ตอนเช้าตรู่เขาก็อยากเข้าประตูเรือนไปรอมั่วเชียนเสวี่ยที่หน้าประตูห้อง แต่ทำเช่นไร กุ่ยซาที่ยืนนิ่งเป็นสากกะเบือตรงประตูก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไป!
กุ่ยซาไม่ให้เขาเข้าไป เขาก็ไม่สะดวกจะส่งเสียงดัง ถ้ารบกวนพี่สาวให้ตื่นจากฝันดี ก็ไม่ดีไม่ใช่หรือ
แน่นอน เขาย่อมรู้ว่ากุ่ยซาเป็นคนของหนิงเซ่าชิง มาปกป้องพี่สาว!
ในเมื่อคนคนนี้ทำเพื่อปกป้องพี่สาวเชียนเสวี่ย เขาไม่มีความจำเป็นต้องแตกหักกับเขา
ขอแค่เขายืนรออยู่ที่ประตูอย่างว่าง่าย พี่สาวก็ต้องออกมา
ถงจื่อจิ้งจึงแกะสลักกระต่ายตัวน้อยที่แกะสลักไม่เสร็จเมื่อวานอยู่นอกเรือนมั่วเชียนเสวี่ยทั้งแบบนั้น
เขาไม่โหวกเหวกโวยวาย แม้ว่ากุ่ยซาจะเห็นเขาเป็นหนามยอกอก ก็ไม่สะดวกจะไล่เขาไป
เรือนที่มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยอยู่ตอนนี้ ก็ให้คนแขวนป้ายเรือนเสวี่ยหว่านใหม่อีกครั้ง
มั่วเชียนเสวี่ยเก็บของอย่างคล่องแคล่ว กินข้าวเช้าเสร็จก็ออกมา แวบเดียวก็เห็นถงจื่อจิ้งที่ยืนแกะสลักรากไม้ชิ้นเล็กอยู่ใต้แสงอาทิตย์
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลงบนร่างเขา ส่งผลให้ร่างเขาทอประกายแสงสีทองจางๆ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงจริงๆ!
ถงจื่อจิ้งในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือบุคลิก ล้วนดีเยี่ยม เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อที่น่ารักและเชื่อฟังประเภทนั้น
“จื่อจิ้ง? มาแล้วทำไมไม่เข้าไปในเรือน แสงอาทิตย์ยามเช้าก็แรงเช่นกันนะ!”
เอ่ยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ดึงมือถงจื่อจิ้ง พาเขาไปในเรือน
“กินข้าวเช้าหรือยัง”
เห็นถงจื่อจิ้งส่ายหน้า มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรจริงๆ
เด็กคนนี้ ไม่รู้จักดูแลตัวเองเอาเสียเลย ถึงได้ผอมแบบนี้
ความจริงแล้ว ถงจื่อจิ้งอ้วนกว่าตอนที่นางเห็นเขาครั้งแรก เมื่อเจ็ดแปดเดือนก่อนมาก เพียงแต่นางใช้สายตาที่มองน้องชาย มักจะอยากให้เขาอ้วนนิดกำยำหน่อยถึงจะดี
จึงรีบให้ชูอีไปยกมื้อเช้ามาจากห้องครัว มั่วเชียนเสวี่ยก็ดูแลถงจื่อจิ้งให้เริ่มกินอาหาร
มองถงจื่อจิ้งที่รีบกินอาหารด้วยท่าทางหิวจะแย่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ทั้งสงสาร ทั้งตำหนิ “จื่อจิ้ง เจ้ามานานแค่ไหนแล้ว ทำไมถึงไม่เข้ามารอข้าในเรือน แบบนี้พวกเราจะได้กินข้าวด้วยกันได้”
ความจริงมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้รู้สึกแปลกตากับท่าทางเช่นนี้ของถงจื่อจิ้ง แต่ก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้านหวังจยา เขาก็เคยทำแบบนี้ เช้าตรู่ก็มายืนขวางประตูเอาไว้ ทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครปลุกตนเองด้วย
เมื่อคิดถึงตอนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ตอนที่ถงจื่อจิ้งเห็นท่าทางหัวเราะของมั่วเชียนเสวี่ย เขาที่กินข้าวอยู่ ก็โค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ไม่นานนัก หลังจากที่ถงจื่อจิ้งกินมื้อเช้าในห้องมั่วเชียนเสวี่ยเรียบร้อย ทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปด้วยกัน
ตอนที่กุ่ยซาเห็นถงจื่อจิ้งเดินจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยออกไปจากเรือน มุมปากก็กระตุกอย่างแรง
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้ เขาไม่กล้าไปบอกหัวหน้าตระกูลจริงๆ!
เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า ถ้าหัวหน้าตระกูลได้ยินเรื่องนี้ จะต้องมีสีหน้าทะมึนเหมือนกับน้ำหมึกทันทีแน่นอน!
หัวหน้าตระกูลเอ่ยแล้วว่า ขอเพียงแค่พวกเขามีการกระทำอะไรที่สนิทสนมกัน ก็ให้หิ้วคอเสื้อถงจื่อจิ้งขึ้นมาแล้วโยนออกไปให้ไกล
แต่ว่า การจูงมือมันสนิทสนมหรือไม่สนิทสนมกันแน่นะ
หัวหน้าตระกูลก็ไม่ให้ให้เกณฑ์มาด้วย เขาจึงลงมือจัดการลำบากเช่นกัน!
ทว่า นึกถึงสิ่งที่หัวหน้าตระกูลเคยกำชับอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าเรื่องอะไรของคุณหนูใหญ่มั่ว จะเล็กหรือใหญ่ต้องรายงานให้หมด
มีบางเรื่อง ในกระบอกไม้ไผ่ ก็อธิบายลำบาก อย่างแรกไม่สะดวก…
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กุ่ยซาก็แอบเรียกอาซานมา เมื่ออธิบายเรื่องทั้งหมดชัดเจนแล้ว ก็ให้อาซานช่วยไปส่งสารแทน
ให้อาซานไปเผชิญหน้ากับ…สีหน้าของหัวหน้าตระกูลก่อนแล้วกัน
มั่วเชียนเสวี่ยกับถงจื่อจิ้งเตรียมตัวไปเดินดูในเมืองว่ามีที่ใดขายกระจกไหม
ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน
หวังเทียนซงพาลูกศิษย์ที่ร่ำเรียนการแกะสลักรากไม้มาจากหมู่บ้านหวังจยาหลายคน อยู่ในคฤหาสน์ไม่มีอะไรทำ ก็แกะสลักรากไม้ออกมา ตอนนี้กำลังจะเปิดช่องทางการนำสินค้าพวกนี้ออกไปขาย
สำหรับมั่วเชียนเสวี่ย รากไม้แกะสลักเหล่านี้ ย่อมไม่นับว่าประณีตละเอียดอ่อนอะไร
แต่ เด็กกลุ่มนี้ทำออกมาด้วยความยากลำบาก มั่วเชียนเสวี่ยจึงนำรากไม้แกะสลักเหล่านี้ไปสอบถามราคาอะไรพวกนี้ที่เมืองหลวงด้วย
นางตกลงกับซินอี้หมิงเอาไว้ว่า รากไม้แกะสลักจากโรงงานแกะสลักในหมู่บ้านหวังจยาล้วนให้เขาเหมาซื้อหมด แต่มาถึงเมืองหลวงนั้นไม่เหมือนกัน
นางไม่ได้ขายตัวให้กับซินอี้หมิง
มั่วเชียนเสวี่ยกับถงจื่อจิ้งนั่งรถม้าออกเดินทางไปยังทิศทางเมืองหลวง
จวนหนิงในเมืองหลวง ใบหน้าหนิงเซ่าชิงไร้รอยยิ้มมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว!
เมื่อคืนที่มั่วเชียนเสวี่ยกล่าววาจานั้น ก็ทำให้เขารู้สึกโมโห!
