ตอนที่ 48 สังคมเก่าอันแสนโหดร้าย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางหมุนตัว กลับมีเสียงสั่นเครือถูกเปล่งออกมาเสียงดังฟังชัด “หมัว หมัวมัว คุณหนูเหมือนจะหยุดหายใจไปแล้ว…”
มั่วเชียนเสวี่ยพลันตกตะลึง จากนั้นเสียงหมัวมัวข้างหลังก็กรีดร้องขึ้นมา “คุณหนูตายไม่ได้นะเจ้าคะ!”
บรรดาบ่าวรับใช้ต่างพากันร้องไห้สะอึกสะอื้นโหยหวนดังสนั่น
นางจมน้ำไปนานแค่ไหนแล้ว ต้องผายปอดสินะ? มั่วเชียนเสวี่ยหันไปรอบๆ พลางครุ่นคิดไปต่างๆ นานา หญิงสาวผู้นี้ต้องเกิดอาการสำลักน้ำเป็นแน่ เนื่องจากความรู้ทางการแพทย์ในสมัยโบราณยังไม่ก้าวหน้ามากนัก เห็นทีคงไม่มีผู้ใดรู้วิธีช่วยเหลือ
ทุกชีวิตล้วนมีค่า!
มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีเวลาคิดมากนัก เมื่อคิดได้นางจึงวกกลับไปอีกครั้ง ผลักฝูงชนออกแล้วรีบเข้าไปข้างในวงล้อมทันที
หญิงสาวผู้นั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าเจ้าหน้าที่ บ่าวรับใช้และหมัวมัวจนแทบไม่มีอากาศหายใจ
เมื่อเห็นว่าฝ่าคนเหล่านี้เข้าไปไม่ได้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงตะโกนขึ้น “หลีกทางให้ข้า!”
เจ้าหน้าที่หน้าไม่เป็นมิตรผู้หนึ่งเอ่ย “เจ้าคิดทำการอันใด”
“หากท่านอยากให้นางรอดก็หลีกทางให้ข้า!”
“คุณหนูของเราอาการแย่ถึงเพียงนี้ เจ้ายังจะมาสร้างปัญหาอีกหรือ ใครก็ได้ช่วยจับนางไว้ที…”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นยิ้มอย่างเย็นชา เขานึกว่าจะหาแพะรับบาปไม่ได้แล้วเสียอีก ที่ไหนได้ จู่ๆ ก็มีคนกระโดดเข้ามาติดกับถึงที่ หากคุณหนูผู้นี้เป็นอะไรไป บรรดาเจ้านายจะต้องพิโรธเป็นแน่ ดันแส่เข้ามาหาเรื่องเองก็ช่วยไม่ได้ อย่ามาโทษที่เขาใจร้ายก็แล้วกัน
พวกบ่าวรับใช้ก้าวไปข้างหน้าหวังจะจับตัวมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ แต่นางตะโกนอย่างโกรธจัด “พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร ไม่อยากให้คุณหนูมีชีวิตรอดอย่างนั้นหรือ”
พวกบ่าวรับใช้ชะงัก หมัวมัวที่ร้องไห้อยู่บนพื้น จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนราวกับได้สติ เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ใบหน้าที่เคร่งขรึมตวาดใส่เหล่าบ่าวรับใช้ “ถอยไป!”
