ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยกับถงจื่อจิ้งมาถึงอี้ผิ่นเซวียน ก็เห็นว่ามีคนเข้าๆ ออกๆ มากมาย ดูออกเลยว่ากิจการดีมาก
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปเดินดูรอบหนึ่ง และสั่งให้คนขนย้ายรากไม้แกะสลักอะไรพวกนั้นลงจากรถม้า
จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็นำรากไม้แกะสลักเหล่านี้เข้าไปในอี้ผิ่นเซวียนกับถงจื่อจิ้งสองคนอีกครั้ง
ท่าทางมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนที่ไม่เข้าใจเรื่องราว ก็นึกว่าจะมาก่อเรื่องวุ่นวาย!
อย่างไรเสีย อี้ผิ่นเซวียนก็ขายรากไม้แกะสลัก ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยถึงกับยกรากไม้แกะสลักที่แกะสลักเรียบร้อยแล้วเข้ามากองหนึ่งอย่างเอิกเกริก นี่เป็นการยั่วยุผู้อื่นอย่างไม่ต้องสงสัย!
ความจริงแล้วพวกเขาล้วนคิดผิด ที่มั่วเชียนเสวี่ยทำแบบนี้ ก็แค่อยากเพิ่มชื่อเสียงให้อี้ผิ่นเซวียนเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามา นางได้พิจารณามองรากไม้แกะสลักในร้านไปรอบหนึ่งแล้ว
แม้จะไม่นับว่าเป็นสินค้าที่มีตำหนิ แต่ก็ไม่ใช่ของดีอะไร รากไม้แกะสลักพวกนั้น พอจะมองออกถึงรูปลักษณ์คร่าวๆ ได้เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ย่อมไม่สามารถเทียบกับชิ้นงานที่นางยกเข้ามาพวกนี้ได้
และโรงงานแกะสลักที่หมู่บ้านหวังจยาของนางก็ได้ส่งสินค้าให้กับซินอี้หมิงเช่นกัน น่าจะมีสินค้าที่ดีกว่านี้ถึงจะถูก เมื่อคิดดูแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็พยักหน้าพอเข้าใจ ซินอี้หมิงผู้นี้ทำการค้าอย่างมีแบบแผน ของดีล้วนไม่วางไว้ข้างนอก เพราะมีจำนวนน้อย จึงต้องสั่งจองล่วงหน้า
เช่นนี้ ทำการประชาสัมพันธ์ให้กับเขาก็ไม่เป็นไร
แน่นอนว่ารากไม้แกะสลักในมือมั่วเชียนเสวี่ยพวกนี้ แม้ว่าเทคนิคการแกะสลักจะไม่ได้เยี่ยมยอด
แต่กลับสร้างขึ้นมาภายใต้การชี้แนะอย่างทุ่มเทของนาง ไม่ใช่สินค้าชั้นหนึ่ง แต่ก็ดีกว่าของที่อี้ผิ่นเซวียนวางไว้ข้างนอกพวกนั้นหลายระดับ!
จากสายตาเป็นประกายของลูกค้ารอบๆ เหล่านี้ ก็สามารถรู้ได้บ้าง
“ใครมาก่อเรื่องที่อี้ผิ่นเซวียน”
นับตั้งแต่โบราณกาล ประโยคแรกในการเปิดบทสนทนาล้วนเป็นประโยคนี้ตลอดกาล
มั่วเชียนเสวี่ยเบนสายตามองไปยังร่างคนที่เอ่ยวาจา
ดูลักษณะแล้ว น่าจะเป็นหลงจู๊ของอี้ผิ่นเซวียน สวมอาภรณ์ประณีตเรียบร้อย และมีความฉลาดหลักแหลมของคนทำการค้า
“ท่านคือหลงจู๊ของอี้ผิ่นเซวียนแห่งนี้?”
