มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามขันทีผู้นำทางอยู่ภายในกำแพงวังหลวงด้วยจิตใจที่แน่นิ่ง บางครามีคนในวังสองสามคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันเดินผ่านไป
ที่แห่งนี้เป็นสถานที่รวมอำนาจโสมมของขันที นางกำนัล องครักษ์ ขุนนางชั้นสูง และผู้เป็นฮองเฮาเอาไว้…เป็นสถานที่ซึ่งทุกสิ่งมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนยากจะคาดเดา เป็นบ่อนพนันที่สับเปลี่ยนอำนาจของฮ่องเต้ และเป็นสนามรบซึ่งมีผู้คนล้มตายอย่างไร้ร่องรอย
วันนี้ ที่แห่งนี้ก็คือสนามรบของนาง
จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่ ก็ต้องดูการเจรจาต่อรองในวันนี้
ใช่แล้ว เจรจาต่อรอง!
นางต้องเจรจากับฮ่องเต้ผู้นั้นให้ดี
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจลึก และบอกกับตนเองว่า นางจำเป็นต้องชนะสงครามในวันนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าห้องทรงพระอักษร การเข้าเฝ้าฮ่องเต้สองครั้งก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ที่ตำหนักจินหลวน ในยามที่มีขุนนางบู๊บุ๋นนับร้อยเข้าเฝ้า
กล่าวว่าเป็นห้องทรงพระอักษร ความจริงแล้วใหญ่กว่าห้องทรงพระอักษรมาก ไม่ใช่ห้องทรงพระอักษรทั่วไป แต่เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้พบปะทรงงานกับขุนนาง
บนโต๊ะทรงอักษรยังคงถูกยกให้สูงขึ้นขั้นหนึ่ง บ่งบอกว่าบุคคลที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษรมีฐานะสูงส่งกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไป ฮ่องเต้นั่งอยู่บนพระราชอาสน์หลังโต๊ะทรงอักษร พระหัตถ์ถือฎีกา คล้ายกับว่ายุ่งมาก
บริเวณทางเข้า มีอำพันทะเลที่กำลังถูกจุดอยู่ในกระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่
ด้านข้างวางฉากกันลมที่มีภาพแว่นแคว้นร้อยเป็นเรื่องราวอันงดงาม…
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงฐานะสูงศักดิ์ของบุคคลที่อยู่ภายในห้องนี้อย่างชัดเจน ทั้งยังบ่งบอกความนัยและสร้างความกดดันทางจิตใจให้กับผู้คน
มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าทำความเคารพ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีเพคะ”
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าถวายความเคารพอยู่บนพื้น มุมปากฮ่องเต้ก็เผยรอยยิ้มได้ใจจางๆ
แต่กลับเค้นน้ำเสียงของผู้นำแคว้นออกมา “ลุกขึ้น”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ลุกขึ้น แต่ยังคงหมอบอยู่บนพื้น “หม่อมฉันมิกล้าลุกขึ้น หม่อมฉันทรยศต่อพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ทำให้จวนกั๋วกงที่หม่อมฉันดูแลอยู่ถูกเพลิงไหม้ หม่อมฉันยอมรับผิด ตายหมื่นครั้งก็มิอาจเอากลับคืนมาได้ ขอฝ่าบาทโปรดลงอาญาด้วยเพคะ”
เริ่มจากแสดงตนด้อยกว่าก่อน ถอยเพื่อรุก ให้ศัตรูประมาทเลินเล่อ ถึงจะสามารถฉวยโอกาสคว้าช่องโหว่ในความวุ่นวาย และเป็นฝ่ายได้เปรียบที่สุดในการเจรจาต่อรอง
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวอย่างระมัดระวังระคนกริ่งเกรง ฮ่องเต้มีพระพักตร์ของผู้ปกครองแว่นแคว้นที่เห็นอกเห็นใจข้าราชบริพาร น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงมาก
“การเกิดขึ้นของภัยพิบัติบางอย่างนั้น มิอาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้! จวนกั๋วกงพบกับภัยพิบัติในครานี้ จะกล่าวโทษเจ้าได้เช่นไร ข้ามิใช่คนไร้มนุษยธรรม ไร้เหตุผล”
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงหมอบอยู่ที่พื้น “พระเมตตาของฝ่าบาทคือน้ำพระทัยของพระองค์ หม่อมฉันกลับมิกล้าไม่มาทั้งที่รู้ว่ามีความผิด ฝ่าบาททรงราชกิจทุกวันอย่างยากลำบาก ถ้าหากยามพรุ่งมีคนหยิบยกเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ขึ้นมากวนพระทัยฝ่าบาท ฟ้องร้องกล่าวหาเรื่องนี้ในท้องพระโรง ทำให้ฝ่าบาทลำบากใจ ความผิดของหม่อมฉันก็หนักหนาแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ้ม ไม่ได้กล่าวตอบอันใด
