สมองของนางแล่นอย่างรวดเร็ว คิดถึงแต่เรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืช และทิ้งหนิงเซ่าชิงเอาไว้อีกด้าน โดยไม่สนใจ
สำหรับเรื่องนี้ หนิงเซ่าชิงเคียดแค้นอย่างลึกซึ้ง!
เขาทนไม่ไหวแล้ว!
“เสวี่ยเสวี่ย สามีมาหาเจ้า เจ้าจะปล่อยสามีไว้เช่นนี้โดยไม่สนใจอย่างนี้หรือ”
หนิงเซ่าชิงยื่นมือออกไปโอบเอวบางของมั่วเชียนเสวี่ยแน่น น้ำเสียงอ่อนโยนเจือโกรธเคืองดังขึ้นข้างหูมั่วเชียนเสวี่ย
ใบหูพลันถูกลมหายใจร้อนผ่าวที่เกิดจากการที่หนิงเซ่าชิงเอ่ยวาจาพัด มั่วเชียนเสวี่ยร่างกายไร้เรี่ยวแรงทันที…
“เซ่าชิง…อย่าทำเช่นนี้ กลางวันอยู่นะ…”
เป็นเวลากลางวัน ประตูก็เปิดอยู่ด้วย!
“แบบนี้นี่เอง…” หนิงเซ่าชิงทำท่าทางเหมือนคิดสิ่งใดอยู่ จากนั้นก็ยื่นมือไปทางด้านหลังแล้วสะบัดครั้งหนึ่ง ประตูก็ปิดลงทันที
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยตะลึงอ้าปากค้าง
วิชาตัวเบา กำลังภายในอะไรพวกนี้ เป็นพลังพิเศษที่นักย่องเบาใช้ฆ่าคน ปล้นชิงข้าวของ ลอบเข้าห้องนอนสตรีในยามวิกาล เพื่อเด็ดบุปผา ไม่อาจขาดไปได้จริงๆ!
นี่มันแข็งแกร่งเหมือนกับใช้สูตรโกงอย่างไรอย่างนั้น
“ดูสิ เช่นนี้ก็ไม่มีใครมองเห็นแล้ว…”
เอ่ยจบ ก็กดริมฝีปากลงมาทางมั่วเชียนเสวี่ย
“แต่ว่านี่ยังเป็นตอนกลางวัน…อุ๊บ…”
“หลับตาลง ฟ้าก็มืดแล้ว”
นอกประตู คนที่ยืนเฝ้ายังคงเป็นเตาหนู
อาซานกับอาอู่เห็นว่ามีเตาหนู องครักษ์ติดตามข้างกายเฝ้าอยู่ ก็ถอยออกไปไกลนานแล้ว
ส่วนเตาหนูกลับมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องกระทำ จึงไม่สามารถถอยออกไปได้ แม้ว่าจะอยากไปจากที่ตรงนี้มากก็ตาม!
บางครั้ง เตาหนูก็แทบอยากจะทิ่มหูตนเองให้หนวกจริงๆ แบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงจากเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้
แต่เขาก็คิดต่อว่า หากทิ่มหูหนวกไป หลังจากนี้ก็จะไม่ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจที่น่าฟังของสืออู่อีกแล้วหรือ ไม่คุ้มค่าเลย ไม่คุ้มค่า!
