เมื่อทุกคนเห็นคุณชายสามเซี่ยก็ล้วนมีรอยยิ้มต่ำช้าบนใบหน้า
ความหมายของรอยยิ้มนั้นไร้การปิดบังแม้แต่น้อย “มิทราบว่าคุณชายสามเซี่ยท่านนี้ก็เป็นแขกที่เข้าไปในห้องด้วยใช่หรือไม่ หรือจะกล่าวว่าเข้าไปหลายครั้งแล้ว…” คุณชายสามเซี่ยอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
เรื่องเช่นนี้ ผู้อื่นมิได้กล่าวออกมา เขาอยากจะจับคนก็ไร้ซึ่งหลักฐาน จึงทำได้เพียงแค่กลับไปด้วยความแค้นใจ
องค์หญิงอวี้เหอมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้ แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงที่ประสูติแด่ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ แต่ยามนี้คิดจะแต่งออกไปก็เกรงว่าจะยากแล้ว
วันนี้ฮองเฮาเพิ่งจะคัดลอกคัมภีร์เสร็จ ถึงได้ออกมาจากตำหนักคุนหนิงของนาง เดิมคิดจะไปอุทยานหลวงเพื่อสร้างความน่าเกรงขามสักหน่อย แต่กลับได้ยินคนในวังกระซิบกระซาบกัน
“พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม องค์หญิงอวี้เหอเรียกองครักษ์หลายนายไปค้างที่ตำหนักในยามค่ำคืน…”
“มีแค่นี้เสียที่ใดกัน ได้ยินมาว่ามีคุณชายสูงศักดิ์ที่ดีหน่อยเคยถูกองค์หญิงพาเข้ามาในวังด้วย…”
“ใช่แล้ว! ได้ยินมาว่าองค์หญิงร่วมอะไรนั่นกับหลายท่านนั้นพร้อมกับนางกำนัล…”
ฮองเฮาที่น่าสงสาร ยังไม่ทันจะคืนสติขึ้นมาจากความยินดีปรีดาที่จวนกั๋วกงถูกเพลิงไหม้ ก็ถูกข่าวลือพวกนี้ทำให้โมโหจนกระอักเลือดออกมาทันที
นางพลันสั่งโบยคนในวังที่กระซิบกระซาบกันสองคนนั้นจนตาย
แม้ว่าจะโบยคนในวังที่ลือเรื่องนี้กันจนตายแล้วอย่างไร
ข่าวลือประเภทนี้ ตรวจสอบก็ไม่กล้าตรวจสอบ
เดิมก็ไม่ได้รู้กันทั่ว ถ้าหากว่าเปิดเผยรู้กันทั่ว นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เกรงว่าฮ่องเต้ก็คงไม่ให้อภัยนาง
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง ในอุทยานหลวง ต่อหน้าทุกคนทำความเคารพอย่างให้เกียรติ แต่ความจริงแล้วรอยยิ้มเหยียดหยามของเหล่าสนมล้วนกำลังเตือนนางว่า ข่าวลือนี้ถูกลือไปทั่ววังหลวงแล้ว
อวี้กุ้ยเฟยแย้มรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าเดิม เอ่ยทักทายพลางแสดงความยินดีที่นางคัดคัมภีร์เสร็จในประโยคแรก ประโยคถัดไปก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบนาง เอ่ยว่าฮองเฮาอบรมสั่งสอนได้ดี องค์หญิงอวี้เหอไม่เพียงคุณธรรมสูงส่งสมคำร่ำลือ แต่ยังมีวิธีการหักล้างที่ดีเช่นกัน
ท่าทางเยาะเย้ยเสียดสีชัดเจนเช่นนี้ เหล่าสนมก็พากันคล้อยตาม ฮองเฮาถูกทำให้โมโหจนหมดสติไปในทันที
องค์หญิงอวี้เหอโบยปี้หวนจนตาย และหลบอยู่ในตำหนักของนาง ไม่กล้าแม้แต่กระทั่งจะย่างเท้าออกจากประตู
มั่วเชียนเสวี่ยที่ออกจากวังหลวงมา แม้ว่ารอยแดงจากการถูกบีบบนลำคอจะเจ็บปวดอยู่ แต่ก็ปกปิดความสุขบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาไม่ได้
มั่วเหนียงไม่อยู่แล้ว ชูอีกับสืออู่ล้วนได้รับบาดเจ็บ อารมณ์ก็ไม่มั่นคง มั่วเชียนเสวี่ยจึงให้พวกนางสองคนพักผ่อนอยู่ที่กระท่อมที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวในจวนกั๋วกง
