ตอนที่ 44 ความคาดหวัง
อาซ้อฟางมองไปที่ลูกสะใภ้คนใหม่ผู้นี้อย่างถี่ถ้วนก็รู้ทันทีว่านางเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย คิดได้ดังนั้นจึงพยักหน้ากับตนเองพลางกล่าวขึ้น “เทียนซงช่างโชคดียิ่งนัก”
ภรรยาหวังซานก็รู้สึกพอใจและยินดีกับลูกชายของตนเช่นกันที่มีลูกสะใภ้เช่นนี้ แต่ปากก็ตอบอย่างเกรงใจว่า “คงเทียบไม่ได้กับเจ้าหรอก เทียนซงทำงานรายงาน ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งเดือน ได้มาเพียงสี่ห้าร้อยอีแปะ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำงานที่บ้านของหนิงเหนียงจื่อ ทำงานในยามเช้าและพักผ่อนในช่วงบ่าย ไม่ได้โดนลมเปียกฝน แต่ก็สามารถหาเงินได้หลายร้อยอีแปะภายในหนึ่งเดือนเชียว”
“ช่วยเหลือกันตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียงน่ะ หนิงเหนียงจื่อนางเป็นคนใจดี เมื่อได้กำไรย่อมไม่ให้คนรอบข้างต้องลำบาก”
“หลานสะใภ้ช่างโชคดีจริงๆ งานไม่หนัก สามารถหาเงินได้มากมายพร้อมกับดูแลคนในครอบครัวไปด้วย”
“ไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียวหรอก แม้ว่าจะทำงานแค่ช่วงเช้า แต่ยามนี้กิจการเต้าหู้กำลังไปได้ดี ทำให้งานล้นมือ ทั้งข้าและอาซ้อกุ้ยฮวายุ่งมาก จะพูดว่ามันเป็นงานสบายๆ ก็คงไม่ได้ แต่วันนี้หนิงเหนียงจื่อบอกแล้วว่าหากถึงเวลาอันควรก็อยากจะจ้างลูกมือมาเพิ่มอีกสักคนเพื่อเข้ามาเป็นแรงช่วยเหลือพวกข้า”
การเข้าครัวจะเหนื่อยสักแค่ไหนเชียว! ภรรยาหวังซานเดิมทีอยากจะต่อว่าสักประโยคในฐานะผู้อาวุโส ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ภรรยาหวังซานเป็นคนฉลาด ยามนี้ดวงตานั่นกำลังทอประกาย
จ้างลูกมือ? หนิงเหนียงจื่อผู้นั้นต้องคนเพิ่มอย่างนั้นหรือ
ช่วงหยุดงานไร่นาในฤดูหนาวเช่นนี้ ทุกคนต่างก็อยู่บ้านกันทั้งนั้น มีเพียงชายกำยำที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ส่วนพวกหญิงสาวก็ทำงานเย็บปักถักร้อยและดูแลบ้านช่อง แต่จะมีลูกสะใภ้คนไหนบ้างที่ทำงานพวกนั้นแล้วได้เงินหลายร้อยอีแปะจากการเย็บปักผ้า
ก่อนหน้านี้อาซ้อกุ้ยฮวาเคยเป็นช่างปักเย็บที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน ภรรยาหวังซานได้ยินมาว่านางปักผ้าทั้งกลางวันและกลางคืน จนตาจะมืดบอด แต่ค่าตอบแทนที่ได้มาในหนึ่งเดือนกลับเป็นเงินเพียงไม่กี่ร้อยอีแปะหรือบางครั้งอาจไม่ถึงเลยเสียด้วยซ้ำ
ภรรยาหวังซานกลอกตาไปมาพลางกระแอมขึ้นมาเล็กน้อย “หลานสะใภ้ เจ้าคิดว่าข้าพอได้ไหม” ครั้นพูดออกไปแต่กลับรู้สึกไม่เหมาะสม นางจึงเอ่ยต่อ “หากเจ้าคิดว่าข้าแก่เกินไป เช่นนั้นข้าจะลองถามชุนเยี่ยนดู นางเป็นคนฉลาดทั้งฝีมือก็เยี่ยมยอด ชุนเยี่ยน ชุนเยี่ยนเอ๋ย…”
“เจ้าค่ะ ข้ามาแล้ว!” อันที่จริงชุนเยี่ยนเสร็จงานในครัวตั้งนานแล้ว แต่ที่หายไปก็เพราะตั้งใจจะฟังความเคลื่อนไหวของคนด้านนอกจากข้างในนี้ เมื่อได้ยินว่าหนิงเหนียงจื่อต้องการจ้างลูกมือเพิ่ม ในใจกลับเป็นกังวลว่าแม่สามีของนางจะไม่ตอบรับ สองเท้าจึงรีบกุลีกุจอออกไป
ทันทีที่แม่สามีร้องเรียก นางก็เดินไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านเรียกข้ามาไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“หลานสะใภ้ดูสิ ลูกสะใภ้ของข้าช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและว่องไวเสียจริง!”