“ข้าน้อยเองขอรับ! ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นคุณหนูตระกูลใด มาทำอันใดที่ร้านขอรับ”
หลงจู๊พิจารณามองมั่วเชียนเสวี่ยแวบหนึ่งอย่างรอบคอบ ใบหน้าไม่คุ้นไม่รู้จัก จากนั้นก็เบนสายตาไปยังรากไม้แกะสลักที่อยู่ด้านหลังนางกองหนึ่ง นัยน์ตาพลันเปล่งประกายขึ้นมา!
รากไม้แกะสลักพวกนี้ล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง!
อี้ผิ่นเซวียนของเขาเป็นร้านที่ขายรากไม้แกะสลักที่ดีที่สุดในเมืองหลวงแล้ว
ชิ้นงานรากไม้แกะสลักที่ดีล้วนสินค้าขาดแคลนมาตลอด
ถ้าสามารถเหมาชิ้นงานแกะสลักที่คุณหนูท่านนี้นำมาทั้งหมดได้ สร้างความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนกัน ก็จะเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมเห็นสายตาเป็นประกายของหลงจู๊ผู้นี้ จึงยิ้มบางๆ
“ข้าแซ่มั่ว นับว่าเป็นสหายกับเจ้าของร้านพวกท่าน” เอ่ยฐานะของตนเองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และไม่อยากให้ในภายหน้าสองฝ่ายเกิดความเข้าใจผิดอันใด
แซ่มั่ว?
ตอนที่หลงจู๊ได้ยินชื่อตระกูล ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
ชื่อตระกูลนี้คุ้นเคยมาก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหนไปชั่วขณะ
อีกทั้งสตรีนางนี้ยังรู้จักเจ้าของร้านของพวกเขาด้วย…
“อ๊ะ!” หลงจู๊เข้าใจขึ้นมาทันที!
ถามด้วยน้ำเสียงที่ลดเบาลงมาก แต่กลับไม่ขาดความเคารพนบนอบ “ขออนุญาตถาม แม่นางท่านนี้คือมั่วเชียนเสวี่ย คุณหนูใหญ่มั่วของจวนมั่วกั๋วกง?”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินก็เลิกคิ้วงาม
“ข้าเอง” หรือว่าซินอี้หมิงผู้นี้จะเคยเอ่ยถึงตนเองกับหลงจู๊ผู้นี้?
“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วจริงๆ ข้าน้อยขอคารวะขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหลงจู๊ทำความเคารพตนเอง ก็รีบเอียงกายทำความเคารพคืนไปครึ่งหนึ่ง
“เชิญคุณหนูมั่วไปนั่งในห้องโถงของรับ” หลงจู๊รีบเชิญมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้องโถง เพราะบางเรื่องไม่สามารถเอ่ยต่อหน้าคนนอกได้
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจ เกรงว่าหลงจู๊ผู้นี้มีเรื่องจะสนทนากับนาง และตอนนี้ก็มีคนเยอะขนาดนี้ มากคนมากความ ดังนั้นจึงพยักหน้า ยิ้มบางๆ เดินตามเขาเข้าไปในห้องโถงด้วยกัน
แน่นอนว่า คนที่ตามเข้าไปด้วยยังมีถงจื่อจิ้ง
พี่สาวอยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ที่นั่น
ถงจื่อจิ้งประสบความสำเร็จในการทำตามประโยคที่ว่ามานี้โดยสิ้นเชิง
หลงจู๊เห็นด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ยมีเด็กหนุ่มเดินตามมาคนหนึ่ง แต่มั้วเชียนเสวี่ยไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย เขาก็ไม่ทำตัวเป็นผู้ร้าย ต้อนรับถงจื่อจิ้งเข้าไปอย่างเคารพนบนอบเช่นเดียวกัน
เห็นท่าทางของหลงจู๊แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยอดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาไม่ได้
