ทว่า มีเงาร่างหนึ่งที่เร็วที่สุด นั่นก็คือจิ่งซื่อจื่อที่รักน้องสาวดั่งชีวิต เขาเพิ่งจะกลับมาจากข้างนอก ได้ยินเสียงร้องตะโกนก็กระโดดลงน้ำไปทันที
ชั่วพริบตาก็ช่วยซูซูขึ้นมาได้แล้ว
ประโยคแรกหลังจากที่ท่านหญิงซูซูถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำคือ “ซูชี เจ้ามันสารเลว เจ้าน่ะสิโชคดีก็แล้วกัน”
คนรอบด้านพลันมึนงงกันไปหมด
ท่านหญิงวันๆ เอาแต่ปลอมตัวเป็นบุรุษออกจากบ้านเดินตามแม่ทัพซูต้อยๆ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในจวนอ๋องคุ้นชินและไม่ต้องปิดบังอะไรอยู่แล้ว
นี่มาถูกแม่ทัพซูโยนลงน้ำเสียแล้ว
ส่วนเพราะเหตุใดค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้นางจึงสวมเสื้อผ้าตัวเดียวโดนโยนลงน้ำนั้น ทุกคนต่างไม่กล้าคิด
ด้วยเหตุนี้องครักษ์ทุกคนและพวกคนรับใช้ รวมถึงทุกคน ณ ที่นั้นต่างพากันทำตัวจืดจางกันเงียบๆ ถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาก็แยกย้ายกันจนไร้เงาแล้ว
ทำเหมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยมาที่สระบัวแห่งนี้มาก่อนเลย
เมื่อซูชีที่แอบอยู่ในมุมมืดเห็นว่าท่านหญิงซูซูถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้ว จึงได้สะบัดชายเสื้อคลุมจากไปอย่างเงียบงันไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น
ตอนออกมาเขาพลันอารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย
ริมฝีปากที่ไม่เคยแย้มยิ้มอย่างแท้จริงสักครากลับหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ามอง
จิ่งซื่อจื่อมองทิศทางที่ซูชีเดินจากไปด้วยสีหน้าทะมึนดุจหมึก
ทว่ายามนี้กลับหาใช่เวลาที่จะไปตามเอาเรื่องซูชีไม่
น้องสาวของตนมีสภาพเช่นนี้ เขาจะไม่สนใจได้อย่างไร จิ่งซื่อจื่อจึงจำต้องถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองออกมาคลุมให้น้องสาวตัวเอง
ยามนี้ต่อให้เขาอยากจะระบายโทสะออกมาก็ระบายไม่ออก
ไม่ว่าจะมองสภาพน้องสาวอย่างไร ก็เหมือนปีนขึ้นเตียงไปอิงแอบแนบชิดคนเขาล้มเหลวจึงโดนโยนกลับมาอย่างไรอย่างนั้น
ทำเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ จิ่งชินอ๋องกับจิ่นหวังเฟยจึงมาถึงกันอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวซ้ำยังตัวเปียกชุ่มไปหมด ปากพึมพำก่นด่าซูชีไม่หยุด
หลังจากสบตากันแล้วก็กระจ่างแจ้งทันที
นี่…ลูกสาวสวมชุดยามวิกาลชั้นเดียวถูกส่งกลับมา…
ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะไปคุยเรื่องหมั้นหมายที่จวนตระกูลซู กำหนดจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย มิฉะนั้นหากปล่อยให้นางทำเช่นนี้ต่อไป อาจจะได้ขายหน้าอะไรอีกก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากส่งซูซูกลับห้องแล้ว สิ่งแรกที่จิ่งชินอ๋องพูดก็คือ
“ซูซู พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปจวนแม่ทัพเก้าประตูอะไรนั่นแล้ว พรุ่งนี้พ่อจะไปคุยเรื่องหมั้นหมายกับจวนตระกูลซูให้เจ้า จะหาคำอธิบายแทนเจ้าให้ หากซูชีเขาไม่อยากรับผิดชอบก็ฝันเอาได้เลย เจ้ารอเกี้ยวใหญ่แปดคนหามเข้าประตูมาก็พอ…”
ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดมากกัน ทุกคนต่างคิดว่าท่านหญิงซูซูอยากปีนขึ้นเตียงซูชี แต่โดนซูชีโยนกลับจวนมา
ทว่าต่อให้ปีนขึ้นเตียงล้มเหลว แต่ก็คือการปีนเตียงอยู่ดี
ซูชีย่อมต้องรับผิดอยู่แล้ว
ท่านหญิงซูซูอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก จำต้องเลือกที่จะเล่าความจริงออกไปและสาบานว่าจะไม่ออกไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวอีกแล้ว นางเปลืองน้ำลายจนคอแหบแห้งจึงได้เกลี้ยกล่อมไม่ให้พวกเขาไม่มายุ่งกับหนทางไล่ตามสามีของตนได้สำเร็จ
สุดท้ายและท้ายสุด ภายใต้สายตาของทุกคนที่ทั้งเดือดดาลทั้งระเบิดหัวเราะทั้งจนใจ ท่านหญิงซูซูอยากจะมุดดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด
…
สภาพอวิ๋นอิ๋นเป็นแบบนี้ก็ถือว่านางกลับไปพักที่บ้านไร่ต่อไป
เพื่อขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ยและเพื่อประจบเอาใจมั่วเชียนเสวี่ย อวิ๋นอิ๋นมองฟ้าอากาศก่อนจะทำขนมดับกระหายรูปแบบใหม่ให้มั่วเชียนเสวี่ย
ยามที่มั่วเชียนเสวี่ยกินขนม นางก็ยืนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ จากนั้นก็อาศัยโอกาสพูดคุยสัพเพเหระเรื่องนั้นเรื่องนี้กับมั่วเชียนเสวี่ย
คลื่นลมสงบ ครึ่งเดือนกว่าผ่านพ้นไป
ยามบ่ายวันหนึ่ง หนิงเซ่าชิงปลีกตัวจากธุระไม่ได้ จึงให้นกพิราบส่งข่าวมาให้มั่วเชียนเสวี่ยแทน
คณะทูตจากชายแดนตะวันตกมาถึงแล้ว!
ผู้มาเยือนคือชังมู่ เขาพาทูตจากเผ่ารั่วสุ่ยกับเผ่าเฮยมู่มาด้วย ยามนี้มาถึงชานเมืองแล้ว!
ในจดหมายของหนิงเซ่าชิงเขียนไว้ชัดเจน บอกอย่างกระจ่างแจ้งว่าคนของชายแดนตะวันตกมาถึงเมืองหลวงแล้ว คนแรกที่พวกเขาต้องการเยี่ยมเยือนก็คือนาง!
มั่วเชียนเสวี่ยตกอกตกใจกับข่าวคราวเช่นนี้ยิ่งนัก!
ก่อนหน้านี้นางได้ยินหนิงเซ่าชิงเปรยๆ เรื่องที่ชายแดนตะวันตกส่งคนเข้าเมืองหลวงอยู่เช่นกันแต่ไม่ได้สนใจ
หากคนชายแดนตะวันตกเข้าเมืองหลวงมาแล้วนางคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง แบบนั้นมันหลงตัวเองเกินไป
ทว่ายามนี้ทูลมาถึงชานเมืองแล้ว จะไม่ให้นางคิดได้อย่างไร
นางคิดไม่ออกว่าในช่วงเวลาที่กำลังตึงเครียดเช่นนี้คนของทั้งสองเผ่าของชายแดนตะวันตกจะมาด้วยเรื่องอะไร
และยิ่งคิดไม่ออกว่าพวกเขากำลังมาเมืองหลวงกันอย่างเอิกเกริกโจ่งแจ้ง ยังไม่ทันเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็มาเยี่ยมนางก่อนแล้ว ทำเช่นนี้ได้อย่างไร
หรือเพราะบุญคุณของท่านพ่ออย่างนั้นรึ
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยอ่านข่าวยาวเป็นพรืดในกระดาษเสร็จ จึงเรียกชูอีมาหา ให้นางเอากระดาษแผ่นนี้ไปเผาในเตาไฟ
ในจดหมายซองนั้นมีกระดาษหลายใบ นอกจากบอกข่าวแล้วยังมีความเห็นด้วย รวมถึงมีการวิเคราะห์เรื่องนี้ของหนิงเซ่าชิงอยู่ด้วย จึงไม่อาจตกสู่น้ำมือคนนอกได้
พอชูอีจากไป มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกถึงอวี่เสวียนขึ้นมา
“สืออู่! เจ้าไปเล่าให้อวี่เสวียนฟังที!”
