ตอนที่ 47 จูบสะเทือนฟ้า
มั่วเชียนเสวี่ยไปที่สำนักงานจัดการท่าเรืออีกครั้ง หน้าประตูมีรถม้าจอดอยู่ ป้าที่นางพบเจอในสำนักงานก่อนหน้านี้กำลังช่วยพยุงผู้จัดการอวี๋ออกมาพร้อมแบกสัมภาระไว้ด้วย
“คอยดูนะข้าจะกลับไปฟ้องนายท่าน ดูสิเจ็บไปหมดแล้ว! ใครเป็นคนทำกับท่านเช่นนี้ น่าสงสารเหลือเกิน…”
ปากที่อ้าค้างของหญิงชราถูกผู้จัดการอวี๋ผู้นั้นปิดไว้ เขามองไปรอบๆ พลางบอกใบ้เป็นภาษามือ “แอ้อม(แม่นม)…อ่า(อย่า)…อู้ดอ้าก(พูดมาก)”
ดูท่าทางหวาดผวาของเขา เวลาพูดยังมีช่องลมระหว่างฟัน ใบหน้าแสนน่าเกลียดนั่น มั่วเชียนเสวี่ยสะใจเหลือเกิน ใครให้เขาปากพล่อยกันเล่า
“ใครบอกว่าที่นี่เป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยภูตผีน่ะสิ เห็นทีข้าคงต้องรีบกลับเข้าเมืองเสียแล้ว ใครอยากจะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไป อย่าหวังว่าคุณชายอย่างข้าจะมาเหยียบที่นี่อีกเลย”
“เอ่บเหลือเกิน เอื้อดไหลไม่หยุดเลย แม่นมข้ายังไม่อยากตาย…”
“……”
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งบนเก้าอี้ของสำนักงานพลางดูละครตรงหน้า นางจดจำการแสดงอันสมบทบาทเมื่อวันก่อนของสองสามีภรรยาคู่นั้นได้ดี ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจริงก็เป็นเหมือนละคร ทุกคนล้วนอยู่ในบทบาทของตัวเอง และยังต้องแสดงละครในบทบาทนั้นๆ อีก
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าละครเรื่องนี้ หนิงเซ่าชิงรับบทบาทอะไร
จู่ๆ ร่างอันสง่างามที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกก็จามขึ้นราวกับถูกใครนินทา
ในยามนี้คนที่มีรูบนหัวและฟันร่วงได้จากไปนานแล้ว ด้านผู้จัดการถังที่เพิ่งกลับมาทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สี่คนที่สวมเครื่องแบบเหมือนกันเดินตามหลังมา
ทันทีที่เขาเข้ามา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น “ผู้จัดการอวี๋เล่า”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดจาห้วน มั่วเชียนเสวี่ยจึงตอบน้ำเสียงเช่นเดียวกันกลับไป “ไปแล้ว” ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ผู้จัดการถัง นางคงจะทำเป็นหูทวนลมแสร้งไม่ได้ยินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“แล้วแม่นมหลี่ล่ะ?”
“ก็ออกไปด้วย” แม่นมหลี่ที่ว่าก็คงเป็นมนุษย์ป้าหน้าหงิกผู้นั้น
หลังจากที่ได้คำตอบ เจ้าหน้าที่นายนั้นก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจที่จะบอกพวหเขาหรอกว่าสองคนนั้นที่พวกเขาถามถึง ป่านนี้คงอยู่บนรถม้าจากไปไกลแล้ว
“ทำขายหน้าต่อหน้าหนิงเหนียงจื่อแล้ว ท่าเรือแห่งนี้เพิ่งเปิด ยังมีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง”
“หากได้ท่านผู้จัดการถังคอยดูแล แน่นอนว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ”
“ยากเหลือเกิน! ท่าเรือแห่งนี้สร้างขึ้นโดยความร่วมกันของทั้งสองเมือง หากจะจัดการซ่อมแซมแล้วก็ต้องได้ความร่วมกันของทั้งสองเมืองเช่นเดียวกัน ข้าและน้องชายอีกสองคนถูกส่งตัวมาจากเทียนเซียง น้องชายอีกสองคนที่มาด้วยกันเมื่อครู่และผู้จัดการอวี๋ที่ถูกส่งมาจากชังโยว ดังนั้น…เฮ้อ อย่าพูดถึงมันเลย”
ผู้จัดการถังเพิ่งนึกได้ว่าคนตรงหน้าเขาเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ เหตุใดเขาจึงระบายความในใจออกไปให้หมด ช่างน่าอายเสียจริง เขากระแอมไอออกมาสองทีเพื่อแก้เขิน เมื่อเห็นว่าการแสดงออกของมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งเงียบไป เขาจึงหันกลับมาที่หัวข้อสำคัญ
