มั่วเชียนเสวี่ยเป็นเจ้านาย ในเมื่อเจ้านายบอกว่าไม่ขุดห้องใต้ดิน พวกเขาเหล่านี้ก็ขอร้องอยู่นานสองนาน ล้วนโน้มน้าวใจมั่วเชียนเสวี่ยไม่สำเร็จ
กระทั่งชูอีกับอวี่เสวียน สองคนนี้ก็มาช่วยโน้มน้าวด้วย แต่กลับไม่สำเร็จเช่นกัน
สุดท้าย พวกเขาก็กลบดินปิดตายหลุมที่เพิ่งจะขุดขึ้นมาบางส่วน
ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยที่เห็นพวกเขากลบดินปิดตายห้องใต้ดินเรียบร้อยแล้ว ก็หมุนกายจากไปด้วยรอยยิ้มจางๆ
ชูอีสบตากับอวี่เสวียนแวบหนึ่ง และล้วนไม่เข้าใจว่าการกลบดินปิดตายห้องใต้ดินนี้แล้ว คุณหนูใหญ่ของพวกนางมีอะไรให้ดีใจกัน
ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยที่ทุกคนไม่เข้าใจกลับไปถึงห้องแล้ว ก็ให้สืออู่เตรียมหมึกกับพู่กัน จากนั้นก็เริ่มลงมือขีดๆ เขียนๆ บนโต๊ะ
ใช่แล้ว มิผิด เมื่อครู่ตอนที่อยู่ลานด้านหลังบ้านไร่ สิ่งที่แวบผ่านห้วงความคิดนางไปก็คือ โรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาว!
แม้ว่านางจะทะลุมาต่างโลกเป็นเวลาใกล้จะปีหนึ่งแล้ว แต่ในใจกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องด้านนี้เลย
ถ้าหากวันนี้ไม่ได้บังเอิญเห็นพวกหวังเทียนซงขุดห้องใต้ดินเข้า บางทีตลอดชีวิตนี้นางคงนึกขึ้นมาไม่ได้!
ในเมื่อยุคปัจจุบันทำโรงเรือนเพาะปลูกพืชออกมาได้ แล้วเหตุใดนางถึงไม่สร้างขึ้นมาในยุคโบราณบ้างล่ะ
อีกอย่างนางก็เชื่อ ถึงขั้นมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ถ้าหากนางสามารถทำโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวออกมาได้ เช่นนั้นจะต้องมีภาพเหตุการณ์เงินทองไหลมาเทมาแน่ๆ!
คนที่มีฐานะ มีเงินสดสำรอง คนไหนไม่อยากกินผักเขียวขจีสักจาน กินแตงกวากรอบๆ สักลูกในฤดูหนาว…
“อาซาน!”
คิดจะทำก็ทำ นี่คือหลักความเชื่อในชีวิตของมั่วเชียนเสวี่ย
ดังนั้นเมื่อคิดตกในเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ส่งเสียงดังเรียกอาซานที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด “ไปเชิญนายท่านของพวกเจ้ามา”
กุ่ยซาได้รับบาดเจ็บยังไม่กลับมา อาซานกับอาอู่จึงกลายเป็นเทพรักษาประตูของนาง
คิดจะสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืช พูดน่ะง่าย แต่ไม่มีวัสดุกลับไม่ง่าย
ตระกูลหนิงเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ ทั้งยังมีช่องทางทำมาค้าขายกว้างขวาง ถ้าหากได้สนทนากับหนิงเซ่าชิงแล้ว ไม่แน่อาจจะได้ผลลัพธ์ที่คิดไม่ถึงก็ได้
อาซานย่อมมิกล้าไม่เชื่อฟัง จึงรับคำสั่งแล้วจากไป
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หนิงเซ่าชิงก็มาถึง
“เชียนเสวี่ย หาข้ามีธุระอันใดหรือ” หนิงเซ่าชิงรู้ว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่ติดคนรัก ตอนนี้ร้อนรนเรียกเขามา จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน
“หนิงเซ่าชิง ท่านบอกข้าหน่อยว่า ยุคนี้มีถุงพลาสติกหรือไม่!”