ดีที่หลงจู๊เป็นบุรุษคนหนึ่ง ถ้าหากเป็นสตรีล่ะก็…
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยจินตนาการภาพถงจื่อจิ้งโยนคนออกไปอยู่ในใจ
ชูอีรู้ถึงปัญหานี้ของเขา วันนี้ตอนมาส่งอาหารเช้า เมื่อวางอาหารเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไปรอปรนนิบัติที่นอกประตู
เป็นเพราะปัญหานี้ของถงจื่อจิ้ง วันนี้ตอนที่ออกมา นางจึงไม่กล้าแม้กระทั่งจะพาชูอีมาด้วย
ตอนที่หนิงเซ่าชิงเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังอี้ผิ่นเซวียน มั่วเชียนเสวี่ยก็สนทนากับหลงจู๊ไปได้ครึ่งทางแล้ว
ส่วนตอนที่หนิงเซ่าชิงกำลังจะเข้ามา ก็มาทันเวลาที่มั่วเชียนเสวี่ยกับถงจื่อจิ้งออกมาพอดี
ชั่วขณะหนึ่ง ใครก็ล้วนไม่ได้เตรียมตัว นัยน์ตาสี่ข้างประสานสายตากัน
หัวใจหนิงเซ่าชิงเต้นตึกตัก
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ได้เจอหน้ากันแค่คืนเดียวเท่านั้น เมื่อก่อนไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่กลับไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้ทำให้หนิงเซ่าชิงคิดถึงมากจริงๆ!
อยากจะรวบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดโดยไม่รีรอจริงๆ! และจะรักทะนุถนอมนางให้ดี!
แต่คนไปๆ มาๆ เยอะขนาดนี้ หนิงเซ่าชิงจะทำเรื่องทะลึ่งพวกนั้นโดยไม่ใส่ใจชื่อเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยที่เป็นสตรีได้อย่างไร
ดังน้้น เขาทำได้เพียงแค่อดกลั้นข่มมันเอาไว้
มั่วเชียนเสวี่ยกลับนิ่งอึ้ง!
ตอนที่หนิงเซ่าชิงปรากฏตัวขึ้น นางถึงขั้นสงสัยว่าตนเองคิดถึงมากไปในเวลากลางวัน กลางคืนก็เก็บไปฝัน ถึงได้ปรากฏภาพหลอนของหนิงเซ่าชิงใช่หรือไม่
หนิงเซ่าชิงจะเบื่อจนถึงขั้นมาเดินเที่ยวเล่นได้อย่างไร?!
“จื่อจิ้ง ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นเซ่าชิง…” นางเอ่ยขอการยืนยันจากถงจื่อจิ้งด้วยท่าทางใกล้เคียงกับการเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ได้ยินวาจามั่วเชียนเสวี่ย หนิงเซ่าชิงก็มีสีหน้าดำคล้ำอีกครั้ง
ใบหน้าถงจื่อจิ้งกลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
“พี่เชียนเสวี่ย พี่เขยมาจริงๆ ขอรับ”
“…” ที่แท้หนิงเซ่าชิงก็มาจริงๆ
กล่าวตามจริง ในใจมั่วเชียนเสวี่ยนั้นมีความสุขยิ่งนัก!
หนิงเซ่าชิงเป็นคนที่ไม่เคยเดินเที่ยวในร้านของเล่นโบราณ เขาชอบอะไรย่อมมีคนนำมามอบถึงมือเขาทั้งหมด
อีกอย่าง ตระกูลหนิงของพวกเขาควบคุมเรื่องเงินทองในใต้หล้า ต้องการสิ่งใดในคลังเก็บของมีสิ่งใดที่ไม่มี!
มาปรากฏตัวในตอนนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงเป้าหมายเดียว คือตนเอง!
แม้จะโกรธที่หนิงเซ่าชิงสะบัดชายแขนเสื้อจากไป โมโหที่เขาไม่มาหาตนเอง แต่ตอนนี้ สิ่งใดก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว!
ขอแค่เขามา ขอแค่เขาง้อ ขอแค่มีทางลงให้…ทุกสิ่งล้วนไม่สำคัญ!