แม้จะกล่าวว่าอวี่เสวียนก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่นางกลับดึงดันจะติดตามอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยจึงทำได้เพียงแค่ตามใจนาง
หลังรถม้า มีหน่วยองครักษ์หลายสิบคนที่หนิงเซ่าชิงส่งมาให้นางใหม่ หัวหน้าหน่วยคือมั่วเหยียน ผู้บังคับรถม้าเปลี่ยนเป็นมั่วสิง
อาซานกับอาอู่ได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก จึงพักรักษาตัวอยู่ในกระท่อมที่จวนกั๋วกงด้วยกันกับชูอีและสืออู่
ทันทีที่หน่วยองรักษ์สามสิบกว่าคนนี้มาถึง มั่วเหยียนก็นำสัญญาขายตัวของคนเหล่านี้ทั้งหมดมอบให้กับมั่วเชียนเสวี่ย เป็นการแสดงให้เห็นว่านับตั้งแต่นี้คนเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหนิงอีก และจะฟังเพียงคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ยคนเดียวเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยออกคำสั่ง คนทั้งขบวนก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางของจวนมั่วอย่างเกรียงไกร
วันนี้ นางไม่เพียงแต่ทำให้ฮ่องเต้ทำตามสิ่งที่นางต้องการ แต่ยังจะตัดตระกูลมั่วที่เป็นดั่งเนื้อร้ายชิ้นหนึ่งนี้ออกไปโดยสิ้นเชิง
มั่วเชียนเสวี่ยหลับตาลงด้วยความสบายใจ หัวหน้าตระกูลมั่ว เชียนเสวี่ยมาคิดบัญชีแล้ว! ท่านคอยดูเถอะ!
ขบวนของมั่วเชียนเสวี่ยยังเดินทางไปไม่ถึงประตูใหญ่จวนมั่ว
เด็กรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูแต่เช้าก็เข้าไปแจ้งในจวนแล้ว
“คุณหนูใหญ่มาแล้วขอรับ”
ถัดจากเสียงตะโกนนี้ ด้านในก็มีคนออกมาต้อนรับ
หัวหน้าตระกูลมั่ว ผู้อาวุโสทุกท่าน และยังมีสมาชิกในตระกูลฝ่ายสตรีที่มีตำแหน่งฐานะบางส่วนล้วนออกมาต้อนรับ
หัวหน้าตระกูลมั่วยิ้มหน้าบาน นานขนาดนี้แล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถพลิกกลับสถานการณ์ได้แล้ว
อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่น จำเป็นต้องก้มหัวทำตามเจ้าบ้าน!
เพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาอาศัยที่นี่ เขาไม่เชื่อว่าจะควบคุมนางไม่ได้ จะได้สิ่งที่ต้องการไม่ได้!
ในตอนที่มั่วจื่อถังมาถ่ายทอดวาจาว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมา เขาก็ให้คนเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งแล้ว รอเพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าจวนเท่านั้น
มั่วจื่อถังรู้ดีแก่ใจว่า ด้วยนิสัยของมั่วเชียนเสวี่ย แม้ว่าจะต้องพักอาศัยในโรงเตี๊ยม ก็ไม่มีทางเข้ามาอาศัยในจวนตระกูลมั่วเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นที่มั่วเชียนเสวี่ยให้คนมาถ่ายทอดวาจา ก็เอ่ยเพียงแค่ว่านางจะมาจวนมั่ว ไม่ได้บอกว่าจะอาศัยที่นี่
แต่ทว่า เขามีอาการบาดเจ็บติดตัว เดิมก็อ่อนแรงอยู่บ้าง เสียงที่ใช้เอ่ยจึงไม่ดัง อยากจะโน้มน้าวก็โน้มน้าวไม่สำเร็จ
อีกอย่าง สิ่งที่เขาเอ่ยไปล้วนไม่มีผู้ใดเห็นเป็นเรื่องจริงสักคน
ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับตำหนิว่า “ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ในเมื่อนางบอกว่าจะมาจวนมั่ว ก็ต้องตั้งใจว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้น นางจะมาทำอะไร เป็นแขก? เที่ยวเล่น? เจ้าใช้สมองสักหน่อยเถอะ”