เมื่อเห็นหนิงเซ่าชิงเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยก็เหมือนกับได้พบอพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์ ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านบวก!
“ถุงพลาสติก? มันคืออะไรหรือ”
หนิงเซ่าชิงประหลาดใจในคำศัพท์ที่มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถามออกมากะทันหันมาก หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว มั่นใจว่าไม่เคยได้ยิน จึงมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความประหลาดใจ
ไม่รู้จริงๆ ว่าในสมองเสวี่ยเสวี่ยของเขา ทำไมถึงมักจะมีแต่สิ่งแปลกๆ พวกนี้
“ไม่มี?”
เห็นสีหน้าของหนิงเซ่าชิงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้ว่าช่วงเวลานี้ ถุงพลาสติกยังไม่ถือกำเนิด
วัสดุหลักที่ใช้ทำโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวก็คือถุงพลาสติก หากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ เช่นนั้นจะเอ่ยถึงโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวไปทำไมกัน
มั่วเชียนเสวี่ยห่อเหี่ยวในชั่วพริบตา
เห็นแววตาน่าสงสารราวกับลูกหมาตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้งของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ใจอ่อนจนเลอะเลือนไปนานแล้ว!
ก้าวขึ้นไปสองก้าว และโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ยจากทางด้านหลัง ปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสวี่ยเสวี่ยจะต้องการของสิ่งนี้ไปทำอันใด แม้จะบอกว่าข้าจะมีประสบการณ์ไม่น้อยจากการไปมาจนทั่วสารทิศ แต่สิ่งที่เจ้าเอ่ยถึงนั้นกลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
มั่วเชียนเสวี่ยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนหนิงเซ่าชิงอย่างหงอยเหงาเศร้าซึม
ได้ยินหนิงเซ่าชิงเอ่ยเช่นนี้ ความรู้สึกหงอยเหงาเศร้าซึมก็ถูกความหวานล้ำทำให้ลดลงไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงเล่าเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวที่ตนเองคิดจะทำให้หนิงเซ่าชิงฟัง
สำหรับเรื่องนี้ หนิงเซ่าชิงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างไร้วาจา
“เสวี่ยเสวี่ย เรื่องหาเงินพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่บุรุษเช่นพวกข้าสมควรทำ เจ้าแค่นั่งสบายๆ อยู่ในจวนเฉยๆ ก็พอแล้ว”
หนิงเซ่าชิงไม่ใช่คนที่ยึดถือบุรุษเป็นใหญ่ ไม่เช่นนั้นคราแรกตอนที่อยู่หมู่บ้านหวังจยาคงไม่มองดูมั่วเชียนเสวี่ยสร้างโรงงานเครื่องปรุงรสอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ไม่สนใจ แต่กลับช่วยออกความคิดเห็น และคิดหาวิธีด้วย
เห็นสภาพที่นางยุ่งจนมึนงงไม่รู้ทิศทางทุกวัน เขาก็เจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้ว
นางอยากกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เขาก็ไม่คัดค้าน แต่อย่าถึงขั้นกดดันขนาดนี้
