มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะขึ้นมา ขอเพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ตายก็พอแล้ว
พวกเขาจะต้องชดใช้ในเร็วๆ นี้!
นางไม่มองหัวหน้าขันที แต่กลับจ้องฮ่องเต้ เอ่ยทีละคำ ทีละประโยค “ฝ่าบาท พระองค์ดูสิเพคะ ป้ายไม้ดำแผ่นนั้นยังอยู่หรือไม่”
ฮ่องเต้จ้องมองมา แววตาพลันเข้าใจได้ในทันที
ป้ายไม้ดำแผ่นนั้นหายไปได้อย่างไร
ฮ่องเต้หัวใจกระตุก เต้นผิดจังหวะ มองไปทางหัวหน้าขันทีด้วยความสงสัยเล็กน้อย
ที่นี่มีเพียงแค่พวกเขาสามคน มั่วเชียนเสวี่ยนำป้ายไม้ดำออกมา ทั้งยังกล่าววาจาสามหาว เขาจึงเข้าไปบีบคอมั่วเชียนเสวี่ย ในขณะนั้นไม่มีผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่คนเดียว
ยามนี้ป้ายไม้ดำหายไปแล้ว ไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร
หัวหน้าขันทีติดตามฮ่องเต้มานานหลายปีขนาดนี้ ยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก
จึงคุกเข่าลงกับพื้นทันที พลางละล่ำละลักร้องขอความเมตตา “บ่าวมิกล้า”
มีเพียงแค่เขาที่รู้ว่าป้ายไม้ดำแผ่นนี้มีความสำคัญมากเพียงใดสำหรับฝ่าบาท
มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีอารมณ์เพลิดเพลินกับละครขบขันระหว่างนายบ่าวคู่นี้ จึงกระแอมไอลำคอที่เจ็บให้โล่ง พลางมองฮ่องเต้ยิ้มๆ “ฝ่าบาททอดพระเนตรอีกครั้งสิเพคะว่าป้ายไม้ดำยังอยู่หรือไม่”
ความมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นแล้ว!
ฮ่องเต้ขยี้พระเนตรตนเอง ป้ายไม้ดำก็ปรากฏขึ้นบนคอมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง
แต่ทว่า เขายังไม่ทันได้กระพริบตา มั่วเชียนเสวี่ยเพียงแค่เอ่ยว่า “เก็บ” คำเดียว ป้ายไม้แผ่นนั้นก็หายไปอีกแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยหุบยิ้ม ปรับลมหายใจของตนเองเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้น สูดลมหายใจลึก จ้องฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าหากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเชียนเสวี่ย แม่ทัพฮูเหยียนเจ๋อกับแม่ทัพเกาเหอซวี่จะนำทหารสองแสนนายก่อกบฏ”
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “หากมั่วเชียนเสวี่ยตายไป ชนเผ่าเฮยมู่รั่วสุ่ยปกครองเมืองเฮยมู่รั่วสุ่ยทั้งสองแห่งอย่างเป็นเอกเทศน์ นับแต่นี้ไปจะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเทียนฉีอีก”
และเมื่อก้าวขึ้นไปอีกก็ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะทรงอักษรของฮ่องเต้แล้ว “ไม่เพียงเท่านี้ พวกเขายังจะให้ชาวชังยืมเส้นทาง และไม่เป็นเมืองกีดขวางให้กับเทียนฉีอีก แต่จะเป็นผู้ช่วยชาวชังบุกโจมตีเทียนฉี…”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างสะใจและกำเริบเสิบสาน
ทุกครั้งที่เอ่ยประโยคหนึ่ง ก็จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ฮ่องเต้ถูกความวิเศษก่อนหน้านี้ของป้ายไม้ดำทำให้ตะลึงค้างไป
ในภายหลังก็ถูกทุกประโยคที่นางกล่าวออกมาทำให้ตกใจกลัว
วาจาติดกันเป็นพรวนทำให้ฮ่องเต้ตกใจกลัวจนอ้าปากค้าง
โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย…ให้ชาวชังยืมเส้นทาง ไม่เป็นเมืองหน้าด่านให้กับเทียนฉี และกลายเป็นผู้ช่วยชาวชังบุกโจมตีเทียนฉี….
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เทียนฉีก็ตกอยู่ในอันตราย! ราชวงศ์ตระกูลกูก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!
ฮ่องเต้ลุกขึ้น ตวาดเสียงดัง เมื่อได้สติคืนกลับมาจากความกลัว “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้ากล้า…?”