ผู้อาวุโสรองก็มีสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าร่ำเรียนหนังสือจนทำให้สมองของเจ้ากลวงไปแล้ว…”
มั่วเชียนเสวี่ยกก้าวเท้าออกจากรถม้าข้างหนึ่ง ก็เห็นขบวนต้อนรับขนาดใหญ่ที่หน้าประตูจวนมั่ว
หลังจากตื่นตะลึง ก็เข้าใจแล้ว ใบหน้าของนางแย้มรอยยิ้มงดงาม
ทำให้ตาเฒ่าร่วงจากสวรรค์ลงสู่นรก ก็คือความตั้งใจของนางในวันนี้
ในเมื่อลงมือกระทำแล้ว ก็ต้องทำต่อไป! ในเมื่อนางตัดสินใจจะจัดการหัวหน้าตระกูลมั่ว ก็ไม่มีสิ่งใดต้องไปกังวลอีก
จุดเริ่มต้นเช่นนี้ นางชอบมาก
เมื่อเห็นใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่เย่อหยิ่งเย็นชาเฉกเช่นในอดีตที่ผ่านมา หัวหน้าตระกูลมั่วก็มีความมั่นใจขึ้นอีกหลายส่วน
“หลานสาว ทางนี้เก็บกวาดเรือนเสร็จเรียบร้อยให้เจ้านานแล้ว นั่นเป็นเรือนที่ดีที่สุดในจวนมั่ว…อวิ๋นไหลจวี๋ ถ้าเจ้าไม่ชอบชื่อเรือน วันหลัง ลุงค่อยให้คนเปลี่ยนให้เจ้า จะใช้ ‘เรือนเสวี่ยหว่าน’ ก็ไม่เป็นไร”
ผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ก็คล้อยตามเช่นกัน
เหล่าสตรีในตระกูลที่อยู่อีกด้าน ก็ล้วนเกรงอกเกรงใจระคนประจบสอพลอเล็กน้อย
แน่นอนว่า ยกเว้นสองคนที่เป็นจำนวนน้อย มั่วเชียนเสวี่ยย่อมเพิกเฉยใส่ทันที
ถูกเชิญเข้าไปในจวนมั่ว หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยทักทายไปเล็กน้อยแล้ว ก็เอ่ยเสียงเบากับหัวหน้าตระกูลมั่วว่า “หัวหน้าตระกูลมั่วโปรดเชิญทุกท่านออกไป เชียนเสวี่ยอยากจะสนทนากับหัวหน้าตระกูลมั่วเป็นการส่วนตัว”
คนที่นางต้องการจัดการมีเพียงแค่หัวหน้าตระกูลมั่ว นางไม่อยากให้คนอื่นๆ ระแคะระคาย
แม้ว่า นางจะไม่คิดว่าคนตระกูลมั่วคนอื่นๆ เป็นคนดี
แต่ เมื่อมีมั่วจื่อถังที่เป็นตัวอย่างก่อนหน้านี้ นางก็ไม่อยากตัดสินพวกเขาว่าเป็นคนแบบเดียวกันทั้งหมด
อย่างไรเสีย ป้ายวิญญาณของท่านย่าก็ยังคงอยู่ในหอบรรพชนของตระกูลมั่ว
นี่คือเรื่องที่บิดาให้ความสำคัญมากที่สุดยามที่ยังมีชีวิตอยู่
พอได้ยินแล้ว ท่าทีของหัวหน้าตระกูลมั่วก็ดีมาก แต่ในใจกลับลอบด่า นังแพศยาคิดจะสนทนาเรื่องอันใด เขารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
เพียงแค่แสร้งทำท่าทางครุ่นคิดแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ก็ดี เชียนเสวี่ยเพิ่งจะมาถึง ย่อมมีบางสิ่งที่ไม่คุ้นชิน เช่นนั้นก็ไปสนทนากันที่ห้องหนังสือของลุงแล้วกัน เอ่ยความต้องการของเจ้าให้ลุงฟังอย่างชัดเจน ลุงจะได้สั่งบ่าวรับใช้ได้…”
มั่วเชียนเสวี่ยปิดหน้าแสร้งทำเป็นสตรีจิตใจดีงาม หัวเราะเสียงเบา “หัวหน้าตระกูลมั่วเกรงใจเกินไปแล้ว”
เสแสร้งไปเถอะ เสแสร้งเข้าไป ไม่หาเรื่องใส่ตัว ก็ไม่ต้องลำบาก! เขายิ่งเสแสร้ง อีกครู่หนึ่งก็ยิ่งตายอย่างน่าอนาถ!
เมื่อเข้าไปในห้อง หัวหน้าตระกูลมั่วก็ไล่ทุกคนออกไป ตนเองก็ไปนั่งในตำแหน่งประธาน และชี้ไปยังเก้าอี้ตัวที่ต่ำลงมา พลางเชื้อเชิญให้มั่วเชียนเสวี่ยนั่งลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกขบขันในใจ
นี่หมายความว่าอะไร ก็กำลังบอกนางว่า ในจวนมั่ว เขาเป็นเจ้าบ้าน นางเป็นแขก แขกต้องทำสิ่งต่างๆ ตามที่เจ้าบ้านจัดให้ นางทำได้เพียงแค่นั่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าเช่นนั้นหรือ