ดังนั้นเขาที่ถูกบีบคั้นด้วยความจำเป็นจึงยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ไร้ความรู้สึก ถูกบีบให้แอบฟังผู้อื่น ‘สนทนา’ กัน…
……
ระยะทางยาวไกล ความคิดถึงของคนหนึ่ง ความห่วงหาของคนหนึ่ง กลับมีมากกว่าแม่น้ำสายหนึ่งมากนัก
ถงจื่อจิ้งยืนอยู่หัวเรือ เหม่อมองแมกไม้และเงาภูเขาสองข้างทาง
จี้ซวี่เหยา ผู้เป็นอาจารย์ของเขายืนอยู่ด้านหลังเขา
จี้ซวี่เหยายืนเหม่อลอยอยู่ที่หัวเรือกับเขา
เพียงแต่เรื่องที่เขาคิดกลับแตกต่างกับเรื่องที่ถงจื่อจิ้งคิดราวฟ้ากับเหว
เขาไม่ได้เข้าเมืองหลวงนานหลายปีแล้ว หากครั้งนี้เข้าเมืองไปแล้วสามารถสมปรารถนาดั่งใจหมายได้ ก็ไม่ทำให้เขาที่ความทุ่มเททั้งแรงกายและใจ สิ้นเปลืองความคิดสั่งสอนถงจื่อจิ้งมาครึ่งปีกว่านี้เสียเปล่า
ความจริงแล้ว จากอำเภอเทียนเซียงไปถึงเมืองหลวงสามารถเดินทางทางบกได้
แต่ระหว่างการเดินทางทางบกกับทางน้ำนั้นมีความแตกต่างในเรื่องเวลาที่จะถึงเมืองหลวงอยู่หลายวัน ส่วนถงจื่อจิ้งก็เร่งรีบอยากจะพบกับมั่วเชียนเสวี่ยเร็วหน่อย ดังนั้นสุดท้ายถึงได้เลือกเส้นทางน้ำ
นิ่งไปครู่หนึ่งจี้ซวี่เหยาก็ทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ลง
“จื่อจิ้ง บ่ายวันนี้ก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว จื่อจิ้งก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลอีก”
จี้ซวี่เหยาเห็นถงจื่อจิ้งยืนมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงที่ห่างไกลเช่นนี้ทุกวันแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนทนได้อีก ดังนั้นถึงได้เอ่ยเตือนออกไป
แต่ทว่า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกรงใจ ไม่เหมือนกับการเอ่ยกับลูกศิษย์ของตนเอง แต่เหมือนกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้เกียรติผู้บังคับบัญชา
ถงจื่อจิ้งจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าจะถึงเมืองหลวงในยามบ่าย
แต่เขาร้อนรน แทบอยากจะให้ถึงเมืองหลวงในตอนนี้เลยถึงจะดี!
ตอนที่เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับมั่วเชียนเสวี่ย ก็แทบอยากจะให้ตนเองมีปีกงอกมาคู่หนึ่ง เพื่อที่จะบินไปปกป้องอยู่ข้างกายนางได้เร็วมากพอ
แม้ว่าจะไม่สามารถปกป้องนางได้ แต่ในตอนที่นางได้รับความลำบาก ได้อยู่รับความลำบากเป็นเพื่อนนาง เขาก็ยินดีเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ ใกล้เมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจยิ่งขึ้น
ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่สาวเชียนเสวี่ยจะเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับความลำบากหรือไม่ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่…
“ตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าตระกูลถง แล้ว! ตอนนี้ข้ามีความสามารถปกป้องนางได้แล้ว!” ถงจื่อจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้จี้ซวี่เหยาที่อยู่ด้านหลังเขาตะลึง!
ถงจื่อจิ้งไม่เคยปิดบังความรู้สึกมีต่อมั่วเชียนเสวี่กับจี้ซวี่เหยา
ตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ถงจื่อจิ้งทำไปเพื่ออันใด! แต่เขาเคารพถงจื่อจิ้ง และเคารพความรู้สึกนี้เช่นกัน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากถงจื่อจิ้ง
ถงจื่อจิ้งจัดการผู้เฒ่าตระกูลถงอย่างรวดเร็ว เร่งรีบรับช่วงต่อตระกูลถงเพราะมั่วเชียนเสวี่ย จี้ซวี่เหยารู้ดีอยู่แก่ใจ และสามารถกล่าวได้ว่ามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
แต่ทว่า ทุกครั้งที่ถงจื่อจิ้งเอ่ยออกมาในเสี้ยวพริบตานั้น เขาก็ถูกทำให้ตะลึงอย่างอดไม่ได้!
