มั่วเชียนเสวี่ยบิดคางหลุดออกจากการควบคุมของเขา แต่ปากกลับตอบตามความจริง “คิดถึง…”
จะไม่คิดถึงได้อย่างไร บุรุษที่พะเน้าพะนอนางลึกเข้ากระดูกขนาดนี้ บุรุษที่วางนางไว้ในหัวใจ นางจะไม่คิดถึงได้เช่นไร
นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกหลังจากผ่านสัมพันธ์แนบชิดกันมาของพวกเขา ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนหวานแผ่ออกมารอบกายทั้งสองคน…
“ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน…”
เสียงหนิงเซ่าชิงอ่อนโยนอย่างยิ่ง ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยละลายทันที
“…”
ตอนที่หนิงเซ่าชิงมา คนบังคับรถม้าก็เปลี่ยนเป็นเตาหนูนานแล้ว
สืออู่ที่เดิมขี่ม้า เห็นคนบังคับรถม้าเปลี่ยน รถก็เคลื่อนที่เร็วขึ้น อีกทั้งองครักษ์ทั้งหมดล้วนผ่อนฝีเท้าม้าให้ช้าลงมากอย่างเห็นได้ชัด
นางรับปากหมัวมัวไว้ว่าจะดูแลคุณหนูไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนออกเดินทาง นางก็รับปากชูอีว่า จะติดตามคุณไม่ห่างสักก้าวเดียวเช่นกัน
ดังนั้น จึงกระโดดลงไปนั่งข้างเตาหนูที่บังคับรถม้า
สีหน้าของเตาหนูยังคงเหมือนกับท่อนไม้ แต่ในใจเต้นตึกตัก
ด้านในมีเสียงต่างๆ ดังลอยมา
นอกห้องโดยสารรถ สืออู่จะซื่อบื้อเพียงใด ก็รู้ว่ากำลังทำอันใดกันอยู่ นางรับไม่ไหวจริงๆ ถึงได้ตัวสั่นระริก
เตาหนูก็เป็นคนซื่อบื้อคนหนึ่งเช่นกัน ไม่รู้ว่าสืออู่รับวาจาพลอดรักหวานซึ้งเช่นนี้ไม่ไหวถึงได้ตัวสั่น นึกว่านางหนาว เพราะถูกลมบนรถม้าพัดใส่
คนด้านในกำลังโอนอ่อนเอาอกเอาใจกัน เขาก็ไม่ต้องบังคับรถม้าให้วิ่งเร็วมาก ดังนั้นจึงลดความเร็วลง
“สวมสิ…จะได้อบอุ่น”
อบอุ่นบ้านเจ้าสิ!
สืออู่เงยหน้า ตวัดสายตามองเตาหนูแวบหนึ่ง
สำหรับบุรุษที่เหมือนกับท่อนไม้ ก้อนหินเช่นนี้ นางหมดวาจาจะกล่าวจริงๆ!
ฤดูร้อนเช่นนี้ สิ่งที่กลัวคือสวมเยอะไปแล้วจะร้อนเพียงอย่างเดียว ใครเขากลัวหนาวกัน
ยื่นมือไปกระชากเสื้อคลุมของเตาหนูออกแล้วโยนใส่หน้าเขา
อาภรณ์ตัวนั้นหล่นจากใบหน้าลงไปที่หน้าขา หัวใจเตาหนูได้รับบาดเจ็บ เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อสตรีนางหนึ่ง
แต่ ท่อนไม้ก็คือท่อนไม้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ อดกลั้นเอาไว้จนตายก็เอ่ยวาจาพะเน้าพะนอเด็กสาวดีๆ ออกมาไม่ได้สักครึ่งประโยค
เพียงแต่ใบหน้ามีรอยร้าวเล็กน้อย
สืออู่ย่อมแยกไม่ออกว่าสีหน้าเขามีรอยร้าวหรือไม่ เพียงแต่ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ไปประโยคหนึ่งว่า “ข้าถูกทำให้ขนลุก ไม่ได้หนาว เจ้าต่างหากที่หนาว!”