นางกลั้นน้ำตาของตนเองไว้ หมัวมัวคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับโค้งคำนับให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย “เหนียงจื่อ ได้โปรดช่วยชีวิตคุณหนูของข้าด้วย ตระกูลเจี่ยนแห่งเทียนเซียงจะตอบแทนน้ำใจเจ้าอย่างงาม”
ไม่นานบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็คุกเข่าลงตามกัน เพราะหากคุณหนูตายพวกเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้
“ทุกคนช่วยออกไปก่อน ขอทางให้ข้าด้วย!” มั่วเชียนเสวี่ยไม่เกรงใจ หลังได้รับอนุญาตก็ออกคำสั่ง ร่างบางเดินตรงไปที่หญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ทันที
บรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่รายล้อมต่างก้าวออกไปตามคำสั่งของหมัวมัว
มั่วเชียนเสวี่ยย่อตัวนั่งลงที่ด้านข้างของหญิงสาว ใช้ฝ่ามือขวาของนางวางราบบนส่วนล่างกระดูกหน้าอกของอีกฝ่าย จากนั้นจึงวางมือซ้ายทับไว้บนหลังมือขวาพลางคลำที่หน้าท้องของนางค้างไว้แล้วขยับเป็นจังหวะ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าหญิงสาวจะสำรอกน้ำออกมา
วางฝ่ามือข้างหนึ่งราบลงแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งกดลงไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังกระตุ้นชีพจร
“เจ้าช่างกล้าเสียจริง คุณหนูจากไปแล้ว เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาตีคุณหนูของพวกเรา” บ่าวรับใช้นางหนึ่งก้าวรุดไปข้างหน้าหวังจะเอาเรื่องมั่วเชียนเสวี่ย แต่กลับถูกหมัวมัวดึงออกไปก่อน
เมื่อเห็นว่าการทำเช่นนั้นไร้ประโยชน์ แต่นางจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
คิดได้ดังนั้นจึงเชิดคางของหญิงสาวขึ้นพร้อมกับบีบจมูก พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเป่าลมเข้าไปในปากของหญิงสาวช้าๆ เมื่อหน้าอกยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงผ่อนรูจมูกและกดหน้าอกด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อช่วยให้หายใจออก ทำซ้ำไปมาเป็นจังหวะ
“นะ นี่ ช่างไร้ยางอาย”
“น่ารังเกียจ…”
“ศีลธรรมอันดีเสื่อมทรามลงทุกวัน…”
แม้จะโกรธจนใบหน้าเขียวปั้ด แต่หมัวมัวยังคงยืนยันที่จะให้หญิงสาวผู้กล้าดำเนินการต่อ ส่วนนางทำได้เพียงคอยห้ามปรามคนที่จะเข้าไปใกล้
ถึงสตรีผู้นี้จะเป็นสามัญชน แต่กลับมีบุคลิกเฉพาะบางอย่างที่ไม่ธรรมดาและมีความเด็ดเดี่ยว แม้วิธีการช่วยชีวิตของนางจะดูแปลกตาไปสักหน่อย อย่างไรเสีย การเคลื่อนไหวพวกนั้นเป็นไปอย่างชำนาญ ทั้งการแสดงออกที่สงบเงียบและไม่ตื่นตระหนกต่อสายตาของทุกคน
เท่านี้ ใจที่กวัดแกว่งอยู่กลางอากาศก็พลันสงบลง นางเป็นหมัวมัวผู้ดูแลคุณหนูผู้เป็นบุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ นางย่อมมีประสบการณ์และเห็นโลกมาไม่น้อย
ฝูงชนต่างประหลาดใจมากแต่เพราะมีหมัวมัวอยู่ จึงทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เหล่าชายหญิงส่วนใหญ่หันหลังกลับทันทีเมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยแสดงพฤติกรรมหยาบคาย ทั้งไม่กล้ามองและเขินอายเกินกว่าจะลืมตาดู
ในขณะนั้นชายที่นั่งสอดแนมอยู่บนกิ่งไม้สูงพลางใช้สายตามองออกไปไกลๆ เพื่อที่จะได้เห็นสถานการณ์บนพื้นดินได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่ก็ทุบลงที่กิ่งไม้ซ้ำๆ จนกระทั่งกระดูกนิ้วของเขาส่งเสียงกรอบแกรบโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวคนนี้! หญิงสาวคนนี้กำลังจูบกับหญิงสาวอีกคนจริงๆ
น่า น่าชังนัก!
