต่ความสุขกำลังเบ่งบานในใจ จู่ๆ นางก็สามารถทำเงินเพิ่มได้อีกสามร้อยตำลึงโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมาย เป็นเพราะคุณชายเจ็ดที่ช่วยนางแท้ๆ ! อีกทั้งเขาน่ะมันตัวป่วนขนานแท้ ดูไม่เหมือนคุณชายเลยสักนิด
หลังจากได้รับเงินมามั่วเชียนเสวี่ยจึงโค้งคำนับ “คุณชายซินช่างเปี่ยมด้วยคุณธรรมสูงส่ง เช่นนั้นข้าขอน้อมรับแต่โดยดีแทนท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ยุ่งมากในช่วงที่ผ่านมาและคงไม่มีเวลาทำเพิ่มขึ้นอีก ข้าต้องขออภัยด้วย” จะให้นางแกะสลักอะไรอีก เพียงเท่านี้ยังไม่เข็ดหรืออย่างไร
มั่วเชียนเสวี่ยลูบที่หลังมือ ในหัวยังจดจำแผลพุพองในมือของหนิงเซ่าชิงได้ดี จากนี้ไปนางตั้งปณิธานกับตนเองเอาไว้แล้วว่าหากได้แกะสลักอีกครั้ง นางจะต้องอยู่กับบ้านและให้หนิงเซ่าชิงเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น
ยามนี้นางต้องการเงิน จึงจำเป็นต้องน้อมรับความหวังดีของคุณชายเจ็ด อีกทั้งยังเป็นหุ้นส่วนทางการค้าระหว่างกัน คงมีโอกาสมากมายที่จะได้ตอบแทนเขา
ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าคุณชายซินผู้นี้จะเป็นถึงบุตรชายของผู้ว่าการมณฑล
ผู้ว่าการมณฑลถือเป็นถึงเจ้าหน้าที่สูงสุดในเมืองเทียนเซียงเชียวนะ เพียงย่ำเท้า เมืองทั้งเมืองก็สั่นสะเทือนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แล้วเหตุใดเขาจึงวางตัวสุภาพกับคุณชายเจ็ดผู้นี้ จริงๆ แล้วซูชีเป็นใครกันแน่
แม้จะเกิดความสงสัย แต่นางก็ต้องส่ายหัวหยุดความคิดเอาไว้ พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนางเสียหน่อย อีกอย่างนางก็เป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว มีพันธะทางการค้าบางอย่างกับไป๋อวิ๋นจวีเท่านั้น คงไม่ต้องสืบเสาะเรื่องราวของคุณชายเจ็ดทั้งเจ็บแปดชั่วโคตรกระมัง
เมื่อเห็นว่าเงินได้รับการชำระแล้ว หลังตกลงเจรจากับเสร็จสรรพ ซูชีและซินอี้หมิงก็ได้เอ่ยทักทายลากันอีกไม่กี่คำ คุณชายเจ็ดเอ่ย “พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเจี่ยนเหล่าไท่จวิน นี่ถือเป็นของขวัญที่ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษและประณีตยิ่งนัก เหล่าไท่จวินคงจะเปิดปากยกคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนให้ท่านแล้วล่ะ…”
เขาไม่ชอบสายตาเจ้าเล่ห์ของซินอี้หมิงเป็นที่สุด ยามสายตาคู่นั้นกวาดตามองเรือนร่างของมั่วเชียนเสวี่ยโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม พอเปิดปากก็เผยเรื่องส่วนตัวของเขาเช่นนี้ แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคุณชายซินผู้นี้หมายปองคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนอยู่ เขาไปสู่ขอหลายครั้งแต่ก็โดนปฏิเสธทุกคร
ซินอี้หมิงไม่ได้โกรธอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ แต่กลับพูดอย่างยิ้มแย้ม “คุณชายเจ็ดอย่าได้หยอกล้อข้าเลย ใครๆ ก็รู้ว่าในเมืองแห่งนี้ท่านได้รับการชื่นชมจากหญิงสาวมากน้อยเพียงใด…”
ระหว่างคนทั้งสองไม่มีอะไรต้องกริ่งเกรงกัน ต่างฝ่ายต่างขับสู้กัน เย้าแหย่กัน รู้ความคิดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ครั้นได้รับเงินและตรวจสอบสินค้าแล้วเรียบร้อย มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจฟังคนสองคนที่วนเวียนอยู่รอบตัวนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “หากไม่มีประติมากรรมชิ้นนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เชิญคุณชายทั้งสองตามสบาย ข้าน้อยคงต้องขอตัวลา”
ซูชีโบกมือพร้อมกับตอบกลับ “ไปเถิด” เขาชิงพูดขึ้นก่อนที่ซินอี้หมิงจะได้เอ่ยอะไรกับนาง
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยจากไป ด้านซูชีที่เดินตามออกมาในภายหลัง เขากลับไปยังห้องหนังสืออีกครั้งและได้เรียกอาจ้าวให้มาพบเพื่อสอบปากคำ
“บัณฑิตแซ่หนิงผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่นะ ถ้าเป็นไปได้ที่จะเชิญมาเป็นแขกตระกูลซูของข้าเสียหน่อย แล้วสนับสนุนเขาจนได้ดิบได้ดี เมื่อถึงตอนนั้น หวังว่าหนิงเหนียงจื่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้”
“บ่าวเกรงว่าท่านอาจารย์หนิงจะไม่มานะขอรับ”
“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น”
“เจ้านาย จากที่ข้าสังเกตอาจารย์ผู้นั้น เขาเป็นคนที่มีรัศมีเปล่งประกายและหน่วยก้านดูไม่เลว ข้าเกรงว่าเขาจะเป็นผู้เร้นกายจริงๆ”
“งั้นรึ! ผู้เร้นกายงั้นคึ”
ทันใดนั้น คุณชายเจ็ดก็นึกถึงจดหมายที่หนิงเซ่าชิงฝากอาจ้าวนำมาให้เขาได้เมื่อไม่กี่วันก่อน
ปลายพู่กันตวัดแข็งแกร่งและทรงพลัง ตัวอักษรสง่างามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำ นี่เป็นลายเส้นของนักปราชญ์ชัดๆ แบบอักษรพวกนี้ไม่มีทางมาจากฝีมือของบัณฑิตที่ป่วยหนักแน่
เขาทำตามข้อความในจดหมายเพียงไม่ถึงครึ่งเดือน อิ๋งเค่อเซวียนที่เคยนำหน้าพวกเขา บัดนี้กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสีย กลยุทธ์เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่นักปราชญ์วัยเยาว์ในหมู่บ้านชนบทธรรมดาๆ จะคิดได้อย่างแน่นอน
ความทะนงตนผ่านข้อความและตัวอักษรบนจดหมาย ไม่มีเจตนาประจบประแจงเลยสักนิด แต่เป็นการกล่าวขอบคุณที่ซูชีเชิญหมอไปรักษาเขา
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่หากเขาเป็นผู้เร้นกายจริง เหตุใดจึงยอมให้ภรรยาของตนลำบากตรากตรำเช่นนั้นและยังให้นางออกมาปรากฏตัวสู่โลกภายนอกอีก”