โฉมสะคราญที่จิตใจดีงามล้วนเป็นที่หมายปองของบุรุษ! ภาพตรงหน้างดงามตระการตา สมบูรณ์จนหาตำหนิมิพบ ทำให้ใจของเย่ว์เซี่ยเต้นตึกตักอย่างอดไม่อยู่ ตอนนี้ ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความรักบ้างแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกินโจ๊กชามหนึ่ง และป้อนขนมให้หนิงเซ่าชิงที่อยู่ด้านข้างด้วย
หนิงเซ่าชิงมองไม่เห็นความทุกข์ระทมเศร้าซึมบนใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ถึงวางใจได้ลง เขาโบกมือให้เย่ว์เซี่ยเก็บชามจานไป และเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า “เพลิงไหม้ในครั้งนี้ เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
มีบางเรื่อง เขาจำเป็นต้องเข้าใจถึงจะแก้ปัญหาได้ถูกวิธี
มั่วเชียนเสวี่ยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปาก สีหน้าเยือกเย็น “มีคนเล่นตุกติกกับอาหารของข้า คนทั้งเรือนเสวี่ยหว่านล้วนหลับกันหมด ไม่ต้องกล่าวเลยว่า กุ่ยซาก็ถูกคนจงใจล่อออกไป ท่านก็ไม่ต้องลงโทษเขาหนักเกินไป มอบเขาให้ข้า ข้ายังต้องการใช้คน”
ใช้คนแปลกหน้า มิสู้ใช้คนคุ้นเคยจะดีกว่า กุ่ยซาผู้นี้ติดตามนางมาระยะหนึ่งแล้ว ถือได้ว่านางเข้าใจอยู่บ้าง เป็นคนที่สามารถเชื่อถือได้
ศัตรูวางแผนละเอียดรอบคอบเช่นนี้ เขาตกหลุมพรางไปชั่วขณะก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น การพลาดพลั้งล้มเหลวในครั้งนี้ก็สามารถเพิ่มประสบการณ์ให้ได้ เชื่อว่ามีเรื่องในครั้งนี้ ความสามารถในการตัดสินใจของกุ่ยซาย่อมก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแน่นอน
หนิงเซ่าชิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นนั้นยากจะละเว้น! ขอเพียงแค่เจ้าต้องการใช้เขา เช่นนั้นโทษเป็นจดบัญชีเอาไว้ก่อน”
เรื่องสำคัญเช่นนี้ หนิงเซ่าชิงย่อมเรียกกุ่ยซามาถามแล้ว ดังนั้นจึงตอบว่า “กุ่ยซาบอกว่า คนที่หลอกล่อเขาให้ออกไปคนนั้น สวมหน้ากากบนใบหน้าคล้ายกับคนที่อยู่เบื้องหลังที่พวกเราตามสืบกันเงียบๆ เขาประมือกับเขาในครั้งนี้ แม้ว่าคนผู้นั้นจะเก็บงำฝีมือ แต่เขายังคงค้นพบเบาะแสบางอย่างในกระบวนท่าเหล่านั้น…”
มั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจฟัง
หนิงเซ่าชิงกลับชะงัก จากนั้นก็ใช้เสียงจริงจังเอ่ยว่า “เขาบอกว่า คนนั้นให้ความรู้สึกคล้ายคลึงหลูเจิ้งหยางมาก…”
มั่วเชียนเสวี่ยถูกทำให้สำลัก อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ “หลูเจิ้งหยาง?”
เขาไม่ใช่เพื่อนสนิทที่สุดของหนิงเซ่าชิงหรอกหรือ แต่นี่มาเอนเอียงไปทางฮ่องเต้ มีประโยชน์อันใดต่อเขากัน?