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เจือไปด้วยความไม่ยินดียินร้อนและสบายๆ “เมื่อคนผู้หนึ่งใกล้จะสิ้นชีพ ก็มีความกล้าอยู่บ้าง!
มั่วเชียนเสวี่ยเก็บงำความเย็นชา ราวกับเก็บงำประกายกระบี่อันคมปลาบ
ฮ่องเต้บบันดาลโทสะ “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าทำผิดครรลองคลองธรรม…”
“ที่ทำผิดครรลองคลองธรรมก็เพราะถูกฝ่าบาทบีบบังคับ…”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่น
กระทั่งองครักษ์และคนในวังทุกคนข้างนอกล้วนถูกทำให้ตกใจสะดุ้ง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินว่าข้างในสนทนาเรื่องอะไร แต่ตอนนี้กลับสบตากันแวบหนึ่ง เกรงว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วที่เข้าเฝ้าจะไม่สามารถเดินออกจากห้องทรงพระอักษรอย่างมีชีวิตอยู่ได้เสียแล้ว
“เจ้า…เทียนฟ่าง บิดาเจ้าจงรักภักดีตลอดชีวิต เขาไม่มีทางยอมให้บุตรีที่ไร้ความจงรักภักดีเช่นเจ้ามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพื่อทำให้เขาขายหน้า…ไม่สิ! แม้ว่าเจ้าจะตายไป ก็ไม่มีหน้าไปพบเขา ดูท่า ถ้าหากข้าส่งเจ้าลงไปเบื้องล่าง ให้เขาอบรมสั่งสอนเจ้า เขาไม่มีทางกล่าวโทษข้าแม้แต่น้อย”
ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่กล้าฆ่านาง เพียงแค่ข่มขู่
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจดี
“เชียนเสวี่ยมิกล้า ในยามที่มั่วเทียนฟ่างผู้เป็นบิดายังมีชีวิต มิมีวัน และยิ่งมิกล้ามีความคิดเช่นนี้ออกมา เพียงเพราะ เขาภักดีต่อฝ่าบาท รักบ้านเมือง เพียงเพราะในใจเขามีเพียงเทียนฉี เพียงเพราะเขามอบแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับบ้านเมืองให้กับประชาชน เพียงเพราะนึกว่าผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดคนนั้นจะเป็นคนที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง…”
คำเรียกแทนตนเองของมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนจากหม่อมฉันที่ต่ำต้อยเป็นเชียนเสวี่ย คล้ายกับอยู่ในฐานะเดียวกันกับฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น!
ประโยคนี้ ทุกๆ ประโยคคือความจงรักภักดี แต่ทุกๆ คำราวกับศิลาที่กระแทกลงบนพระหทัยของฮ่องเต้
พระพักตร์ฮ่องเต้ปรากฏแววละอายใจเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แต่ถ้าหากเขาได้รู้ว่า เขาที่จงรักภักดีมาตลอดชีวิต สุดท้ายกลับถูกคนที่เขาให้การปกป้องมากที่สุดผู้นั้นทอดทิ้ง แต่ถ้าหากเขาได้รู้ว่า เขาที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีมาตลอดชีวิต สุดท้ายกลับถูกคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดวางแผนเล่นงาน แต่ถ้าหากเขาได้รู้ว่า เขาที่จงรักภักดีมาตลอดชีวิต อุทิศตนพลีชีพเพื่อบ้านเมือง บุตรีของเขากลับกลายเป็นหนามยอกอกของฮ่องเต้ ถูกฮ่องเต้เกลียดชัง คิดจะกำจัดทิ้งอยู่ตลอดเวลา ข้าเชื่อว่าเขาซึ่งอยู่เบื้องล่างจะรับรู้ และให้การสนับสนุนวิธีการปกป้องตนเองของบุตรีเขาแน่นอน”
เอื้อนเอ่ยแต่ละคำด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น!
