อีกทั้งตัวกระจกก็มีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยร้ายแรงมาก วัตถุเหล่านั้นบอบบางเกินไป คนที่มีเจตนาบางอย่าง ขอเพียงแค่ทำลายเล็กน้อย โรงเรือนเพาะปลูกพืชทั้งหลังก็จะชำรุดและต้องทิ้งไปทันที!
ตอนนี้พวกเขามีศัตรูเยอะขนาดนี้ หนิงเซ่าชิงจะยอมให้มั่วเชียนเสวี่ยมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยแม้เพียงเล็กน้อยได้อย่างไร
ยังมี ค่าสร้างกระจกนั้นสูงลิบลิ่ว โดยเฉพาะลักษณะที่มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ย ต้องใช้กระจกบานใหญ่ ก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก
ก็ได้ เขายอมรับว่าตนเองใจแคบ ทนเห็นมั่วเชียนเสวี่ยอยู่กับบุรุษอื่นไม่ได้
แต่เขาผิดหรือ
เขาคิดว่าตนเองไม่ผิด!
จ้องมองแผ่นหลังมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความผิดหวังและเสียใจเล็กน้อย
เขากำหมัดและกัดฟัน
สุดท้าย หนิงเซ่าชิงกลับเม้มริมฝีปากแน่น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด เชิดหน้าขึ้นแล้วหมุนตัวจากไป!
มั่วเชียนเสวี่ยก็ถูกน้ำเสียงแข็งกระด้าง ความไร้เหตุผลของหนิงเซ่าชิงทำให้โมโห จึงเถียงกลับไปด้วยวาจาที่ไม่ได้มาจากใจจริงพวกนั้นออกไป
ความจริงเมื่อเอ่ยจบ นางก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง!
ต่อหน้าคนนอก ทำไมนางไม่ไว้หน้าเซ่าชิงเลยนะ
แต่ว่านางกลับทิ้งศักดิ์ศรีไม่ลง ดังนั้นจึงหันหลังให้ กระทั่งขยับก็ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
ทำได้แค่คอยให้หนิงเซ่าชิงเข้ามาง้อนาง มอบทางลงให้นางเท่านั้นเอง…
ครู่หนึ่ง ด้านหลังก็เงียบงัน มีเพียงแค่เสียงเบาๆ ของถงจื่อจิ้งดังขึ้น “พี่สาว…พี่เขยไปแล้วขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับมาทันที แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของหนิงเซ่าชิงแล้ว!
นัยน์ตาพลันฉาบไปด้วยหยาดน้ำตา!
นางขยี้เท้าด้วยความโมโหสุดขีด “หนิงเซ่าชิง…คนสารเลว!”
หลังจากด่าเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ตรงดิ่งกลับไปที่ห้อง โดยไม่สนใจแม้กระทั่งถงจื่อจิ้ง
ห้องโถงที่เพิ่งจะครึกครื้นเมื่อครู่นี้ เหลือเพียงถงจื่อจิ้งคนเดียวในชั่วพริบตา
มั่วเชียนเสวี่ยวิ่งกลับห้องไป ถงจื่อจิ้งก็มีสีหน้าไม่พอใจ!
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปยังทิศทางที่หนิงเซ่าชิงจากไป
……
ส่วนวังหลวงในเวลานี้ ฮ่องเต้ได้รับสารลับ แจ้งว่าสองชนเผ่าชายแดนตะวันตกส่งคนเร่งเดินทางมายังเมืองหลวง ในใจก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที!
นับตั้งแต่มั่วกั๋งกงสิ้น เขาเรียกตัวพวกเขาเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ใช้เหตุผลต่างๆ นาๆ มาบ่ายเบี่ยง
เพียงแค่บุตรีตระกูลมั่วเกิดเรื่อง พวกเขาถึงกับเร่งเดินทางมาด้วยความเป็นห่วง!
หรือว่าสิ่งมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยจะเป็นความจริง!
