บนภูเขา หลูเจิ้งหยางกำลังดึงพลังของตัวเองจำนวนหนึ่งหลอกล่อองครักษ์ลับที่เฝ้าอยู่บนเขาจากไปได้สำเร็จ ก็สวมหน้ากากผียืนอยู่บนยอดเขารออวิ๋นอิ๋น
นางส่งสัญญาณมา แสดงว่ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน ดังนั้นเขาจึงได้มาหา
จะเป็นข่าวของป้ายไม้ดำหรือไม่
หลูเจิ้งหยางดีใจยิ่งนัก
เพียงไม่นานอวิ๋นอิ๋นก็ขึ้นมาถึง
และในชั่วขณะนั้นเอง หลูเจิ้งหยางที่เมื่อครู่ยังเย็นชาเหลือแสน ยามนี้กลับเปลี่ยนไปกลายเป็นคนดีอ่อนโยนดุจสายน้ำทันที!
“อวิ๋นอิ๋น ระหว่างขึ้นเขามาเหนื่อยหรือไม่”
อวิ๋นอิ๋นเหนื่อยนัก นางกลัวจะถูกใครเห็นเข้าจึงได้เดี๋ยวเร่งเดี๋ยวช้าขึ้นเขามาตลอดทาง ยามนี้จึงหอบแฮ่กๆ
แต่หลังจากได้ยินเสียงอ่อนโยนห่วงใยจากบุรุษคนนี้ก็พลันรู้สึกว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำลงไปมันคุ้มค่าแล้ว
เพราะนางต้องการได้ดวงใจของบุรุษผู้นี้
อวิ๋นอิ๋นส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ถือโอกาสเข้าใกล้บุรุษคนนี้ทั้งตัว
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ…”
ในความมืดมิดนั้นอวิ๋นอิ๋นกลับไม่เห็น ชั่วขณะที่กายนางเข้าใกล้บุรุษคนนั้น ร่างเขาพลันแข็งทื่อ มุมปากเม้มแน่นเผยความรังเกียจออกมาเล็กๆ
“เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะ ต่อไปนี้มีเรื่องอะไรก็อย่าได้รีบร้อนเช่นนี้นะ เจ้าเหนื่อยขึ้นมาข้าปวดใจนัก”
หน้ากากเย็นเยียบแนบหน้าผากของอวิ๋นอิ๋น แม้ว่าหน้ากากจะเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แต่อวิ๋นอิ๋นกลับรู้ดีว่าริมฝีปากของชายคนนี้กำลังจุมพิตหน้าผากนางอยู่
อวิ๋นอิ๋นเลือดลมพลุ่งพล่าน พร่ำเพ้อขึ้นมาว่า “เพื่อท่านแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่เหนื่อยทั้งสิ้น”
ความรักทำให้คนตาบอดและสมองเลอะเลือนได้จริงๆ อวิ๋นอิ๋นที่ฉลาดกับทุกเรื่องกลับตกลงสู่แหกับดักจอมปลอมที่บุรุษผู้นี้โยนมาให้อย่างไม่อาจถอนตัวได้
หลูเจิ้งหยางเก็บงำความรังเกียจในแววตา แล้วถามว่า “เจ้าเรียกข้าให้มาหาวันนี้มีธุระใดรึ”
อวิ๋นอิ๋นนึกถึงเรี่องสำคัญก็รีบปล่อยความรู้สึกในใจเอาไว้ก่อน แล้วรีบเล่าเรื่องที่นางเห็นในวันนี้ให้หลูเจิ้งหยางฟัง รวมถึงเรื่องที่นางแอบใส่ใจอยู่ข้างๆ ยามทูตซีจิ้งมาพบมั่วเชียนเสวี่ยด้วย
หลูเจิ้งหยางชะงัก คิดไม่ถึงว่าซีจิ้งจะปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยเพียงนี้ เข้าเมืองหลวงมาแล้วกลับไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันที แต่ไปพบมั่วเชียนเสวี่ยก่อน
ดูท่าแล้วจะดูถูกอานุภาพของป้ายไม้ดำนี้ไม่ได้เสียแล้ว
อวิ๋นอิ๋นเล่าจบก็เห็นหลูเจิ้งหยางกำลังก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พอดี
บนหน้ากากผีดำทะมึนไปหมดตัดกับความขาวบนลำคอ ช่างทิ่มแทงสายตาของอวิ๋นอิ๋น
จู่ๆ อวิ๋นอิ๋นก็รู้สึกว่าบุรุษคนนี้ดึงดูดใจยิ่งนัก
ครู่ต่อมาหลูเจิ้งหยางก็เงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ข้าจะให้คนไปจัดการ และจะทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นให้ถึงที่สุด!”