เขายังคงพอใจท่าทีของมั่วเชียนเสวี่ย
จึงส่งสายตาให้กับขันทีคนสนิทข้างกายไปประคองมั่วเชียนเสวี่ยให้ลุกขึ้นมา
เขาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ “ในจวนสูญเสียมากหรือไม่”
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะรังเกียจสัมผัสจากขันทีผู้นี้ แต่กลับจำเป็นต้องอดกลั้น และถือโอกาสลุกขึ้นยืน
นางก้มหน้าตอบคำถาม “ในจวนถูกเพลิงไหม้จนไม่เหลือสิ่งใด หม่อมฉันมาในครานี้ ประการแรกเพื่อรับโทษ ประการที่สอง…ประการที่สองคือทูลของพระกรุณาจากฝ่าบาทอย่างไร้ยางอายเพคะ…”
มั่วเชียนเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ปาดน้ำราวกับเสียใจ สะอื้นราวกับกล่าวต่อไปมิไหว
ฮ่องเต้พระทัยเบิกบาน คล้ายกับว่าได้เห็นเงาร่างที่แผ่นหลังเหยียดตรงในปีนั้นยอมก้มหัวให้เขาอีกครั้ง
“โทษนั้นมิต้องรับ ข้าอภัยโทษให้เจ้า สำหรับความกรุณานั้น เห็นแก่เทียนฟ่าง มีสิ่งใดที่สามารถช่วยเจ้าได้ ข้าย่อมอนุญาตแน่นอน”
ที่ต้องการก็คือประโยคนี้!
ฮ่องเต้ตรัสคำไหนคำนั้น
ในเมื่อฮ่องเต้อภัยโทษนี้ให้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาฟ้องร้องกล่าวหาทำให้นางลำบากใจอีก
หากว่าไม่มีประโยคนี้ แม้ว่าวันนี้ฮ่องเต้จะไม่อนุญาต ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าวันใดฮ่องเต้หยิบเรื่องในอดีตขึ้นมาใช้โจมตีนางกับหนิงเซ่าชิง
นับตั้งแต่สมัยโบราณ สิ่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ มิสามารถเสียหายได้ หากเสียหายก็คือการไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง!
แผนการเรื่องนี้กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ตนเองวางแผนเอาไว้ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มมุมปากจางๆ ทว่าน้ำเสียงกลับขมขื่นเล็กน้อย “หม่อมฉันบังอาจทูลขอฝ่าบาทมีราชโองการให้…สร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่เพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ “นี่ย่อมแน่นอน แม้จวนกั๋วกงจะถูกเพลิงไหม้ แต่ข้ามิได้มีราชโองการยกเลิกบรรดาศักดิ์กั๋วกง จะมิมีคฤหาสน์ได้เช่นไร เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อยไร้ที่พึ่งพิง ข้าจะให้ความกรุณานี้กับเจ้า เจ้ายังสามารถสร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่ในพื้นที่เดิมได้”
มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณนี้ของฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“อืม ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้โบกมือ
ในใจกลับคิดคำนวณว่า ให้ความกรุณาไปแล้ว ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะตรัสถามเรื่องป้ายไม้ดำแผ่นนั้นพอดี
คาดไม่ถึงว่า ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นจะเอ่ยต่อว่า “สมแล้วที่ผู้คนในใต้หล้าสรรเสริญว่าฝ่าบาทเป็นผู้ปกครองแว่นแคว้นที่ทรงพระปรีชาญาณ มีเมตตากรุณา! อีกครู่เมื่อหม่อมฉันออกจากห้องทรงพระอักษรไป ก็จะนำพระราชดำรัสของพระองค์ไปเบิกค่าใช้จ่ายในการสร้างจวนใหม่กับหน่วยกิจการทั่วไปนะเพคะ เพียงแต่มิทราบว่าถึงยามนั้นฝ่าบาทจะส่งขุนทางท่านใดไปตรวจตราดูแลเรื่องนี้ จะสามารถแจ้งให้หม่อมฉันทราบก่อนได้หรือไม่ หม่อมฉันจะได้ไปเยี่ยมเยือนทำความเคารพ และสนทนาเกี่ยวกับเรื่องรูปแบบลักษณะการสร้างจวน…”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยด้วยท่าทางมีความสุขและเป็นธรรมชาติ
ฮ่องเต้ได้ยินประโยคแรกยังคงอารมณ์เบิกบาน แต่ในภายหลังยิ่งฟังพรพักตร์ก็ยิ่งทะมึนยิ่งขึ้น ดำทะมึนยิ่งกว่าเส้นด้ายสีดำที่ใช้ปักลายมังกรบนตัวเขาถึงสามส่วน
เขาแค่นเสียงคำหนึ่ง
เห็นเช่นนั้น หัวหน้าขันทีก็มีสีหน้าไม่พอใจ “บังอาจ!”
