ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะโจมตีและติดสินบนผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์เหล่านั้น ทั้งยังต้องวางแผนสักหน่อยว่าจะลดเงินช่วยเหลือที่จ่ายให้กับคลังหลวงในทุกปีอย่างไร และยิ่งต้องหารือกับหัวหน้าตระกูลซูให้ดี…
ตระกูลกูที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเหนือผู้คน เจ้ารอวันที่จะตกอยู่ในสภาพอึดอัดได้เลย ในเมื่อเจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งเหนือผู้คนแล้วยังไม่พอใจ มักจะโลภ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าตระกูลหนิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่จะไม่ปล่อยให้เจ้าบีบได้
ตอนนี้การเคลื่อนไหวในจวนกั๋วกงเป็นเรื่องแรกที่เมืองหลวงต้องการได้ยิน
เพียงแค่พริบตาเดียว เรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่ และถูกหัวหน้าตระกูลหนิงรับตัวไปก็ลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว
ฮ่องเต้ย่อมรู้เรื่องนี้ทันที จึงทรงพระสรวล พลางหาวออกมา จากนั้นก็เข้าบรรทม พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าในตอนว่าราชกิจยามเช้าอาจจะวุ่นวาย เขายังต้องพักผ่อนให้สดชื่นสักหน่อย
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เขาคิดได้นานแล้ว ตนเองเรียกตระกูลมั่วกับหลูเจิ้งหยางอย่างลับๆ และยิ่งไม่มีใครรู้ถึงข้อตกลงแลกเปลี่ยนส่วนตัวของพวกเขา
ตระกูลมั่วไม่กล้ากระพือข่าว ส่วนหลูเจิ้งหยางหนีไปแล้ว
ขอเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ตาย จวนอะไรนั่นให้นางสร้างเองก็ได้ อย่างไรสิ่งที่ตระกูลหนิงมีก็คือเงิน
ขอเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ตาย เรื่องนี้ก็ยังไม่แย่ ความผิดก็ไม่อาจถูกโยนใส่หัวตนเอง
ขอเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ตาย หนิงเซ่าชิงก็ไม่มีทางกระโจนออกมาแตกหักกับราชวงศ์อย่างเปิดเผย
แม้ว่าฮ่องเต้จะบรรทมไปแล้ว ตอนที่ขันทีคนสนิทไปแจ้งใต้เท้าน่า ก็ยังคงให้ใต้เท้าน่าประกาศกฎอัยการศึกทั่วทั้งเมือง และจับกุมหลูเจิ้งหยางลับๆ นี่เป็นเรื่องที่ขันทีคนสนิทสมควรทำ
สำหรับเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่ มีทั้งคนที่ยินดี และก็มีคนที่กลัดกลุ้ม
……
จวนตระกูลมั่ว หัวหน้าตระกูลมั่วกับผู้อาวุโสหลายท่านเพิ่งจะกลับจากสถานที่แห่งนั้นมาที่จวน พวกเขากำลังนั่งหารือกันลับๆ อยู่ภายในห้องหนังสือ ถ้าหากว่าฮ่องเต้เรียกตัวเข้าพบอีก ควรจะไกล่เกลี่ยอย่างไรให้เรื่องนี้ให้ผ่านไป
ด้านนอกมีคนเอ่ยว่าคุณชายสิบเอ็ดกลับจวนแล้ว
พวกเขาย่อมเรียกตัวเข้าพบ มั่วจื่อถังกลับปิดปากเงียบเรื่องเพลิงไหม้จวนกั๋วกง แน่นอนว่าเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องคนชุดดำและเส้นทางลับที่ตรงไปยังร้านเล็กๆ นั่นด้วย
เพียงแค่เอ่ยว่าจื่อฮว่ากับจื่อเยี่ยถูกเพลิงคลอกตาย ตอนที่ตนเองเข้าไปในห้อง มั่วเชียนเสวี่ยก็ถูกควันปลุกให้ตื่น เขาจึงใช้ข้ออ้างช่วยดับไฟ ไปหลบอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งกับพวกนางและพ่อบ้านมั่ว ถึงได้รอดจากเคราะห์ร้ายนี้ได้ หัวหน้าตระกูลมั่วยังคงเชื่อในวาจาของบุตรชายที่เป็นบัณฑิตไร้ค่าคนนี้ แม้ว่าเพลิงไหม้จะเกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่เขาไม่คิดว่าบุตรชายคนนี้จะรู้ความลับอันใดในนั้น
เขาโบกมือให้มั่วจื่อถังถอยออกไป พลางรู้สึกชิงชังสวรรค์เล็กน้อย “จวนกั๋วกงถูกเผาจนกลายเป็นซากปรักหักพัง นังเด็กนั่นกลับไม่ตาย?”