ไม่สามารถสังหารพวกเขาระหว่างทางได้ มิเช่นนั้นจะเป็นเหตุผลให้สองชนเผ่าของชายแดนตะวันตกก่อกบฏได้อย่างเปิดเผย!
ตอนนี้ฮ่องเต้ต้องวางแผนกลยุทธ์ให้พร้อมสรรพ จะได้ไม่ถูกพวกเขาจับจุดอ่อนใดๆ ได้!
ยังดีที่คราวที่แล้วตอนเจรจากับมั่วเชียนเสวี่ย เขาได้สัญญาว่าจะสร้างจวนกั๋วกงขึ้นให้ใหม่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็หาเหตุผลอะไรมาข่มขู่เขาไม่ได้แล้ว!
อีกอย่าง คนของทั้งสองชนเผ่าทางชายแดนตะวันตกมาเยือน เขาก็จะได้ดูว่าคนพวกนี้ฟังคำสั่งมั่วเชียนเสวี่ยและป้ายไม้ดำนั่นหรือไม่
บอกแน่นอนไม่ได้ว่าคนเหล่านี้อาจจะเพื่อนำป้ายไม้ดำกลับไปก็ได้
ตอนนี้เขาต้องมองการณ์ไกล ตกปลาตัวใหญ่ ขอเพียงแค่พวกเขาเกิดความขัดแย้งกับมั่วเชียนเสวี่ย เขาก็ไม่กลัวว่าป้ายไม้ดำจะไม่ตกอยู่ในมือเขาในตอนสุดท้าย!
ขอแค่ได้ป้ายไม้ดำไว้ในมือ เขายังมีสิ่งใดต้องกลัวอีก?
ที่เรียกว่าขุนนางตระกูลเก่าแก่ ที่เรียกว่าการข่มขู่จากชายแดนตะวันตก ก็จะไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรขนาดนั้น!
ถึงตอนนั้น คืนวันที่เขารวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวคาดว่าจะเป็นจริงในไม่ช้าแล้ว!
“ฝ่าบาท ควรบรรทมได้แล้ว คืนวันนี้จะเสด็จตำหนักใดพ่ะย่ะค่ะ”
นอกตำหนัก ขันทีที่รับผิดชอบดูแลฝ่ายในก็บังเอิญมาตอนนี้พอดี เขาส่งเสียง พลางยกป้ายหยกในมือ เพื่อที่จะให้ฮ่องเต้เลือกได้สะดวก
ฮ่องเต้มิตรัสอันใด เพียงแค่มองป้ายหยกในถาดพวกนั้นด้วยพระเนตรอึมครึม ราวกับครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
ขันทีก้มหน้าลงต่ำ ย่อมมองไม่เห็น นึกว่าฮ่องเต้กำลังครุ่นคิดว่าจะไปตำหนักใด และก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งได้รับประโยชน์จากฮองเฮามา…
“ฝ่าบาท ได้ยินมาว่าฮองเฮาเคี่ยวน้ำแกงบำรุงโดยใช้ไฟอ่อนตั้งแต่เช้าตรู่ หากฝ่าบาทเสด็จไปเพลานี้ ก็เสวยได้พอดีพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้มองขันทีที่คอยอยู่ใกล้ๆ แวบหนึ่งอย่างเย็นชา
ภายในวังหลวง เขาจะไม่รู้กลอุบายสกปรกในวังหลวง และไม่เข้าใจวาจาของขันทีผู้นี้ได้เช่นไร
แต่ว่า ไปตำหนักฮองเฮา?
หึ!