เขากระโดดลงจากต้นไม้ทันที พร้อมกับหันหลังกำลังจะจากไปแต่กลับหยุดชะงักแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง
เขาไม่ได้จะรอส่งนางขึ้นเกวียนของหลิวเหล่าซวนอย่างปลอดภัยแล้วค่อยจากไปหรอกนะ เพียงแต่เขายังรู้สึกไม่สบายใจ
“อึก…”
ทันใดนั้นหญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้นก็พ่นลมหายใจออกมาพลางลืมตาขึ้น
นางไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน การช่วยชีวิตคนยังได้บุญกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดยอดเสียอีก
การช่วยชีวิตคนไม่จำเป็นต้องได้รับรางวัล บางครั้งเพียงแค่ทำเพื่อความสบายใจก็พอและตอนนี้หญิงสาวยังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ภารกิจของนางก็เสร็จสิ้นลงแล้ว
มั่วเชียนจากไปอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม หวังมุ่งตรงไปยังลานจอดเกวียนของหลิวเหล่าซวนโดยเร็วที่สุด
ชายที่สง่างามบนกิ่งไม้รอเวลาที่มั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนเกวียน ก่อนที่เขาจะกัดฟันและตามจากไป
มั่วเชียนเสวี่ยแหงนหน้ามองฟ้า เพิ่งผ่านยามเว่ยไป ในเวลานี้หนิงเซ่าชิงยังอยู่ที่โรงเรียน ได้ที่ดินมาอย่างง่ายดาย จึงอยากแบ่งปันเรื่องราวให้เขาได้ฟังด้วย
ก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงเรียน มั่วเชียนเสวื่ยพลันพบเข้ากับเด็กนักเรียนที่กำลังเล่นกันอยู่ ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม เด็กคนนั้นก็พูดขึ้น “วันนี้ท่านอาจารย์หนิงไม่ได้มาหรอกขอรับ ท่านบอกว่าวันนี้จะขอลา”
ไม่ได้มาสอนอย่างนั้นหรือ เพราะอะไรกัน หรือว่า…
มั่วเชียนเสวี่ยตกใจกับการคาดเดาของตนเอง นางไม่แม้แต่จะรอฟังคำพูดต่อไปนี้ สองเท้ารีบวิ่งตลอดทางกลับบ้านพลางโทษตัวเอง
เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะว่านางมัวแต่ยุ่งอยู่กับธุระของตัวเอง สุขภาพของหนิงเซ่าชิงไม่สู้ดีนัก ครั้งที่แล้วเพื่อช่วยนางขัดมันงานแกะสลักจนทำให้เขาต้องอดหลับอดนอน นานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้เชิญหมอมาตรวจอาการและทำน้ำแกงบำรุงร่างกายให้เขาดื่ม
หลังจากก้าวเข้ามาที่ประตูก็พบว่าร่างสูงนั่งอยู่ในห้องโถง รู้สึกโล่งอกในทันที นางวิ่งฝ่าครึ่งหมู่บ้านในเพียงอึดใจเดียว ยามนี้นางเหนื่อยเกินกว่าจะหายใจ มั่วเชียนเสวี่ยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังขมวดคิ้วอยู่ แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากในตัวของเขาราวกับจะแช่แข็งนกทั้งตัวได้อยู่แล้ว
“เซียนเซิง…”
“เจ้าๆ… เจ้าไม่รักษาจรรยาบรรณของสตรี!” ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยจบ จู่ๆ หนิงเซ่าชิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ
มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงในทันที
เหตุใดเขาจึงเอ่ยว่านางไม่รักษาจรรยาบรรณของสตรี นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
พร้อมกับตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร” คนผู้นี้ช่างไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย นางอุตส่าห์เป็นห่วงเขาแทบตายแท้ๆ
ปกติแล้วมั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนที่หากใครดีมา นางก็จะดีตอบเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะนางรู้สึกผิดที่เขาทนอดหลับอดนอนเพื่อช่วยเหลือนางในครั้งก่อน นางคงพ่นคำด่ายาวเหยียดจนเขียนบทความได้ฉบับหนึ่งแล้ว