ตอนที่ 43 จ้างงานหวังซานทั้งบ้าน
บนรถม้าคันหรูที่เคลื่อนตัวช้าๆ ตามถนนสายยาว
“คุณชาย ท่านให้เงินแปดร้อยตำลึงแก่หญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นไปทำไมกัน ถึงแม้ว่างานแกะสลักชิ้นนี้จะงดงามจริง แต่ทางเราก็ได้ระบุราคาไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ด้วยสถานะของคุณชาย นางคงไม่กล้าไม่ขายมันให้กับเรา”
ซินอี้หมิงปิดเปลือกตาลงแสร้งทำเป็นพักผ่อน แต่เกาหลั่งรู้ดีว่าเจ้านายของเขาไม่ได้ไม่สนใจจริงๆ “ล้วนเป็นเพราะคุณชายเจ็ด ทำให้คุณชายต้องจ่ายเงินเพิ่ม บ่าวรู้สึกว่าคุณชายเจ็ดเจตนาป่วน…”
“พูดจาไร้สาระ คุณชายเจ็ดจะป่วนข้าเพื่อเรียกร้องเพิ่มเงินสามร้อยตำลึงไปให้สาวชาวบ้านทำไมกัน เจ้ามีสมองหรือไม่”
ซินอี้หมิงลืมตาขึ้นด้วยท่าทางที่ยากจะคาดเดา “และอย่าได้ดูถูกหญิงสาวชาวบ้านที่เจ้ากำลังพูดถึงผู้นั้นเชียว นางไม่ใช่คนธรรมดา! เกาหลั่ง เงินแปดร้อยตำลึงที่ข้าเสียไปไม่ใช่เพื่อนาง แต่เพื่อปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังนางอยู่ต่างหาก”
“ปรมาจารย์? ที่แท้… บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ”
“เจ้ารีบส่งคนไปตรวจสอบที่มาที่ไปของสาวน้อยผู้นี้ว่านางเป็นใครมาจากที่ใด ร้านอีผิ่นเซวียนของตระกูลซินในเมืองหลวงถูกร้านจิงผิ่นโหลวของตระกูลหนิงกดทับจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว เราต้องการคนยอดฝีมือเฉกเช่นปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังผู้นั้นมากอบกู้กิจการ”
“ความคิดนี้ยอดเยี่ยมนัก! บ่าวจะรีบทำตามรับสั่งทันทีขอรับ”
……
ครั้นมาถึงหมู่บ้านหวังจยา พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวายังคงยุ่งอยู่ในครัว
แม้ละครเมื่อวานจะปิดฉากลงไปแล้ว คงมีผู้คนไม่น้อยที่จะขัดผลประโยชน์กันในภายใน คนที่จิตใจชั่วร้ายคิดทำเรื่องสกปรกคงมีไม่น้อย เห็นทีการสร้างมิตรจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
หลังหนิงเซ่าชิงกลับมาจากโรงเรียน เห็นว่าบริเวณลานบ้านเต็มไปด้วยตะแกรงเต้าหู้ละลานตา ในใจรู้สึกยินดีพลางพูดหยอกล้อ “เจ้ากำลังวางแผนที่จะไล่เรียงส่งให้ทุกคนในหมู่บ้านหรืออย่างไร”
มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นว่าเขากำลังเย้าแหย่ นางจึงเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที “ใช่! ข้าไม่เหมือนใครบางคนที่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองแล้วยังทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ ทั้งท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสอีกหลายคนที่เคยมาเยี่ยมที่บ้านเรา ข้าจะเป็นคนไปส่งให้พวกเขาด้วยตนเอง ส่วนที่เหลืออาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาจะเป็นคนจัดการ แต่พวกเราคงจะต้องจัดเรียงจำนวนตามความเหมาะสมเสียก่อนแล้วค่อยแบ่งกันไป”
เขาเพิกเฉยคำพูดประชดประชันของร่างบางและก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าคนพวกนั้นจะเป็นหรือจะตาย จะโกรธหรือไม่โกรธมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องไปใส่ใจ
ยามที่มองท่าทางไม่พอใจที่แสนน่ารักนั่น เขาก็เลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ “แล้วจะแบ่งอย่างไรล่ะ” ไม่อยากเชื่อเลยว่าภรรยาของเขาจะเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสนามรบได้ในเวลาชั่วพริบตา