เอ่ยจบ ก็ไม่มองเตาหนู
เตาหนูก้มใบหน้าที่มีรอยร้าวลง และเงียบไป…
เขาเพียงแค่ใส่ใจสืออู่เท่านั้นเอง ส่วนเสียงภายในห้องโดยสาร…เขาได้ยินจนชินแล้วเข้าใจไหม
ในสายตาของเขานี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเข้าใจไหม…
พวกเขามีใครถูกบีบบังคับให้ได้ยินเสียงอือๆ อาๆ ตลอดระยะเวลาของกิจกรรมเหล่านั้นด้วยความลำบากใจบ้าง?
เขาเป็นคนที่ต้องมาได้ยิน! คนที่ถูกบีบบังคับและโง่เง่าคนนั้นก็คือเขา!
เตาหนูกำลังคิดว่า ทำไมตอนแรกเขาไม่แอบหลบไปเงียบๆ? ตอนนั้น ก็ไม่มีใครเข้าไปทำลาย…
แต่ ความคิดก็คือความคิด
เขายังคงไม่กล้า
เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษและการฝึกฝนอันวิปริตต่างๆ นาๆ พวกนั้นของหอลับ เขาก็ยืนนิ่งเป็นเสาเข็มอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย…
ไม่ว่าคนภายนอกจะคิดเช่นไร แต่ความรักของสองคนภายในตัวรถกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในตอนนี้
ทั้งสองคนไม่ได้ทำเรื่องล้ำเส้นอะไร หนิงเซ่าชิงเห็นอกเห็นใจมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเชียนเสวี่ยร่างกายไม่อำนวยจริงๆ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงกอดกันเงียบๆ
แน่นอนว่า บางครั้งก็มีการจุมพิต ส่งเสียงที่ไม่กลมกลืนกับสถานที่อยู่บ้างออกมา
หลังจากจุมพิตเร่าร้อนผ่านไป ภายในรถม้าก็สงบเงียบโดยสิ้นเชิง
ยากที่ทั้งสองคนจะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาสงบเงียบอันอบอุ่นเช่นนี้
“เซ่าชิง…ท่านรู้ไหมว่าเช้ามืดวันนี้ข้าฝันอะไร”
มั่วเชียนเสวี่ยพลันนึกถึงความฝันที่นางฝันขึ้นมา มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างอดไม่อยู่
หนิงเซ่าชิงตระคองกอดนางไว้ในอ้อมแขน มือลูบเรือนผมยาวของมั่วเชียนเสวี่ย ได้ยินวาจานี้แล้วก็อยากรู้อยากเห็นมาก
“ฝันเห็นอะไรหรือ” มุมปากโค้งขึ้น นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยแววยั่วเย้า “คงไม่ใช่ว่าเสวี่ยเสวี่ยฝันถึงข้าหรอกนะ”
บุรุษผู้นี้เป็นเด็กแสบจากตระกูลใดกัน รีบมาลากเขาไปเดี๋ยวนี้!