อวี่เสวียนกับชังมู่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ และถูกตาต้องใจกัน ครานี้ชังมู่จะมา อวี่เสวียนรู้เข้าคงจะปรีดาไม่น้อยแน่
สืออู่รับคำสั่งแล้วจากไป เพียงไม่นานอวี่เสวียนในชุดรัดกุมก็มาปรากฏในลานสายตาของนาง
“คารวะคุณหนู!”
ความภาคภูมิใจหนึ่งเดียวของนักรบก็คือความจงรักภักดีและเคารพนบนอบที่มีต่อผู้เป็นนาย
“อืม” มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า นางชินกับการกระทำอยู่ในกรอบของอวี่เสวียนแล้ว
“อีกเดี๋ยวทูตจากชายแดนตะวันตกจะมาถึงแล้ว ครานี้ชังมู่ก็ติดตามมาด้วย เจ้าไปเตรียมตัวหน่อย อีกเดี๋ยวตามข้าไปด้วย”
อย่างไรเสียสวนหิมะก็เป็นสถานที่ที่สตรีเรือนท้าย หากมาใช้รับแขกคงไม่ค่อยสะดวก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจู่ๆ ก็รับแขกบุรุษเพศมากมายเช่นนี้ ยิ่งไม่สะดวกเข้าไปใหญ่
แม้ว่าบ้านไร่จะไม่ใหญ่ แต่ก็มีทุกสิ่งครบครัน มั่วเชียนเสวี่ยจึงกะว่าจะพาอวี่เสวียนไปพบปะผู้คนในโถงใหญ่ด้านหน้าแทน
อวี่เสวียนได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าคณะทูตของชายแดนตะวันตกมาถึงแล้ว อีกทั้งชังมู่ก็ตามมาด้วย ร่างนางพลันชะงักค้างไปทันที
อยู่ในเมืองหลวงมาเพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว อวี่เสวียนจะไม่คิดถึงคนในเผ่าได้อย่างไร นางจะไม่คิดถึงชังมู่ได้อย่างไร ความดีใจจึงพลุ่งพล่านขึ้นอย่างอดไม่ได้ แม้แต่ยามปกติที่ใบหน้าดวงนี้ไม่ยิ้มไม่แย้มยังประดับด้วยรอยยิ้มเต็มสีหน้า
แม้แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังสัมผัสได้ถึงความดีใจของนางได้ ในใจจึงปรีดาตามอวี่เสวียนไปด้วย
อวี่เสวียนทิ้งพี่ชายที่รักใคร่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กไป เพื่อมาเฝ้าคุ้มกันมั่วเชียนเสวี่ยในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ซาบซึ้งใจมากพออยู่แล้ว อวี่เสวียนได้พบหน้ากับคนในเผ่า ได้พบหน้ากับเจ้าของดวงใจตัวเอง นางไม่เพียงแต่จะไม่ขวางเท่านั้น ยังจะเสริมส่งด้วย!
หลังจากที่อวี่เสวียนขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ยอย่างปรีดาแล้ว อวี่เสวียนก็รีบออกจากห้องของมั่วเชียนเสวี่ยไป กลับมาที่ห้องของตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ใหม่ แม้ว่าจะเป็นชุดคล่องตัวเหมือนเคย แต่กลับมีความเป็นกุลสตรีขึ้นกว่าเดิม
ชูอีเป็นคนรอบคอบระมัดระวังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากเห็นกับตาว่ากระดาษแผ่นนั้นถูกเผาจนสิ้นจึงค่อยหันหลังออกจากครัว
ทว่าหลังจากที่นางจากไปแล้ว อวิ๋นอิ๋นที่แอบอยู่ในมุมมืดก็เดินออกมา แล้วจ้องเตาไฟที่กำลังโชติช่วงอย่างใคร่ครวญ