พวกเขาเพิ่งจะวางแผนเลือกบุตรบุญธรรมในตระกูลให้กับมั่วเทียนฟ่าง หาช่องทางไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย พลางถวายฎีกาให้ฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้
บุตรชายบุตรสาวมีเยอะมาก แม้ว่าการตายของหลานชายคนหนึ่งจะทำให้ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองเศร้าเสียใจ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้ความคิดสับสนวุ่นวาย
“หัวหน้าตระกูลก็ไม่ต้องโมโหเกินไป” เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสใหญ่เกิดความหวั่นไหวต่อตำแหน่งนั้น “เฮ้อ จากมุมมองของข้า นังหนูผู้นี้ดวงแข็งมากจริงๆ พวกเราล้มเลิกความตั้งใจนี้เสียเถอะ”
หัวหน้าตระกูลมั่วขมวดคิ้วเป็นปม “ไม่เอาแล้ว?”
เอ่ยจบ ก็กระแทกฝ่ามือลงกับโต๊ะหนังสือดังปัง
“เช่นนั้นเจ้าลองกล่าวมาสิว่า ไม่เอาบรรดาศักดิ์นี้แล้ว ตระกูลมั่วของข้าจะอาศัยสิ่งใดมาสร้างความเจริญรุ่งเรือง? หลายปีมานี้ คนตระกูลมั่วออกไปข้างนอกแล้วถูกคนประเมินค่าไว้สูง ไม่ได้เป็นเพราะเจิ้นกั๋วกงเเซ่มั่วหรอกหรือ ถ้าหากว่าบรรดาศักดิ์นี้ถูกใช้เป็นสินเดิม เปลี่ยนเเซ่แล้ว ตระกูลมั่วยังจะอาศัยบารมีจากสิ่งใดได้อีก”
ผู้อาวุโสใหญ่เป็นลุงของหัวหน้าตระกูลมั่ว ถูกตวาดใส่กลับไร้ซึ่งโทสะ แต่ยังโน้มน้าวอย่างไม่รีบร้อน “พวกเราสามารถรับนังหนูนั่นมาอยู่ที่จวนได้ และปฏิบัติต่อนางให้ดีสักหน่อย ไม่แน่ว่าพักนานแล้ว จะเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา…หลังจากนั้นค่อยโน้มน้าวใจ แล้วค่อยๆ วางแผนในเรื่องนี้ แม้ว่านางจะไม่ยินยอมมอบตำแหน่งนั้น ขอเพียงแค่ในภายหน้าเด็กที่สืบทอดบรรดาศักดิ์คนนั้นเเซ่มั่ว ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับพวกเราตระกูลมั่ว…”
หัวหน้าตระกูลมั่วคล้ายหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเอ่ยถามปนเหยียดหยามต่อข้อเสนอนี้ “รับนางมา? นางจะมาอยู่ที่ตระกูลมั่วได้เช่นไร”
ผู้อาวุโสใหญ่กำลังจะเอ่ยต่อ แต่นัยน์ตาของผู้อาวุโสรองกลับเป็นประกายสว่างวาบ
“ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง ยามพรุ่งหัวหน้าตระกูลก็ให้นางมาอาศัยที่ตระกูลมั่วเถอะ จวนกั๋วกงถูกทำลายไปแล้ว นางไม่อาศัยที่จวนมั่วแล้วจะไปอาศัยอยู่ที่ใดได้ หรือว่าจะอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลหนิงกัน ยังไม่ทันได้แต่งงานก็เข้าไปอยู่มีเพียงแค่อนุภรรยาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ ไปอาศัยอยู่จวนของตระกูลเฟิงยิ่งเป็นไปไม่ได้ ที่นั่นมีเฟิงอวี้เฉิน ซึ่งจะเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิงในอนาคตพักอยู่ ได้ยินมาว่าปีนั้นนางปีศาจจิ้งจอกวางแผนจะให้นางแต่งกับเฟิงอวี้เฉิน ถ้าหากให้นางไปพักที่นั่น ชายโสดหญิงโสดอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน แม้ว่าจะอธิบายให้ผู้คนเข้าใจได้ แต่ก็ยากที่จะทำให้เชื่อ ถึงนางจะไม่ชอบตระกูลมั่ว แต่ก็ยังคงแซ่มั่ว ในใจย่อมตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดเหมาะสมไม่เหมาะสม อีกอย่าง ในเมื่อพวกเราเชิญนางมาพักที่จวน ย่อมไม่มีทางให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางในจวนแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เพลิงไหม้ครั้งนี้ จื่อถังก็นับว่าได้ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันกับนาง นางคงไม่ต้องกังวลว่าพวกเราจะมีเจตนาไม่ดีกับนางอีก”