เมื่ออวิ๋นอิ๋นเห็นหลูเจิ้งหยางเอ่ยประโยคนี้ขึ้น สีหน้าเขาเคียดแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จึงเกิดความประหลาดใจขึ้นมาเล็กๆ
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายจึงได้เกลียดชาวซีจิ้งเช่นนี้ ให้นางหาป้ายไม้ดำก็เหมือนกัน เคียดแค้นเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปหมด
ตอนนี้ก็เหมือนกัน
ราวกับ…ราวกับว่าเทียนฉีเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นจึงจะสามารถชำระล้างความแค้นในใจเขาไปได้
“หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน องครักษ์ลับในบ้านไร่นี้มีมากยิ่งนัก เมื่อครู่ข้าก็ใช้คนจำนวนหนึ่งหลอกล่อให้ออกจากยอดเขาไป ภายหน้ามีเรื่องอะไรเจ้าค่อยมารายงานข้า”
แม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่อวิ๋นอิ๋นก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุไร้ผล แม้จะอาลัยอาวรณ์แต่ก็จำต้องปล่อยหลูเจิ้งหยางอย่างรู้ความ
“เช่นนั้น…คุณชายก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ทางอวิ๋นอิ๋นมีข่าวอะไรจะรีบบอกคุณชายทันทีเจ้าค่ะ”
“อืม”
หลูเจิ้งเหยาพยักหน้า ราวกับว่าความอ่อนโยนชั่วขณะเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หายลับไปในกลีบเมฆ
ไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย หันหลังใช้วิชาตัวเบาออกจากยอดเขาไปทันที
อวิ๋นอิ๋นมองหลูเจิ้งหยางจากไปอย่างลุ่มหลง สุดท้ายจำต้องทอดถอนใจอย่างจนใจแล้วเดินกลับมา
ในขณะเดียวกัน ณ จวนตระกูลหนิง ไฟในห้องหนังสือของหนิงเซ่าชิงกลับสว่างไสวในยามนี้
ยามนี้กุ่ยซากลับไม่อยู่คุ้มกันมั่วเชียนเสวี่ยที่บ้านไร่ แต่มายืนอยู่ตรงหน้าหนิงเซ่าชิงแทน เพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ให้เจ้านายเขาฟัง
ไม่เว้นแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ
หนิงเซ่าชิงได้ยินกุ่ยซาเล่าจบก็หรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายว่าไม่อยากจะเชื่อ
“ครานี้เห็นชัดเจนแล้วรึ”
“ขอรับ! ข้าน้อยไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป กลัวว่าจะถูกเห็นเข้า จึงจำต้องมองจากที่ไกลๆ แม้จะได้ยินเสียงเขาไม่ชัด แต่ท่าทีของเขา กิริยาท่าทางของเขาล้วนเหมือนหลูเจิ้งหยางทุกประการ อีกทั้งกระบวนท่าตอนจากไปของคนผู้นั้นยังเป็นวิชาตัวเบาย่ำหิมะไร้รอยด้วย เกิดจากกำลังภายในอันบริสุทธิ์ของหลูเจิ้งหยางแน่แท้ นับว่าปราดเปรียวว่องไว ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าบุรุษหน้ากากผีลึกลับผู้นี้ต้องเป็นหลูเจิ้งหยางแน่นอน!”
กุ่ยซาเอ่ยจบก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ตอนที่หัวหน้าตระกูลยังไม่ได้สืบทอดกิจการขนาดใหญ่ประจำตระกูล ยังออกไปเที่ยวเล่นหาประสบการณ์อยู่ก็เคยผูกมิตรเป็นสหายกันกับหลูเจิ้งหยางที่ตอนนั้นยังหนุ่มไม่เป็นโล้เป็นพาย อีกทั้งทั้งสองเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นเพื่อนเก่า เรียกขานกันว่าพี่ว่าน้องด้วย
พวกเขาต่างรู้ดี
ซ้ำพวกเขายังเคยร่วมมือกันทำงานกับหลูเจิ้งหยางด้วยซ้ำ
หัวหน้าตระกูลเป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก ยามนี้จู่ๆ มาได้ยินว่าพี่น้องที่เขาภูมิใจในอดีตกลับกลายมาเป็นคนร้ายที่ใช้ดาบแทงข้างหลังกัน จะรับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อันที่จริงหนิงเซ่าชิงก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้ไปเสียทีเดียว
อย่างไรเสียแรกๆ เชียนเสวี่ยก็เอ่ยถึงหลูเจิ้งหยางที่ผิดปกติไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ระวังมากขึ้น และเตรียมป้องกันมากขึ้นด้วย
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม้แต่เชียนเสวี่ยเขาก็ยังไม่ได้บอก
นั่นก็คือในใจเขาหวังไว้มากว่าหลูเจิ้งหยางจะเป็นผู้บริสุทธิ์
เรื่องราวทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขาทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงให้กุ่ยซาไปยืนยันตัวตนของหน้ากากผีอีกครั้งว่าใช่หลูเจิ้งหยางหรือไม่
ความจริงทุกอย่างปรากฏตรงหน้า ยามนี้ดูท่าแล้วเห็นได้ชัดเลยว่าหลูเจิ้งหยางกำลังทำให้เขาผิดหวังเสียแล้ว…
“ออกไปเถิด”
มืดค่ำเพียงนี้แล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะทรมานพวกกุ่ยซาให้วิ่งไปนั่นมานี่ แต่ยามนี้คนที่เฝ้าบ้านไร่แทนกุ่ยซาก็คือเตาหนู
แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะบอกให้เขากลับไปพักผ่อน ไม่ต้องกลับไปกลับมา
แต่กุ่ยซาก็ยังคงตรงกลับไปที่บ้านไร่โดยไม่สนความลำบากอยู่ดี
ถ้อยคำที่คุณหนูใหญ่มั่วเคยพูดไว้เมื่อคราก่อนเขายังจำได้จนถึงวันนี้
หากเตาหนูก็ชอบชูอีเหมือนกันกับเขาจริงๆ เขาจะกล้าให้เตาหนูรั้งอยู่ในเรือนเสวี่ยหว่านของบ้านไร่ได้อย่างไร
นั่นมันเรียกหมาป่าเข้าห้องชัดๆ เลยมิใช่หรือ
เรื่องโง่ๆ เช่นนี้เขาไม่มีทางทำหรอก
ยามนี้คนที่เข้าเวรกลางคืนคือสืออู่ เตาหนูในยามนี้กำลังอยู่ในที่มืดมองสืออู่ที่เหม่อลอย จู่ๆ ก็โดนตบหลังกะทันหันเข้า!