หนิงเซ่าชิงเพียงแค่คิดว่า ตอนนี้เขามีความสามารถมากพอที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่างกับมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว อีกอย่างมั่วเชียนเสวี่ยก็ลำบากมากขนาดนั้น เขาไม่อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยต้องทำงานหนักเพื่อสิ่งนี้
แต่เห็นได้ชัดว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่เคยคิดเช่นนี้ หรือสามารถกล่าวได้ว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน
แต่ก่อนนางเคยบอกว่า ตนเองไม่มีทางเป็นต้นอะไรสักอย่างที่พันรอบหนิงเซ่าชิงที่เป็นต้นไม้ใหญ่ สาเหตุที่สตรีมีเสน่ห์ ก็เป็นเพราะนางมีกิจการเป็นของตนเอง
“ไม่เอา ไม่ว่าใครก็ไม่รังเกียจที่หาได้น้อย อีกอย่างข้าก็ว่างไม่มีอะไรทำ และไม่อยากพึ่งพาท่านเร็วขนาดนี้ เซ่าชิง ท่านไม่คิดว่าการที่พวกเรายืนเคียงไหล่มองใต้หล้าด้วยกันนั้นงดงามที่สุดหรือ”
ยืนเคียงไหล่มองใต้หล้า ทั้งงดงาม และทำให้คนปรารถนาจะไปให้ถึงชีวิตนั้น
หนิงเซ่าชิงรู้ว่าตนเองโน้มน้าวนางไม่ได้ จึงตัดสินไม่เอ่ยอันใดอีก
“แต่ตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถุงพลาสติก เช่นนั้นโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวก็สร้างขึ้นมาไม่ได้แล้ว ไม่ใช่หรือ”
โน้มน้าวไปโน้มน้าวมา ในใจหนิงเซ่าชิงก็ไม่อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยสร้างของพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ
สำหรับเหตุผลก็คือ ไม่หวังให้นางเหนื่อยคือเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็คือตัวเขาเองล้วนไม่อยากจะยอมรับ
นั่นก็คือสตรีที่ตั้งใจทำงานนั้นสวยมากที่สุด มีเสน่ห์มากที่สุด!
มีสัมพันธ์แนบชิดกันแล้ว สตรีจะไม่เหมือนเดิม บุรุษก็ไม่เหมือนเดิมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเพิ่งจะมีสัมพันธ์แนบชิดกันไป เป็นช่วงเวลาที่ความรู้สึกกำลังลึกซึ้ง
หนิงเซ่าชิงสนับสนุนความคิดที่มั่วเชียนเสวี่ยคิดจะเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้เขาแทบอยากจะให้มั่วเชียนเสวี่ยคิดถึงตนเองตลอดเวลา
เป็นเพราะร้านเต้าหู้ เสวี่ยเสวี่ยของเขาจึงเชิญซูชีที่ตามจีบนางคนนี้มา
เพราะต้องการสร้างโรงงานเครื่องปรุงรส ตามหาสถานที่สร้างโรงงาน ถึงได้เชิญถงจื่อจิ้ง น้องชายปลอมๆ ที่แกล้งโง่คนนั้นมา
สำหรับรากไม้แกะสลัก ยังดี ซินอี้หมิงคนนั้นมีเจี่ยนชิงโยวแล้ว
เป็นครั้งแรกที่หนิงเซ่าชิงคิดถึงเจี่ยนชิงโยวโดยไร้ความรังเกียจ
เขาย่อมไม่หวังให้โรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวปรากฏขึ้น ให้สายตาตกตะลึงพรึงเพริดจับจ้องมาทางมั่วเชียนเสวี่ยเพิ่มมากขึ้น และมีซูลิ่ว ถงชีอะไรนี่อีกคนปรากฏตัวขึ้น
สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ความสามารถไม่เพียงพอจริงๆ
การสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาว กระทั่งวัสดุหลักก็ไม่มี จะมาสนทนาเรื่องก่อสร้างอะไร เรื่องจึงถูกยับยั้งเอาไว้เสียแล้ว
ไม่มีวัสดุเดิมที่ดีที่สุด มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ยอมแพ้
นางคิดว่า สติปัญญาของคนโบราณนั้นไร้ขอบเขต แม้ว่าในช่วงเวลานี้ ถุงพลาสติกยังไม่ปรากฏขึ้น เช่นนั้นของชนิดอื่นก็ต้องสามารถทดแทนกันได้แน่นอน!