หนิงเซ่าชิงรินน้ำชาให้มั่วเชียนเสวี่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ กุ่ยซาเป็นคนมีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้คนที่ได้รับการฝึกจากหอลับโดยเฉพาะ รูปร่าง ท่าทาง และน้ำเสียงของคนคนหนึ่งล้วนสามารถปลอมแปลงได้ แต่กลิ่นอาย กระบวนท่า และการกระทำที่เคยชินกลับอำพรางไม่ได้ แม้ว่าเขาจะซ่อนมันเอาไว้ลึกมาก ทั้งยังไม่ได้เผยความสามารถที่แท้จริง แต่หูและจมูกของกุ่ยซารับรู้ได้ไวมาก โดยปกติแล้วการตัดสินของเขามักจะไม่ผิด”
“แต่เขาทำไปเพื่ออันใดกัน”
ไม่ต้องกล่าวว่ามั่วเชียนเสวี่ยคิดแล้วไม่เข้าใจ ตัวหนิงเซ่าชิงเองก็ไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใดบุรุษที่ฝ่าอันตรายเสี่ยงชีวิตทั้งที่จะตายได้ทุกเมื่อกับเขาถึงได้แทงข้างหลังเขา
เขาไม่เข้าใจว่า เหตุใดบุรุษที่เป็นคนสบายๆ ไร้กฎเกณฑ์ขนาดนั้น ถึงได้มีโฉมหน้าที่แท้จริงชั่วร้ายเช่นนี้
แต่ทว่า ไม่ว่าเขาจะกระทำไปเพราะเหตุใด เมื่อเขาหันคมดาบใส่มั่วเชียนเสวี่ย เขาก็สมควรตาย
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังแอบทำเรื่องลับหลังมากมายขนาดนั้น
หลายปีมานี้ร่องรอยการเดินทางของหลูเจิ้งหยางไม่แน่นอนมาโดยตลอด หลังจากพบปะกันที่อวี่จี้ในครั้งที่แล้ว เขายังแสร้งกล่าวว่า ในเมื่อเจ้าเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแล้ว เขาอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้ไปจากเมืองหลวง หาสถานที่สักแห่งใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระดีกว่า
คิดถึงตรงนี้ หนิงเซ่าชิงก็ยิ้มเย็น ดูท่า หลูเจิ้งหยางเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากการสนทนาโดยให้ข้อมูลผิดๆ เพื่อคิดจะสลัดความน่าสงสัยทิ้งไปเท่านั้นเอง
สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการหลอกลวง!
ในตระกูลมีเกลือเป็นหนอน ตนเองไม่จำเป็นต้องไปหาเขา มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เขาคิดว่ากระทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จะต้องกลับมาอีกแน่นอน เขาแค่เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย[1]ก็พอ
หนิงเซ่าชิงมีสีหน้าเย็นชาไม่เอ่ยอันใด แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับคิดได้ทันที
“อวิ๋นอิ๋นเป็นคนวางยาแน่นอน”
ครั้งนี้ นางเอ่ยด้วยความแน่ใจอย่างยิ่ง
แม้ว่า ขนมนั่นนางกินเข้าไปแล้วไม่เกิดปัญหาอะไร แต่เดิมตัววัตถุดิบอาหารก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อนำไปรวมกับบางอย่าง ก็อาจจะมีปัญหาได้
ครั้งที่แล้วหนิงเซ่าชิงได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถึงเรื่องของอวิ๋นอิ๋น เมื่อนำทั้งสองคนมาเชื่อมโยงกัน ในใจก็เข้าใจขึ้นมา จึงแผ่รังสีสังหารออกมาทันที
มั่วเชียนเสวี่ยกลับแค่นเสียงเบา “อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า ส่งคนไปจับตาดูนางทั้งวันทั้งคืนก็พอแล้ว”
หนิงเซ่าชิงมิกล่าวอันใด ในเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมาแล้ว รู้ว่าใครเป็นคนที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้นางได้มีชีวิตอีกไม่กี่วันก็ไม่เป็นไร
เสียงของเย่ว์เซี่ยดังขึ้นจากด้านนอก “รายงานหัวหน้าตระกูล คนจากตระกูลมั่วมาแล้ว แจ้งว่าต้องการรับคุณหนูใหญ่มั่วกลับไปจวนมั่วเจ้าค่ะ”
“กลับจวนมั่ว?”