สตรีนางนั้นช่างโชคดีที่สามารถได้รับการปกป้องจากผู้คนมากมายในเวลาเดียวกัน
ถงจื่อจิ้งสู้เพราะนาง และสู้เพื่อนาง
จวนกั๋วกงถูกเพลิงไหม้ ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ในเมืองหลวง แต่กลับเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตนเอง
แต่ เมื่อข่าวนี้ลือมาถึงชายแดนตะวันตกกลับเป็นเรื่องที่หนักหนาเสียยิ่งกว่าฟ้าถล่ม
“อะไรนะ บุตรีกั๋วกงนางนั้นเป็นอันใดหรือไม่”
เมื่อได้รับสารที่ตอบกลับมาจากอวี่เสวียน หัวหน้าชนเผ่าอวี่แห่งชนเผ่ารั่วสุ่ยก็สะดุ้งตกใจจนชาในมือหกเต็มพื้น! พลางมองไปทางสายลับที่มารายงานด้วยความตกตะลึง
“คุณหนูใหญ่แห่งจวนกั๋วกงไม่เป็นอันใดขอรับ แต่หมัวมัวข้างกายที่ปรนนิบัติทุกอย่างได้สิ้นชีพ และสถานที่ที่คุณหนูใหญ่มั่วพำนักภายในจวนกั๋วกงนั้นยุ่งวุ่นวายไม่เป็นระเบียบขอรับ”
สายลับที่ได้รับสารจากคุณหนูใหญ่อวี่เสวียนแห่งชนเผ่ารั่วสุ่ย ก็ทำได้เพียงแค่รายงานตามความจริง เอ่ยจบแล้วก็คุกเข่าก้มหน้าเงียบๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลอวี่ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่มั่วไม่เป็นอะไรก็โล่งใจ แต่เมื่อได้ยินว่าสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายกั๋วกงฮูหยินมาตลอดชีวิตผู้นั้นตายกลับเสียใจอยู่ครู่หนึ่ง
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็มักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด
เหตุใดสถานที่แห่งอื่นในจวนกั๋วกงถึงได้ไม่เกิดเพลิงไหม้ กลับเป็นสถานที่พำนักของคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วผู้นั้นเกิดเพลิงไหม้กัน
นั่นเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านกั๋วกง ชนเผ่ารั่วสุ่ยของพวกเขาเคยได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากท่านกั๋วกง ตอนนี้เห็นบุตรหลานของเขากำลังลำบากในเมืองหลวง จะอดกลั้นได้เช่นไร
ครุ่นคิดลังเล งึมงำกับตนเองเบาๆ ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากสั่งการ “แจ้งผู้อาวุโสชนเผ่าเฮยมู่กับแม่ทัพเกาและแม่ทัพเหยียนของกองทัพตระกูลมั่วให้มาเข้าพบ แจ้งไปว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับจวนกั๋วกง!”
“ขอรับ!”
ไม่ถึงสองชั่วยาม ผู้อาวุโสชนเผ่าเฮยมู่กับแม่ทัพทั้งสองท่านก็มาถึงห้องหนังสือของหัวหน้าชนเผ่ารั่วสุ่ย
หลังจากได้ยินหัวหน้าชนเผ่ารั่วสุ่ยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ทุกคนก็เดือดดาลขึ้นมาทันที!
“นี่จะต้องเป็นแผนร้ายของฮ่องเต้เฒ่านั่นแน่ๆ! ไม่ยอมให้คนรุ่นหลังของผู้มีพระคุณได้มีชีวิตอยู่ ถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้!”
เดิมแม่ทัพเกาเหอซวี่ก็มีฐานะเป็นโจรมาก่อน จึงเป็นบุรุษที่มุทะลุผู้หนึ่ง
เขามีใบหน้าป่าเถื่อน หลังจากได้ยินหัวหน้าชนเผ่ารั่วสุ่ยเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ก็ถลึงตา เอ่ยออกมาด้วยความโมโห
ความดังของเสียงนั้นมากพอที่จะสะเทือนจนหูของทุกคนในที่นั้นเจ็บ
ความจริงแล้ว หัวหน้าชนเผ่ารั่วสุ่ยก็คิดเช่นเดียวกับแม่ทัพเกา ล้วนนึกว่าเป็นแผนร้ายที่สำแดงออกมาของฮ่องเต้เฒ่า
แต่หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่กลับสุขุมยิ่งกว่า
ฮูเหยียนเจียงที่อยู่อีกด้านนั้นเยือกเย็นกว่าเขาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด พลางเอ่ยเตือนว่า “พี่เกา อย่าเพิ่งใจร้อน ฟังความเห็นของหัวหน้าชนเผ่าทั้งสองก่อน…”