มั่วเชียนเสวี่ยกลอกตามองบนใส่เขาอีกครั้ง
แต่ที่หนิงเซ่าชิงกล่าวมาก็ไม่ผิดจริงๆ ฝันถึงเขาจริงๆ แต่นอกจากฝันถึงเขาแล้ว ก็ยังฝันถึงคนอื่นด้วย…
นึกถึงความฝันนั้นแล้ว ใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าฝันเห็นพวกเราอยู่ที่หมู่บ้านหวังจยา ใช้ชีวิตสุขสบาย และยังมีลูกอีกสามคน เด็กน้อยจ้ำม่ำน่ารักมากๆ! ท่านตามใจพวกเขาขนาดนั้น ทำให้ข้าริษยาแล้ว…”
ว่ากันว่ากลางวันคิดถึงสิ่งใด กลางคืนก็จะฝันถึงสิ่งนั้น แท้จริงแล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่ในใจมั่วเชียนเสวี่ยปรารถนาสินะ
ได้ยินเช่นนั้น มือที่ลูบเรือนผมของหนิงเซ่าชิงก็ชะงัก พลันรู้สึกผิดต่อมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นมา
ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะเขา มั่วเชียนเสวี่ย แม้ว่าจะเป็นบุตรีภรรยาเอกของจวนกั๋วกงจริงๆ ด้วยความคิดที่ไล่ตามความมั่นคงของนางเมื่อก่อน ก็เกรงว่าจะไม่มีทางเหยียบย่างบนเส้นทางมุ่งสู่เมืองหลวงเด็ดขาด และไม่มีทางใช้ชีวิตท่ามกลางภัยอันตรายแบบนี้เช่นกัน
แต่ทว่า เสวี่ยเสวี่ยของเขาเลือกที่จะมาอยู่ข้างกายเขา ทั้งที่ไม่ไยดีต่ออันตรายที่ยังมาไม่ถึง และอดทนสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟันเช่นนี้
หนิงเซ่าชิงไม่อยากให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน จึงยิ้มบางๆ เชยคางมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ “ที่แท้ในใจเสวี่ยเสวี่ยช่วยสามีวางแผนเรียบร้อยแล้วว่าจะให้กำเนิดบุตรสามคน…”
มั่วเชียนเสวี่ยนิ่งอึ้ง นี่นางถูกบุรุษชั่วร้ายหยอกล้อ จึงโผเข้าไปทำท่าจะกัดทันที “ท่านชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
ประกายในแววตาหนิงเซ่าชิงไหววูบ แต่กลับเลือกจะหลับตาลง น้ำเสียงราวกับเชลโลดังขึ้นแผ่วเบา “สามีชั่วร้ายแบบนี้…เช่นนั้น…เสวี่ยเสวี่ยชอบหรือไม่”
“…ชอบ…”
…….
ณ จวนว่าการแม่ทัพเก้าประตู
บนลานแสดงยุทธ์ ซูชีท้าประลองใต้เท้าน่าอู่ฉังอย่างกล้าหาญ
แต่ก่อนน่าอู่ฉังเป็นอดีตผู้บัญชาการองครักษ์วังหลวงประจำตัวฮ่องเต้ ฝีมือเขาย่อมไม่ด้อย
ภายใต้ท้องฟ้าช่วงกลางวัน ต่อหน้าเหล่าทหารจำนวนมาก แม้ว่าทั้งสองคนจะประมือกัน แต่กลับทำได้เพียงแค่พอเป็นพิธี
เมื่อเสร็จสิ้น น่าอู่ฉังยังคงยืนปรับลมหายใจอยู่บนลานแสดงยุทธ์ ซูชีกลับสะบัดพัดเดินจากไปด้วยท่าทางที่ชวนให้คนนับถือ
เบื้องหน้าไม่แบ่งแพ้ชนะ แต่ความจริงในสายตาทหารที่อยู่ลานแสดงยุทธ์ล้วนเข้าใจดีว่า รองแม่ทัพซูชีทำให้ใต้เท้าน่าตกตะลึง
แต่ก่อนซูชีไม่เห็นอำนาจหน้าที่ของรองแม่ทัพนี้อยู่ในสายตา รองแม่ทัพนี้เป็นเพียงแค่แผนรับมือที่เหมาะสมชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับชิงชังที่ตนเองไม่ได้กุมอำนาจไว้ในมือตนเองอย่างยิ่ง
การประลองฝีมือซึ่งหน้าน่าอู่ฉัง ก็เพราะในใจเขาโมโห
นึกถึงเพลิงไหม้ในคืนวันนั้น คนมากมายสามารถซ่อนตัวในเมืองหลวง เร้นกายเข้าไปในจวนกั๋วกงได้ เหตุการณ์รุนแรงขนาดนั้น เขากลับไม่รู้ ต้องเป็นเพราะน่าอู่ฉังเล่นตุกติกแน่นอน
ด้วยประสบการณ์ในกองทัพหลายปีของเขา ด้วยความสามารถของตระกูลซู ควบคุมน่าอู่ฉังให้เป็นเพียงหุ่นเชิด ควบคุมอำนาจของที่ว่าการแม่ทัพเด้าประตู ก็มีเพียงแค่ปัญหาเรื่องเวลา