สองคนสบตากัน ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ตระกูลมั่วก็ยังไม่ยอมแพ้
ไม่รอให้หนิงเซ่าชิงเอ่ย มั่วเชียนเสวี่ยก็ตอบเย่ว์เซี่ยโดยมีประตูกั้นอยู่ว่า “ไปถ่ายทอดวาจานี้ ให้เขากลับไปเตรียมตัวก่อน บอกว่าข้าน้อมทักฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จ จัดการเรื่องต่างๆ ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว สายหน่อยจะไปจวนมั่ว”
เย่ว์เซี่ยที่อยู่ด้านนอกย่อมปฏิบัติตาม
หนิงเซ่าชิงเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงมีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย และตำหนิตนเองอยู่บ้างในตอนนี้ “เชียนเสวี่ย เจ้าจะไปพักที่จวนมั่วจริงๆ หรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยมีท่าทางจริงจัง เลิกคิ้ว “ท่านคิดว่าเช่นไรเล่า”
“ข้ามีจวนส่วนตัวในเมืองหลวงหลายแห่ง เจ้าชอบที่ไหน ก็ไปอยู่ที่นั่น”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แม้ว่าจะเป็นจวนส่วนตัว แต่กลับเป็นจวนของตระกูลหนิง”
หนิงเซ่าชิงหงุดหงิดเล็กน้อย “เชียนเสวี่ย จวนหลังนั้นเป็นจวนส่วนตัวของข้า ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของตระกูลหนิง คนอื่นไม่รู้ ถ้าหากว่าเจ้ากลัวคนอื่นนินทา ข้าจะโอนเป็นชื่อเจ้าทันที”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยวาจาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “เซ่าชิง ข้าไม่ได้อยากจะแบ่งของเจ้าของข้า แต่ข้าคิดเรียบร้อยแล้วว่าจะพักที่ใด”
“พักที่ใด”
“นอกเมือง จวนของข้าเอง” สำหรับวาจาที่ตอบผู้มาเยือนว่าจะกลับไปจวนมั่วนั้น ก็เพียงแค่ต้องการไปคิดบัญชีเท่านั้นเอง
“ไม่ได้! ที่นั่นไม่ปลอดภัย”
แต่ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจไปแล้ว หนิงเซ่าชิงคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์ นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ต้องพึ่งพิงเขาในการใช้ชีวิต!
ในเมื่อฮ่องเต้เฒ่านั่นกระทำเรื่องราวอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล้ว นางจะประมือกับเขาสักหน่อยก็ไม่เสียหาย!
มั่วเชียนเสวี่ยกินโจ๊กกับขนม และกำลังสนทนากับหนิงเซ่าชิงในเรือนข้าง แต่ภายในเรือนฉือหย่างของหนิงเหล่าฮูหยินกลับเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นแล้ว
เหมยฮูหยินกับจิ้งฮูหยิน แม้ว่าจะถูกสั่งกักบริเวณแล้ว แต่สุดท้ายพวกนางก็ยังเป็นคนจากตระกูลมารดาของฮูหยินผู้เฒ่า จึงกักพอเป็นพิธีไม่กี่วัน ทั้งยังคัดคัมภีร์เล็กน้อย จากนั้นก็ให้ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ข้ออ้างว่าข้างกายไม่มีคนปรนนิบัติปล่อยออกมา
“เหอะ! ยังไม่ทันจะแต่งงานเข้าตระกูลก็ไปในเรือนของชิงเอ๋อร์อย่างเปิดเผย ไม่มียางอายเสียบ้างเลยจริงๆ!”
ถ้วยชาในมือหนิงเหล่าฮูหยินกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง สีหน้าเดือดดาล
แม้ว่าจะเป็นเรือนข้าง แต่นั่นก็เป็นเรือนนอกของหนิงเซ่าชิง
บริเวณที่นั่งด้านล่าง เหมยฮูหยินกับจิ้งฮูหยินเป็นตัวการหลักที่กลัวว่าใต้หล้าจะไร้ความวุ่นวาย! โดยเฉพาะครั้งที่แล้วในงานเลี้ยงชมบุปผา มั่วเชียนเสวี่ยทำให้พวกนางถูกตำหนิ ทำให้พวกนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายต่อหน้าเหล่าฮูหยินและสตรีชนชั้นสูงทุกคน พวกนางย่อมเคียดแค้นอยู่ในใจ!
ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง
เหมยฮูหยินเริ่มใส่สีตีไข่ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้อง ได้ยินข้ารับใช้รายงานว่า สองคนนั้นหลบอยู่ในห้องเป็นเวลานานแล้วยังไม่ยอมออกมาเลยเจ้าค่ะ…”
[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย เฝ้ารอคอยผลประโยชน์เมื่อมีโอกาส โดยไม่คิดลงทุนทำอะไร