เมื่อเห็นเขาหัวเราะคิกคัก มั่วเชียนเสวี่ยก็พลันฉุกคิดถึงคำพูดเมื่อครู่ นางพูดแรงเกินไปเสียหน่อยกระมัง จึงหลุดหัวเราะพรวด
หลังหัวเราะกันเสร็จแล้ว “ก่อนอื่นเราจะต้องล่อพวกเขาด้วยเนื้อชิ้นโต จากนั้นก็รอพวกเขาทะเลาะกันเอง แล้วเราก็ให้เนื้อคนที่เป็นมิตรกับพวกเรา ส่วนพวกที่เป็นศัตรูกับพวกเรา ข้าก็จะให้โรตีไปกินแล้วกัน”
“โรตี? คืออะไรหรือ”
“เจ้าคิดว่ามันคืออะไรล่ะ”
ครั้นเห็นท่าทางของนางเย็นชาผิดแปลกไป โรตีอะไรนั่นต้องไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ ยิ่งพวกที่คิดไม่ดีต่อนาง สมควรต้องกิน ‘โรตี’ พอคิดว่าจะมีใครมารังแกนาง ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงนิ่งก็เย็นชาทันที
“ทำไมหรือ ท่านคิดว่าข้าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำหรือไม่” มั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นใบหน้าของหนิงเซ่าชิงบูดบึ้ง นางทั้งหงุดหงิดและเป็นกังวล
หนิงเซ่าชิงมองดวงตาใส แก้มแดงระเรื่อและมือเล็กๆ ของนางที่ยามนี้กำแน่นโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนจะแข็งแรง แต่แท้จริงแล้วเปราะบางและแสนประหม่า
จู่ๆ เขาก็อยากจะกอดคนตรงหน้าไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับปกป้องนางจากสายลมฝน อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่ชอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้คนและก็ไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่เอาแต่ร้องไห้ขอความเห็นใจจากผู้คน
นางไม่ใช่หญิงสาวประเภทที่พอใจอยู่ในบริเวณเล็กๆ ในทุกวัน นางไม่ได้เกิดมาเพื่อจัดการเรื่องใหญ่น้อยในเรือนและยิ่งไม่ใช่สตรีที่ยกสามีของตนเทียมเทียบสวรรค์
พอมาคิดอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว หนิงเซ่าชิงจึงเอ่ยน้ำเสียงที่จริงใจและยิ้มบางๆ “ทำไมจะไม่ได้! จะเนื้อหรือโรตี ให้พวกเขากินอะไรก็ได้ตามที่เจ้าพอใจ”
มั่วเชียนเสวี่ยลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย นางไม่คิดว่ามีอะไรผิดหากจะต้องการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตนเอง แต่นางเกรงว่าสามีในนามผู้นี้จะคิดเป็นอื่นว่านางเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจชั่วร้าย
โชคดีที่เขาไม่ทำให้นางผิดหวัง
ในราชวงศ์เทียนฉี สตรีที่ดีในอุดมคติของบุรุษนั้นควรจะมีลักษณะอ่อนแอ อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม หากกำลังเผชิญหน้ากับปัญหา พวกนางก็มักเลือกซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังพร้อมกับน้ำตาและให้การตัดสินใจเป็นของบุรุษเสียส่วนใหญ่
กลับกันนางไม่สามารถเป็นสตรีแบบนั้นได้
นางชอบพึ่งพาตนเองและเปลี่ยนแปลงวิถีทุกอย่างด้วยมือของนาง
หนิงเซ่าชิงที่เห็นใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเย็นชาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตกอยู่ในความงุนงงอีกครั้ง จากนั้นก็ดีดเข้าที่หน้าผากของนางเบาๆ พลางหัวเราะออกมา “คนโง่! คิดมากอะไรอยู่อีกเล่า ดูเจ้าปกติเป็นคนฉลาดนัก เหตุใดยามนี้กลับซื่อบื้อนัก”
“ทำไมท่านถึงดีดหน้าผากข้าเล่า ยังมาว่าข้าโง่อีก ท่านฉลาดอยู่คนเดียวหรือไง” มั่วเชียนเสวี่ยจับหน้าผากของตนเองอย่างแง่งอน