อาซ้อฟางรู้สึกตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก “อาสะใภ้ นี่ๆ…ข้าช่างปากพล่อยเสียจริง…เฮ้อ! อย่าหาว่าข้าใจคับแคบเลยนะ แต่เดิมข้าตั้งใจจะของานนี้ให้กับน้องสะใภ้ของสามีข้าเสียก่อน”
“ใครจะไม่รู้บ้างว่าน้องสะใภ้ผู้เป็นหลานสาวฝั่งแม่ของแม่สามีเจ้านั้นถูกตามใจจนเสียคนตั้งแต่เด็ก แม่สามีของเจ้าก็ยังทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่าอีก เจ้าลืมเรื่องการแยกเรือนในตอนนั้นไปแล้วหรือว่าพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเจ้าสองสามีภรรยาเช่นไร คนอย่างเจ้าหายากแท้ ตอนนี้ได้ดีแล้วยังใจดีนึกถึงพวกเขาได้”
ครั้นเห็นว่าอาซ้อฟางยังคงลังเล ภรรยาหวังซานจึงโหมกระหน่ำน้ำมันลงในกองเพลิงอีกครั้ง “หากเจ้าเรียกน้องสะใภ้คนนั้นของเจ้าไปช่วยงานจริง ห้องครัวของหนิงเหนียงจื่อคงมีเรื่องให้วุ่นวายไม่ว่างเว้น ถ้าไม่คิดถึงตนเอง เจ้าก็คิดถึงหนิงเหนียงจื่อบ้าง”
“คงไม่ขนาดนั้นหรอก…” สีหน้าของอาซ้อฟางเริ่มไม่ส็ดี
“ไม่ขนาดนั้นรึ ข้าว่าเรื่องนี้ก็เอาตามนี้เถิด ถือเสียว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าคราหนึ่ง เจ้าช่วยไปพูดให้ข้าหน่อยนะ”
อาซ้อฟางพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นตัวกลางช่วยพูดให้ก็แล้วกัน จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ฝีมือของภรรยาเทียนซงผู้นี้ก็แล้ว ข้ากลับไปคืนนี้ก็จะไปช่วยพูดให้ พรุ่งนี้เช้าพวกท่านก็มาให้เช้าหน่อย หากหนิงเหนียงจื่อตกลง หากโชคดี นางคงจะให้เริ่มงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปและคิดค่าแรงให้เลย”
“ถ้าเช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วยนะ ชุนเยี่ยนกับข้าจะเตรียมตัวรอฟังข่าวดีในวันพรุ่งนี้”
“ขอบคุณอาซ้อมาก…”
ทันทีที่อาซ้อฟางจากไป หวังซานก็เดินออกมาจากห้องด้านในแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกลางโถงพลางบ่นอู้อี้ “เช่นนั้นจะดีรึ เมื่อวันก่อนพี่หวังเอ้อร์เพิ่งถูกลงโทษให้กักตัวในหอบรรพชนเพื่อสำนึกผิดก็เพราะครอบครัวของพวกเขานะ แต่ในวันนี้เจ้ากลับไปตีสนิทเช่นนี้ มันจะไม่…”
แรงปรารถนาที่ร้อนระอุของภรรยาหวังซานและชุนเยี่ยนเมื่อครู่ต้องมอดดับราวกับถูกหวังซานสาดน้ำเย็นใส่
เรื่องราวส่วนใหญ่ในบ้านพ่อสามีจะเป็นคนตัดสิน ชุนเยี่ยนได้แต่เงียบ หากพูดสิ่งใดก็ต้องเชื่อฟัง หัวใจพลันห่อเหี่ยวลง ร่นถอยไปข้างหลังแม่สามีอย่างผิดหวัง นางเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นสะใภ้ที่เคารพและเชื่อฟังพ่อแม่สามี ดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยโต้แย้งใดๆ
ภรรยาหวังซานโมโหโกรธา “มีสิ่งใดที่เลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือ ตั้งแต่พี่รองของเจ้าขึ้นเป็นผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เขาเคยให้อะไรกับครอบครัวเราบ้าง กลับเป็นเจ้าเสียเองที่คอยระมัดระวังในทุกสิ่งอย่าง คิดถึงและดูแลชื่อเสียงของเขาเสมอมา อย่างการบูรณะหอบรรพชน ไม่ว่าครั้งไหนๆ แม้พวกเราจะไม่ใช่ผู้ที่สมทบมากที่สุดแต่ก็ถือเป็นผู้ที่อุทิศตนในการทำงานหนักที่สุดไม่ใช่หรือ แต่ยามใดที่พวกเรามีปัญหา กลับกลายเป็นลูกชายทั้งสองของเราที่ต้องวิ่งวุ่นจัดการกันเอง ไม่เห็นว่าเขาจะมาดูดำดูดีเจ้าสักนิด”
หวังซานไม่คิดมาก่อนว่าภรรยาของเขาจะอัดอั้นตันใจถึงเพียงนี้ สิ่งที่อยากจะพูดออกไปเมื่อครู่ก็พลันชะงักลงในทันที