“แต่ว่า เรื่องคืนวันนี้…”
“ในจวนเกิดเหตุเพลิงไหม้ยุ่งวุ่นวาย คิดว่าเรื่องในคืนนี้นางก็คงไม่รู้เช่นกัน เพียงแค่คนที่ไปเชิญให้เกียรติสักหน่อย นางย่อมมาพักที่นี่แน่นอน”
หัวหน้าตระกูลมั่วคล้ายกับคิดได้ว่าควรทำเช่นไร “เช่นนี้ก็ดี ถ้าหากว่านางเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็มีเรื่องมากมายที่นางไม่มีอำนาจตัดสินใจ ยามพรุ่งก็ให้จื่อถังไปรับนางมา…”
……
ฟ้าสว่างแล้ว หนิงเซ่าชิงก็พบปะกับแขกผู้มาเยือนไปมากมาย แต่ออกคำสั่งลับไปสิบกว่าคำสั่ง
รอจนทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อย หนิงเต๋อ บ่าวรับใช้ที่คอยติดตามปรนนิบัติก็ยกชาเข้ามา
หนิงเซ่าชิงยืดตัวตรง รับถ้วยชามา ใช้ฝาถ้วยปาดใบชา จิบคำเล็กๆ พอให้ชุ่มคอ และวางถ้วยชาลง
“คุณหนูใหญ่มั่วตื่นหรือยัง”
“ยังขอรับ เย่ว์เซี่ยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูตลอด องครักษ์ลับก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ”
“ขนมที่สั่งให้ทำเสร็จแล้วหรือยัง”
“ล้วนทำเสร็จหมดแล้ว ทั้งยังเคี่ยวโจ๊กชามหนึ่งด้วยขอรับ” หนิงเต๋อไม่ใช่คนที่เพิ่งจะถูกย้ายมาปรนนิบัติหนิงเซ่าชิงที่ห้องหนังสือ นับตั้งแต่หนิงเซ่าชิงออกจากวัดเซียงกั๋ว เขาก็เป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของคุณชายใหญ่หนิงในห้องหนังสือมาตลอด เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดที่สั่งการเพียงเรื่องเดียวก็สามารถอนุมานถึงเรื่องอื่นๆ ได้คนหนึ่ง
หนิงเต๋อเป็นคนที่หนิงเหล่าเหยียเลือกมาให้เขาโดยเฉพาะ แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะหายตัวไปหนึ่งปีกว่า ห้องหนังสือของเขาก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้ร้าง แต่มีหนิงเต๋อเป็นคนเก็บกวาดทำความสะอาดมาโดยตลอด
ตอนนี้หนิงเซ่าชิงเป็นหัวหน้าตระกูลแล้ว ห้องหนังสือถูกย้ายจากเรือนเดิมมายังเรือนใหญ่ที่ใช้สะสางงานของตระกูลหนิง เขาก็ย่อมตามมาด้วยเช่นกัน
หนิงเซ่าชิงพยักหน้า “อืม ข้าจะไปดูเรือนข้างสักหน่อย เจ้าให้คนเตรียมเอาไว้ก่อน อีกครู่ก็ส่งไปยังเรือนข้างได้เลย”
“ขอรับ”
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย หนิงเซ่าชิงหวังว่าหลังจากมั่วเชียนเสวี่ยตื่นขึ้นมาจะเห็นเขาทันที ราวกับเขาไม่เคยไปจากนางมาก่อน
ตอนที่หนิงเซ่าชิงเข้าไปในห้อง แม้ว่าจะย่องเข้าไปเงียบๆ เช่นเคย ทว่า การเคลื่อนไหวอันนุ่มนวลบนเตียงของเขา ก็ยังคงทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกใจลุกขึ้นมานั่งอยู่ดี
พบเจอกับการก่อความวุ่นวายของมั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยเมื่อคืน มั่วเชียนเสวี่ยจึงขาดความรู้สึกวางใจไป และมีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นมา เมื่อเห็นว่าตรงหน้าคือหนิงเซ่าชิง จึงเขยิบเข้าไปในอ้อมแขนเขา พลางหาท่วงท่าสบายแล้วหลับตาลง “เซ่าชิง เมื่อครู่นี้ท่านไปทำอันใดมาหรือ”
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะอยู่บนเตียง ทว่า อุณหภูมิร่างกายเขาเย็นเล็กน้อย อาภรณ์ก็เรียบ ย่อมปิดบังมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ นางเพียงแค่ถามไปอย่างนั้นเอง