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้หวั่นไหว
ความละอายใจที่ปรากฏขึ้นบนพระพักตร์ฮ่องเต้นั้นกลายเป็นรังสีสังหารนานแล้ว
“เช่นนั้น ข้าก็ทำได้เพียงแค่ฆ่าเจ้าในตอนนี้ เจ้าตายไปแล้ว ป้ายไม้นั่นก็ไม่มีทางผลุบๆ โผล่ๆ ย่อมต้องกลายเป็นของข้า ถ้าหากว่าทั้งสองชนเผ่าไม่ฝั่งคำสั่งข้า ข้าก็จะใช้แรงอสนีบาตทำลายทั้งสองชนเผ่า ยึดสองเมืองนั่นเสีย เมื่อสูญเสียเมืองทั้งสองแห่งที่หนุนหลังไป ทหารกบฏสองทัพเหล่านั้นก็ไม่มีอันใดต้องกังวล”
ในชั่วพริบตา ฮ่องเต้เตรียมใจให้พร้อมที่จะสงบความวุ่นวายโกลาหล
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว ดวงหน้ามีแววตัดขาดเฉกเช่นมัจฉาตายตาข่ายขาด
“หากเชียนเสวี่ยตาย ป้ายไม้ดำจะแตกทันที ทั้งสองชนเผ่าจะรู้ทันที! เมื่อทั้งสองชนเผ่ารู้ แม่ทัพสองท่านรู้ กระทั่งทั่วชายแดนตะวันตกก็จะรู้ทันที ทหารของฝ่าบาทเกรงว่ายังไม่ทันได้โจมตี ทัพใหญ่ที่มีทหารหลายแสนก็บุกทะลวงมาแล้ว”
เบื้องหน้ามั่วเชียนเสวี่ยกล่าววาจาปนสะอื้นอย่างเด็ดขาด สมองของฮ่องเต้ก็แล่นไม่ช้าเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ได้ ฆ่าไม่ได้ ปล่อยไม่ได้ ข้าจะเก็บเจ้าไว้ในวังหลวง อย่างไรก็เพิ่มเจ้าขึ้นมากินข้าวด้วยอีกคนหนึ่ง ไม่เป็นไร”
สำหรับปฏิกิริยาตอบสนองของฮ่องเต้ อยู่ในแผนการของมั่วเชียนเสวี่ยอยู่แล้ว
ตอนนี้สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ฝ่าบาทไม่ปล่อยหม่อมฉันออกไปก็ได้ แต่ตอนที่เชียนเสวี่ยมาได้โดยสารรถม้าตระกูลหนิงมา มีองครักษ์ตระกูลหนิงสามสิบนายเข้ามาส่ง ก่อนเข้าวังหลวง เชียนเสวี่ยได้กำชับหัวหน้าองครักษ์เอาไว้แล้วว่า ขอเพียงแค่เชียนเสวี่ยไม่ได้ออกจากวังหลวงในหนึ่งชั่วยาม ก็ให้ผู้นำตระกูลของพวกเขามารับเชียนเสวี่ยออกจากวังหลวงด้วยตนเอง”
เอ่ยถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็หัวเราะเบาๆ ถามฮ่องเต้กลับว่า “หรือ…ฝ่าบาทอยากให้ผู้นำตระกูลหนิงเข้าวังมารับหม่อมฉันด้วยตนเองเล่า”
พระพักตร์ของฮ่องเต้มิปรากฏโทสะ แต่กลับนั่งลงแล้วจิบชาคำหนึ่งด้วยท่าทางน่าสนใจ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าไม่ดีเล็กน้อย!
ฮ่องเต้เอ่ยนิ่งๆ ว่า “มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าผิดแล้ว ข้าให้เจ้าอยู่ในวัง ไม่ได้ต้องการส่งเจ้าเข้าคุกหลวง และไม่ได้ต้องการจับเจ้าเข้าคุก แต่…ข้างกายข้ากำลังขาดคนที่ถูกอกถูกใจปรนนิบัติพอดี ยามนี้บุรุษและสตรีที่ยังมิได้แต่งงานอยู่ในห้องเดียวกัน จึงเกิดความรู้สึกหักห้ามใจมิได้อยู่บ้าง…วันนี้รับเจ้าเข้าวังเป็นสนม คิดว่า คนนอกก็กล่าวอันใดมิได้”
“สำหรับผู้นำตระกูลหนิง หึๆ…”
ฮ่องเต้ยังตรัสไม่จบ มั่วเชียนเสวี่ยย่อมเข้าใจ
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลหนิงจะเข้าวัง ก็ไม่สามารถแย่งสตรีฮ่องเต้ได้ ในยุคโบราณ บุรุษที่มิอาจหักห้ามใจได้ก็สามารถปิดบังความผิดทั้งหมดของเขาได้
พระราชทานสมรสให้แล้วอย่างไร ยังมิได้แต่งงาน คนในแคว้นล้วนรู้กันดีว่า ฮ่องเต้ไม่ฝักใฝ่ในกามรมณ์ จะกล่าวเพียงแค่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นปีศาจจิ้งจอก มีฝีมือสูงส่ง ถึงกับยั่วยวนฮ่องเต้ โดยมิกล่าววาจาว่าร้ายฮ่องเต้แม้แต่ครึ่งคำ