นางอดกลั้นมานานแล้วและในวันนี้จะขอลองทุ่มสุดตัวดูสักครั้ง นางหัวเราะอย่างเย็นชา “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันเป็นโอกาสเดียวที่หาได้ยากในตอนนี้ ทั้งชีวิตของข้าพบเจอเรื่องเสียใจมามากเกินพอ เพื่อโชคลาภและอนาคตของลูกหลาน เจ้าไม่มีสิทธิ์มาขัดขวาง”
“นี่เจ้า เจ้า…” สิ่งที่นางพูดจี้ใจเขานัก จนไม่สามารถหาคำใดมาหักล้างได้ พ่อแม่จะไม่คาดหวังให้ลูกของตนเองได้ดีได้อย่างไร เขาเองก็ละอายใจ
“ข้ามันทำไม ไม่ได้ไปเร่ขายตัวเสียหน่อย ก็แค่ไปทำงาน ไม่ได้ให้ไปทำสิ่งใดที่เสื่อมเสีย ทำงานในบ้านใหญ่ตระกูลจ้าวที่หมู่บ้านจ้าวจยา การทุบตีและดุด่าว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังมักจะหักค่าแรงของอาเหลยลูกข้าด้วย…”
ยิ่งพูดมากเท่าใด นางก็ยิ่งคับแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น “บ้านหลังนี้ผุพังมานาน เมื่อฝนตกก็รั่วเทลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องซ่อมแซม ไหนจะเสี่ยวเหลย ที่ใกล้ถึงเวลาแต่งเมียแล้ว อีกไม่นานบ้านของเราก็อาจมีหลานชายสืบสกุลเพิ่ม ที่ข้ากล่าวมาทั้งหมด เจ้าช่วยบอกข้าทีว่าตรงไหนที่เรียกว่าพวกเราไม่ต้องการเงิน”
ครั้นได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ห้องโถงบ้าน หวังเทียนซงและหวังเสี่ยวเหลยมารวมตัวกันที่นี่ ด้านหวังเทียนซงดึงมารดาของเขาออกมาและหวังเสี่ยวเหลยก็เข้าไปกล่อมให้บิดาสงบอารมณ์
“แม่ อย่าได้พูดเช่นนั้นเลย ทั้งหมดเป็นเพราะลูกที่ไร้ประโยชน์ จนทำให้พ่อและแม่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย” ใบหน้าของหวังเทียนซงสลดลงพร้อมกับเอ่ยกล่าวโทษตัวเองด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
การกระทำของเขาทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับร่ำไห้ออกมา ชุนเยี่ยนที่เห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหาด้วยดวงตาแดงก่ำพลางลูบหลังแม่สามีของนางหวังปลอบโยนอย่างเงียบๆ
หวังเทียนซงมองดูภรรยาของเขาอย่างซาบซึ้งใจแล้วหันไปพูดกับบิดาของตนต่อ “พ่อ ที่ลุงรองถูกลงโทษในวันนั้นไม่ได้เป็นเพราะครอบครัวของท่านอาจารย์หนิงแต่อย่างใด ใครที่ตาดีก็เห็นกันทั้งนั้นว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะสองสามีจ้าวเอ้อร์ ลุงรองเพียงต้องการไว้หน้าพ่อของอาซ้อเอ้อร์จ้าวเท่านั้น ลุงรองจึงอยากช่วยเหลือพวกนาง แต่ว่า…”
“ใช่ๆ ให้พี่สะใภ้ไปทำงานเถิด ในบ้านยังมีค่าใช้จ่ายอีกมากโข หากเจ้าหลานชายตัวน้อยมาเกิด หากต้องใช้จ่ายก็จะได้คล่องมือ…”
“เฮ้อ! ข้าก็แก่มากแล้ว พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญ เพียงจำไว้ว่าอย่าได้ทำเสียชื่อวงศ์ตระกูลก็พอ”
เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น ภรรยาหวังซานพาชุนเยี่ยนมาที่หน้าประตูบ้าน
มั่วเชียนเสวี่ยวางตัวสุภาพ ครั้นเห็นว่าชุนเยี่ยนมีคุณสมบัติตามที่อาซ้อฟางได้กล่าวไว้ ปากพูดน้อยแต่สายตาว่องไว นางกำชับกับชุนเยี่ยนไม่กี่ประโยค ตั้งค่าจ้างไว้ที่เดือนละหกร้อยอีแปะ และเริ่มจ้างงานชุนเยี่ยนในวันนั้นทันที
ภรรยาหวังซานดูมีความสุขเปี่ยมล้น ท่าทางกระตือรือร้นรีบร้อนกลับไปรายงานกับคนที่บ้านทันที ด้านมั่วเชียนเสวี่ยและอาซ้อฟางที่เห็นภาพนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา
หลังจัดการแบ่งหน้าที่ให้กับชุนเยี่ยนแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็รีบกินอาหารเช้า จากนั้นจึงย้ายไปช่วยงานข้างในครัวสักครู่พลางกำชับกับอาซ้อฟางเกี่ยวกับเรื่องสำคัญบางอย่าง ก่อนที่นางจะเข้าไปห้องไปจัดการตัวเอง เตรียมตัวมุ่งตรงไปยังท่าเรือเพื่อพูดคุยเรื่องที่ดิน