หนิงเซ่าชิงดึงมือของนางออก สายตาหยาดเยิ้มมองร่างบางตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
“หมู่บ้านแห่งนี้เรียกว่าหมู่บ้านหวังจยา ฟังจากชื่อก็คงไม่ต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ในความปกครองของคนตระกูลหวัง แม้ว่าคนที่นี่จะมีคนจากตระกูลภายนอกปะปนเข้ามาอยู่ด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ผู้อาวุโส แต่ท้ายที่สุดแล้วคนตระกูลหวังก็ใหญ่ที่สุด”
เมื่อเห็นใบหน้าอันมีเสน่ห์ของมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังตะลึงงัน ในขณะที่เขาพูดก็ได้ใช้ปลายนิ้วแตะหน้าผากของนาง “เจ้าน่ะ! ควรใช้เวลาคิดให้มากขึ้นว่าจะดึงคนของตระกูลหวังให้แปรพักตร์มาทำงานกับเจ้าได้อย่างไรจะดีกว่า ดีที่สุด ก็คือใช้เหยื่อล่อปลา แล้วปล่อยให้ปลางับเหยื่อเอง…”
มั่วเชียนเสวี่ยนที่ถูกเขาจิ้มหน้าผาก ไม่เพียงแต่ไม่รำคาญ ทั้งดวงตากลับฉายแววประกายกับการวิเคราะห์ของเขา “คนตระกูลหวังได้ประโยชน์จากพวกเรา ไม่ว่าคนอื่นจะมีความคิดเห็นอย่างไรก็ไม่สามารถก่อคลื่นลูกใหญ่ได้ เยี่ยมไปเลย!”
หนิงเซ่าชิงยิ้มและพยักหน้า “อืม ถือว่าไม่ได้โง่เกินไป…”
มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนอารมณ์ร้อน หากต้องการจะทำอะไรแล้วก็ต้องได้ตามนั้น ร่างบางแลบลิ้นใส่เขาพร้อมกับพูดประโยคหนึ่งขึ้น “ข้าจะไปวางเหยื่อล่อปลาก่อนนะ” จากนั้นก็หันหลังมุ่งตรงไปยังห้องครัวทันที
หนิงเซ่าชิงส่ายหัวพลางยิ้มเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
……
อาซ้อฟางมาถึงบ้านของหวังซาน ครอบครัวของเขาเพิ่งจะกินข้าวเสร็จพอดี เมื่อเห็นว่าอาซ้อฟางมาที่นี่ ภรรยาหวังซานก็รีบปรี่เข้ามาชักชวนให้นางนั่งลง ด้านชุนเยี่ยนลูกสะใภ้คนใหม่ก็รู้ความ อาสาไปชงชามาให้อย่างว่าง่าย
หวังซานเป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงดีในหมู่บ้าน เขาเป็นน้องชายของของหวังเอ้อร์ ตั้งแต่เล็กทั้งสองจับมือกันเติบโตขึ้นมา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่หวังซานกลับไม่เคยคิดเอาเปรียบใครโดยใช้อำนาจของหวังเอ้อร์เลยสักครั้ง เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่สุด
เดิมทีเขามีบุตรชายสองคนและบุตรสาวอีกสองคน ยามนี้บุตรสาวทั้งสองได้แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ส่วนบุตรชายคนโตมีนามว่าหวังเทียนซง คนที่เคยช่วยมั่วเชียนเสวี่ยตามหัวหน้าหมู่บ้าน เขาเพิ่งแต่งงานกับลูกสะใภ้คนใหม่เมื่อไม่นานมา ส่วนบุตรชายคนเล็กของเขาชื่อหวังเสี่ยวเหลย เพิ่งมีอายุได้สิบแปดปี ทุกคนจึงยังอยู่ที่บ้านนี้ด้วยกัน ยังไม่ได้แยกเรือนไป
อาซ้อฟางหยิบชาพลางนำเต้าหู้ที่เป็นของฝากส่งให้กับภรรยาหวังซานพร้อมกับชวนพูดคุย “หนิงเหนียงจื่อขอให้ข้านำเต้าหู้นี้มาฝากท่าน ท่านอา น้องสะใภ้เป็นคนน่ารักนัก มีสัมมาคารวะจริงเชียว”
ภรรยาหวังซานเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทีถ่อมตัวเล็กน้อย สายตาพลางมองลูกสะใภ้คนใหม่ อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มมุมปากออกมา ชุนเยี่ยนไม่ได้เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยกัน นางยังคงเขินอายพร้อมกับเก็บทำความสะอาดจานที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงเดินเข้าห้องครัวไป