อย่านึกว่าเขาไม่รู้ความคิดพวกนั้นของตระกูลเซี่ย
“เคลื่อนขบวนไปตำหนักเหยียนชิ่ง…”
หลังเอ่ยจบก็วาดมือปัดถาดที่ขันทียกไว้เหนือศีรษะหล่นลงบนพื้น
ป้ายหยกบนถาดตกลงบนพื้นดังโครมครามเช่นเดียวกับหัวใจของขันทีผู้นั้น…
ยามค่ำคืน จวนกั๋วกง
อวิ๋นอิ๋งหลบเลี่ยงองครักษ์ของจวนกั๋วกง หลบคนที่สอดส่องในที่ลับพวกนั้น ไปยังสถานที่ที่พบกับบุรุษที่สวมหน้ากากปีศาจในครั้งที่แล้วด้วยความระมัดระวังตัวคนเดียว
สถานที่แห่งนั้นลับตาและรกร้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ถูกเพลิงไหม้
เขาเอ่ยแล้วว่า ทำเรื่องในครั้งที่แล้วสำเร็จ ก็จะพานางไป
แต่ระยะเวลาห่างจากเพลิงไหม้มาหลายวันแล้ว เขาไม่ได้มาสักครั้งเดียว
ยิ่งเข้าใกล้มุมในที่พื้นที่รกร้าง อวิ๋นอิ๋งก็ยิ่งไม่มั่นใจ
แหวกแมกไม้ที่ถูกทิ้งออก ก็ปรากฏเงาร่างสีดำเข้าสู่สายตา!
ชั่วพริบตานั้น หัวใจของอวิ๋นอิ๋งเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่อยู่
ไม่ใช่ความกลัว ไม่ได้ไม่สบายใจ แต่ตอนที่เห็นบุรุษตรงหน้านี้ ก็เกิดความรู้สึกยินดีที่ควบคุมไม่อยู่ขึ้นในใจ!
“ท่าน…มาแล้ว”
นางในตอนนี้ยังจะมีท่าทางรอบคอบ จริงจังเหมือนช่วงเวลากลางวันเสียที่ไหน
กลายเป็นท่าทางของคนที่เพิ่งริเริ่มมีความรักโดยสิ้นเชิง
หลูเจิ้งหยางที่สวมหน้ากากปีศาจหันกลับมา ย่อมเห็นสีหน้าความรู้สึกของอวิ๋นอิ๋งได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
นัยน์ตามีประกายดูแคลนพาดผ่าน แต่น้ำเสียงที่เอ่ยกลับอ่อนโยนยิ่ง
“ระยะนี้เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”
ที่เอ่ยถึงนั้นย่อมหมายถึงเหล่าองครักษ์ลับที่มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงจัดไว้ที่นี่พวกนั้น
ครั้งที่แล้วอวิ๋นอิ๋งเอ่ยเป็นนัยว่า ดูเหมือนมั่วเชียนเสวี่ยจะสงสัยนางแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ หลูเจิ้งหยางถึงได้ถามเช่นนี้
เขากำลังเป็นห่วงนางหรือ
หัวใจของอวิ๋นอิ๋งเต้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง!
ความสุขบนใบหน้าปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด
“ไม่…ระยะนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร”
เขาเป็นฝ่ายเป็นห่วงนาง นั่นก็หมายความว่าตัดใจจากคุณหนูได้แล้วใช่หรือไม่
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นพวกเขาก็สามารถอยู่ด้วยกันได้แล้วใช่หรือไม่
เขาเคยรับปากนางว่า หลังจากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะพานางจากไป!
หลูเจิ้งหยางเห็นอวิ๋นอิ๋งไม่เหมือนจะโกหก จึงพยักหน้า
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ครั้งที่แล้ววุ่นวายเกินไป ข้ายังหาของสิ่งนั้นไม่พบ ทำได้เพียงแค่ฝากให้เจ้าช่วยตามหาแล้ว”
ของสิ่งนั้นสำคัญต่อฮ่องเต้เป็นอย่างยิ่ง และสำคัญสำหรับเขาเช่นกัน ถ้าหากได้ข่าวคราวแต่เนิ่นๆ บอกว่าของเช่นนี้มีตัวตนอยู่ เขาจะต้องรอจนถึงวันนี้ด้วยหรือ