พระทัยของฝ่าบาท เขาย่อมรู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ช่วงเช้าก็มีคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวหามั่วเชียนเสวี่ยแล้ว กล่าวว่าสุดท้ายนางก็เป็นเพียงสตรีเร่ร่อนนางหนึ่ง จะสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นกั๋วกงได้อย่างไร
มีคนแนะนำให้จัดการมั่วเชียนเสวี่ยขั้นรุนแรง ข้อหาดูหมิ่นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท
มีคนแนะนำให้ฝ่าบาทริบบรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งไปก่อนหน้านี้คืน และเฟ้นหาคนอื่นในตระกูลมั่วหรือกองทัพตระกูลมั่วแทน สำหรับมั่วเชียนเสวี่ย เห็นแก่ท่านกั๋วกง พระราชทานเงินทองเป็นการปลอบประโลมสตรีเร่ร่อนนางนี้ก็พอแล้ว
เนื่องจากฮ่องเต้ได้ให้คำมั่นสัญญากับขุนนางตระกูลหนิง ตระกูลซู ตระกูลเฟิง และตระกูลจย่าเอาไว้ ถึงได้เอ่ยว่า ในกาลก่อนกั๋วกงมีผลงานการรบ บุตรีซึ่งไร้บิดามารดาพบเจอกับภัยพิบัติเป็นคราแรก เรื่องนี้ไว้ค่อยหารือกันวันหลัง ถึงได้กดเรื่องนี้ลงไปได้
คิดไม่ถึงว่า เพียงแค่เวลาชั่วพริบตา ภายใต้การยอมรับความผิด ขอรับโทษของมั่วเชียนเสวี่ย ฝ่าบาทจะไม่เพียงละเว้นโทษให้นาง แต่ยังจำเป็นต้องรับปากให้นางสร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่อีกด้วย
แต่การสร้างขึ้นมาใหม่ที่ฝ่าบาทกล่าวนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นางต้องรับผิดชอบสร้างขึ้นใหม่ด้วยตนเอง นางไม่แสดงความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทโดยการมอบป้ายไม้ดำให้ แต่ถึงกับบังอาจต้องการเงินและคนจากฝ่าบาทด้วย!
ไว้หน้านางแล้ว แต่นางยังไม่รู้จักพอจริงๆ
หัวหน้าขันทีก้าวไปข้างหน้า ชี้มั่วเชียนเสวี่ย บีบน้ำเสียงกล่าวด้วยความเคียดแค้นชิงชัง วางอำนาจสั่งสอนกล่าวโทษนาง
“มั่วเชียนเสวี่ย เจ้ามันไม่รู้จักความพอดีเกินไปแล้ว ฝ่าบาทไม่ลงอาญาเจ้าก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นแล้ว ยอมให้เจ้าสร้างจวนขึ้นใหม่ในพื้นที่เดิม ก็ยิ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ เจ้าไม่เพียงไม่พอใจ ยังจะทูลขอค่าใช้จ่ายกับฝ่าบาท ทั้งยังเสนอให้ฝ่าบาทส่งคนไปสร้างจวนกั๋วกงให้เจ้าใหม่อีกด้วย นี่เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าดูหมิ่นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท ผิดครรลองครองธรรม มีโทษมหันต์…”
ฮ่องเต้จิบชาราวกับไม่ได้ยินหัวหน้าขันทีบริภาษด้วยท่าทางไร้มารยาทเช่นนี้
เขากำลังรอ รอให้มั่วเชียนเสวี่ยคุกเข่าขอร้องเขาอีกครั้ง เขาจะได้เพิ่มความหวาดกลัวให้นางได้สะดวก
อำนาจของโอรสสวรรค์ ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุ
แต่ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ถูกข้อกล่าวหาเป็นพรวนของหัวหน้าขันทีทำให้ตกใจกลัว แต่กลับมีสีหน้ามึนงงไม่เข้าใจ