วาจานั้นคล้ายกับว่าไม่รักตนเองอีกแล้ว!
ทำให้เขาโมโหแทบตายจริงๆ!
เขารักนางขนาดนั้น ดูแลด้วยความอ่อนโยน อมไว้ปากก็กลัวจะละลาย ประคองไว้บนฝ่ามือก็กลัวจะล้ม แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางถึงกับเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา เพื่อทำให้เขาโมโห!
แต่ โมโหก็ส่วนโมโห ในใจหนิงเซ่าชิงยังคงคิดถึงมั่วเชียนเสวี่ย
ถงจื่อจิ้ง หมาป่าหิวโหยที่จ้องมองพร้อมจะตะครุบยังเฝ้าอยู่ที่นั่น เขากลัวจริงๆ ว่าถงจื่อจิ้งจะฉวยโอกาสจากความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเขากับเสวี่ยเสวี่ย!
เพียงแค่คิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยน น้ำเสียงปกป้อง และท่าทีคุ้มครองที่มั่วเชียนเสวี่ยมีต่อถงจื่อจิ้ง หัวใจดวงนี้ของเขาก็ราวถูกเปลวเพลิงเผาไหม้!
โมโห!
กระแทกฝ่ามือลงไป ถ้วยชาบนโต๊ะถูกทำให้สั่นจนส่งเสียงดังขึ้นมา
“หัวหน้าตระกูล อาซานมาขอรับ”
ประจวบกับที่ตอนนี้ เสียงของเตาหนูดังขึ้นที่หน้าประตู
เขาก็ไม่อยากมาแตะต้องระเบิดลูกนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าหัวหน้าตระกูลอารมณ์ไม่ดี
หัวหน้าตระกูลสุภาพอ่อนโยนเรียบร้อยมาตลอด ภูเขาไท่ซานถล่มลงมาก็หน้าไม่เปลี่ยนสี การที่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้ จะต้องเป็นเพราะมีปัญหาแง่งอนกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วแน่ๆ!
อาซานเป็นคนที่หัวหน้าตระกูลส่งไปให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมั่ว การที่เขามาที่นี่จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน!
ไม่แน่ว่า เขาอาจจะนำข่าวดีบางอย่างที่ทำให้หัวหน้าตระกูลใจเย็นลงมา
เตาหนูโอบกอดความคิดที่โชคดีนี้ไว้ ดังนั้นจึงไม่กล้ารีรอสักนาทีเดียว รีบมารายงาน โดยแบกรับจุดจบที่จะถูกบันดาลเพลิงโทสะใส่!
หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในห้องหนังสือหรี่ตาทั้งคู่ลงเล็กน้อย
เป็นอาซานมา ไม่ได้ใช้พิราบส่งสาร และไม่ใช่องครักษ์ลับคนอื่นๆ หรือว่า…
“ให้เขาเข้ามา!”
เตาหนูรับคำสั่งจากไป ครู่หนึ่งอาซานก็ตามเข้ามา
“มีเรื่องอะไร” หนิงเซ่าชิงเก็บงำโทสะและความหึงหวงไว้ก้นบึ้งหัวใจแล้ว
อาซานมองไม่ออกแม้แต่น้อย พลางเอ่ยวาจาที่กุ่ยซาบอกกับเขาต่อหนิงเซ่าชิงด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
เชียนเสวี่ยเข้าเมืองแล้ว?
หนิงเซ่าชิงเม้มปาก ไม่เอ่ยอะไร
เบื้องหน้าไม่มีอะไร แต่ภายในใจกลับสะเทือนใจอย่างควบคุมไม่อยู่!
แม้จะรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เข้าเมืองมาเพื่อเยี่ยมเขา แต่มีเรื่องอื่นต้องทำ ทว่าเขาอดดีใจไม่ได้!
ไม่แน่ว่า โอกาสในการพลิกสถานการณ์มาแล้ว
เมื่อวานตนเองจากมาทั้งแบบนั้น ไม่รู้ว่าเสวี่ยเสวี่ยจะเสียใจหรือไม่