“อะแฮ่ม หนิงเหนียงจื่อเรามาพูดธุระที่เจ้ามาวันนี้ดีกว่า”
……
ณ จวนตระกูลเจี่ยน เมืองเทียนเซียง
แม้ว่าตระกูลเจี่ยนจะถือเป็นตระกูลลำดับที่สองแห่งราชวงศ์เทียนฉี แต่ในเมืองเทียนเซียงนี้พวกเขานับว่าเป็นตระกูลลำดับหนึ่ง ดังนั้นวันคล้ายวันเกิดของเจี่ยนเหล่าไท่จวินก็เสมือนเป็นวันสำคัญของเมืองเทียนเซียงด้วย
ในตอนเช้า งานเลี้ยงสายน้ำไหล[1]หลายร้อยโต๊ะถูดจัดวางในจวนตระกูลเจี่ยน ทอดยาวตั้งแต่หน้าประตูไปราวกับสายน้ำไหลอันไร้ที่สิ้นสุด
ในมุมสวนที่เงียบสงบ พ่อบ้านกำลังเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านล่าง “คุณหนูยังไม่มาอีกหรือ”
“ยังไม่มาขอรับ”
“พวกเจ้ายังมัวทำอะไรอยู่ รีบส่งคนไปรับ”
“รับทราบขอรับ” บ่าวรับใช้จนปัญญา ปัญหานี้โทษพวกเขาได้หรือ ยามนี้เรือของคุณหนูใหญ่ยังมาไม่ถึงแล้วจะให้พวกเขาไปรับใครกัน แต่พ่อบ้านกำลังหงุดหงิด เขาจึงไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
บนรถม้าที่เคลื่อนตัวช้าๆ ในตัวเมือง
“คุณชายขอรับ ครานี้ท่านนำเก้าดารานำโชคนี้ส่งมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่เจี่ยนเหล่าไท่จวิน การสู่ขอครั้งนี้จะต้องราบรื่น และเมื่อตระกูลซินและตระกูลเจี่ยนเกี่ยวดองกัน ทั่วทั้งเมืองเทียนเซียงก็จะไม่มีใครเทียบเท่าท่านได้”
“เกาหลั่งอย่าพูดมากไป ข้ายังมีอุปสรรคมากมายบนหนทางการแต่งงานนี้! จุดประสงค์ของตระกูลเจี่ยนก็คือต้องการมอบชิงโยวให้กับทายาทของตระกูลใหญ่ขั้นหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าพ่อของข้าจะเป็นถึงผู้ว่าการมณฑลเทียนเซียง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ในราชวงศ์เทียนฉีภูมิหลังของตระกูลพวกเรากลับไม่มีอะไรเลย นอกจากนั้น ประวัติตระกูลซินของข้าไม่ได้มีอายุยาวนานเทียบเท่ากับตระกูลเจี่ยน รวมไปถึงอำนาจด้วย ทั้งนี้ข้าได้ยินมาว่าชิงโยวไปเยี่ยมญาติที่เมืองหลวง แต่แท้จริงแล้วที่นางไปก็เพื่อการดูตัว จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่กลับมา…”
“คุณชาย ไม่ง่ายเลยที่ท่านจะมีใจภักดีต่อคุณหนูเจี่ยนเช่นนี้ ท่านอย่าได้เป็นกังวลนักเลยขอรับ บ่าวมั่นใจว่าคุณหนูเจี่ยนก็มีใจให้คุณชายเช่นกัน ”
“อืม ไหนเจ้าว่าต่อสิ”
“คุณชายลองคิดดูนะขอรับ คุณหนูเจี่ยนเป็นคนมีความสามารถ หน้าตางดงามและมีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดี นางไปเมืองหลวงเป็นเวลาปีกว่าแต่กลับบอกว่าไม่อยากแต่งงาน บางทีคุณหนูอาจจะไม่ได้เต็มใจ”
เกาหลั่งที่เห็นว่าเจ้านายของเขาคล้อยตาม ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อ “จากมุมมองของบ่าว สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคุณหนูใหญ่อาจมีท่านอยู่ในใจอยู่แล้วก็เป็นได้นะขอรับ”
การวิเคราะห์ของเกาหลั่งนั้นดำเนินไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่ซินอี้หมิงท่องอยู่ในความทรงจำเมื่อสองปีก่อนตั้งนานแล้ว
ในตอนนั้นนางกำลังวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ที่ป่าท้อ แต่ไม่ได้สังเกตเห็นก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าเล็กจนเกือบจะล้มลงกับพื้น เขาที่เห็นดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปประคองนางไว้
จากนั้น…
ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นทุ่งดอกท้อที่บานสะพรั่งทั่วท้องฟ้าราวกับโลกทั้งใบกำลังถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีชมพูอันเบาบาง แม้ใบหน้าของนางจะมัวหมอง แต่ในขณะเดียวกันกลับดูงดงามราวกับเทพธิดาดอกท้อที่อยู่บนสรวงสวรรค์
ยามมองดูสายฝนดอกท้อที่โปรยปราย เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง…
วันนั้นดอกท้อช่างสวยงาม รายล้อมด้วยหญ้าที่เขียวชอุ่มและลมที่โบกโชยอย่างอ่อนโยน
……
ที่ดินเทียบท่าเรือถูกขายล่วงหน้าไปเกือบหมดแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยที่รู้ข่าวถึงกับพูดไม่ออก สายตาพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นี่สินะคืออำนาจของเงิน เพียงมีเงินก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่น่าล่ะทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันแรกของการลงทุนแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครมาซื้อที่ดินเลยสักคนเพราะที่ดินล้วนต้องจองล่วงหน้าก่อนเท่านั้น
ในวันนั้นนางเพิ่งมาถามกับผู้จัดการฝ่ายก่อสร้างคนหนึ่ง เขาบอกกับนางว่ายามนี้ทางสำนักงานยังไม่ได้เริ่มขายแต่ไม่ทันไรมาวันนี้นางก็ชวดไปเสียแล้ว คงคล้ายกับภพปัจจุบันที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แท้จริงแล้วมีคนคอยเล่นอยู่หลังม่านดำ
ครั้นได้ทราบเรื่องราวอย่างชัดเจนว่าผู้ที่มาซื้อที่ดินก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพ่อค้ารายใหญ่ทั้งนั้นเพื่อใช้ที่มาทำเป็นคลังเก็บสินค้าของตนเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่มีท่าทีลังเลใดๆ พร้อมกับตัดสินใจเลือกหนึ่งในแปลงที่อยู่ด้านหน้าสุดทันที
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการซื้อที่ดินทั้งหมดแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเดินออกจากสำนักงานด้วยใบหน้าที่สดใส
ทันทีที่นางออกจากที่นั่น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนร้องมาจากระยะไกล
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ… เร็วเข้า รีบตามคนมาเร็ว”
“เร็วเข้า คุณหนูตกน้ำ”
“ช่วยด้วยๆ…”
จากนั้นก็ได้ยินเสียง จ๋อมๆๆ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยชีวิตคนที่ตกน้ำ
อากาศหนาวเช่นนี้ หากไม่จมน้ำตายก็อาจจะถูกแช่แข็งตายได้ ช่างโชคร้ายเสียจริงที่ตกลงน้ำ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ คนที่ช่วยเหลือผู้นั้นช่างเป็นคนกล้าหาญโดยแท้
ท่ามกลางความชุลมุน มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ เดินเข้าไปด้านข้างสถานที่เกิดเหตุ บรรยากาศเมื่อครู่ อาจดูเหมือนจะครึกครื้น บัดนี้กลับสลดลงในทันควัน
ไม่นานร่างเล็กที่เดินฝ่าฝูงชนเข้าไปก็พบเข้ากับคนที่ดูเหมือนเป็นบ่าวรับใช้สองคนกำลังช่วยชีวิตหญิงสาวที่จมน้ำอีกคนอยู่
หมัวมัวและสาวรับใช้หลายคนพากันรายล้อมเข้ามา
“คุณหนูเจ้าคะ”
“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“คุณหนู ท่านฟื้นสิ…”
ยามนี้หญิงสาวก็ถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำแล้ว และยังมีผู้คนมากมายคอยช่วยเหลือ ดูท่าแล้วไม่น่าเป็นอันตราย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ดูแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงหันหลังกลับเตรียมที่จะเดินจากไป หลิวเหล่าซวนยังรอนางอยู่
[1] งานเลี้ยงสายน้ำไหล เป็นงานกินโต๊ะที่อาหารทุกจานจะต้องมีน้ำซุป อาหารทุกรายการจะต้องเสิร์ฟไม่ให้ขาดตอนประหนึ่งสายน้ำไหล