ตั้งแต่วันที่ส่งมั่วเชียนเสวี่ยไปบ้านไร่ ซูชีก็ไม่ได้เจอนมั่วเชียนเสวี่ยอีกเลย
นี่ก็กว่าครึ่งปีแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่านางอยู่ที่บ้านไร่จะเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่รู้ว่านางจะยังโทษตัวเองว่าบุ่มบ่ามอยู่หรือไม่
เขา…จะยังมีโอกาสรอนางได้อีกหรือไม่
ซูชีหยุดฝีเท้าอย่างใจลอย ซูซูที่อยู่ด้านหลังเขากลับไม่ได้ใจลอยตาม
นางยังจำความแค้นที่ตกน้ำครานั้นได้
“เจ้าคิดถึงนางรึ พวกเราไปเยี่ยมนางที่บ้านไร่กันดีหรือไม่”
ซูชีคล้ายถูกแทงใจดำ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน ก่อนหันหน้ามาถลึงตาใส่ซูซู
เยี่ยมอย่างนั้นรึ ไปเยี่ยมในฐานะใดล่ะ
ตั้งแต่สารภาพครานั้น ระหว่างทั้งสองก็เหลือแค่ความกระอักกระอ่วนใจ…
ถ้อยคำของซูซูทิ่มแทงใจซูชีเข้าอย่างจัง
ยามนี้นางอยากจะหยิกเขา หยิกให้เขาตื่น
มีสาวงามอย่างนางเช่นนี้คอยตอแยเขา เขาไม่เหลียวแลสักแวบ วันๆ เอาแต่คิดละเมอไปไกลจนสุดขอบฟ้า
ซูซูเมินสายตาประกายคมกริบดุจกระบี่ที่ถลึงมองจากซูชี นางฝึกทำตัวเป็นกำแพงเหล็กผนังสำริดได้ตั้งนานแล้ว
จึงยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยต่อว่า “เอาอย่างนี้สิ ข้าจะไปเยี่ยมนางแทนเจ้าเอง”
นางไม่เคยกล่าวโทษมั่วเชียนเสวี่ยเลย ไม่ได้ไปหามั่วเชียนเสวี่ยมานานแล้ว คิดถึงอยู่ไม่น้อย
ทว่ายามนี้การจับตามองซูชีไว้ค่อนข้างสำคัญทีเดียว
“ข้าไม่ไป และไม่ให้เจ้าไปด้วย” ซูชีโพล่งออกไป
ซูซูสีหน้าปรากฏความน้อยใจ ปากนางขานรับว่าอืม แต่ในใจกลับแย้มยิ้มกว้าง
คำว่า ‘ไม่ให้’ ของเขาหมายความว่าในใจเขามองตนเป็นคนกันเองแล้วใช่หรือไม่!
เมื่อก่อนซูชีแทบจะทำตัวเองให้หายไปจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว
ซูชีเอ่ยจบก็หันหลังพรวดสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว ท่านหญิงซูซูแล่บลิ้นอย่างซุกซน ก่อนจะรีบเดินตามไปติดๆ
ซูชีได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาด้านหลังก็ทอดถอนใจอย่างเสียไม่ได้ กูเสี่ยวซูผู้นี้มักจะเร่งเพลิงโทสะเขาให้ลุกโชนจนถึงขีดสุดได้เสมอ
ซูชีที่ทอดถอนใจแอบพึมพำในใจว่า มีแต่สตรีและคนถ่อยที่เข้าด้วยยากหนอ
เขาบอกกับตัวเองว่ากูเสี่ยวซูเป็นคนถ่อยในบรรดาสตรี เขาต้องเมินแล้วเมินอีก ขอเพียงนางเจออุปสรรคอีก นางย่อมล่าถอยกลับไปแน่นอน
เขาไม่มีทางชอบนางเด็ดขาด และไม่มีทางรักนางด้วย และยิ่งไม่มีทางสู่ขอนาง ต่อให้สู่ขอกลับมาเป็นเครื่องเรือนประดับบ้านก็ไม่มีทาง
แม้ว่าเรื่องฮวาหูเตี๋ยจะจัดการไปได้ขั้นหนึ่งแล้ว แต่ในใจซูชีกลับมีปมไปเสียแล้ว
วันที่สองของการคุมตัวฮวาหูเตี๋ย แม้แต่ตรวจสอบยังไม่มี พี่ชายคนดีของกูเสี่ยวซูอย่างซื่อจื่อแห่งจวนจิ่งชินอ๋องก็ส่งนางโลมชั้นต่ำที่ทั้งชราทั้งอัปลักษณ์ไปให้ฮวาหูเตี๋ยแปดคน
วันนั้นซูชีเพิ่งกลับมาจากลาดตระเวนพอดี เขากลับมาศาลาว่าการ ได้ทักทายกับจิ่งซื่อจื่อ
จิ่งซื่อจื่อแค่นเสียงเฮอะใส่เขาหนักๆ แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ทว่านางโลมที่ทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์ด้านหลังจิ่งซื่อจื่อต่างอ้าปากกว้างแย้มยิ้มให้เขาโดยพร้อมเพรียง แทบจะทำเอาเขาอาเจียนออกมา
ดูท่าแล้วจิ่งซื่อจื่อคงเสียเวล่ำเวลาหานางโลมแปดคนที่ทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์นี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
เมื่อก่อนจิ่งซื่อจื่อดูแลแม่ทัพเก้าประตู จุดนี้นับว่ามีเกียรติอยู่บ้าง ใช้วิธีนิดหน่อยจัดการกับโจรบ้ากามแห่งยุทธภพคนหนึ่ง น่าอู่ฉังย่อมทำเป็นหลับหูหลับตาอยู่แล้ว
เรื่องราวภายหลังซูชีไม่ต้องไปสนใจ เพราะย่อมมีคนมารายงานเขาอยู่แล้ว
จิ่งซื่อจื่อไม่ต้องติดสินบนอะไรทั้งนั้น เขาสั่งการหัวหน้าพัศดีได้โดยตรงให้จับฮวาหูเตี๋ยขังไว้ที่ห้อง ‘หรูหรา’ ที่ติดตั้งไว้ในคุก แล้วให้ใช้ยาสกัดจุดไม่ให้ฮวาหูเตี๋ยขยับได้
ได้ยินว่ายานั้นได้มาจากการค้นตัวฮวาหูเตี๋ยเอง เขาเป็นคนปรุงขึ้นโดยเฉพาะ
ผู้ถูกยาทั่วทั้งร่างจะไร้เรี่ยวแรง แต่สติกลับแจ่มชัดยิ่งนัก แต่ความร้ายกาจของยานี้ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ได้ยินว่าผู้ถูกยาจะอ่อนยวบไปทั้งร่าง แต่มีอยู่ตำแหน่งหนึ่งที่ไม่อ่อนไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้ยัง…
ยังมีฤทธิ์ที่เพิ่มความคึกคักอีกด้วย และประสาทสัมผัสของตำแหน่งนี้ยังไวต่อความรู้สึกจากยามปกติมากกว่าสิบเท่า
นางโลมชั้นต่ำทั้งแปดคนไหนเลยจะเคยเห็นบุรุษผิวพรรณเนียนละเอียดอย่างฮวาหูเตี๋ยมาก่อน แม้ว่าจะให้พวกนางในทำงานคุก แต่พวกนางก็มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่ไหนแต่ไรมามีแต่คนโหดร้ายทารุณใส่พวกนาง มีสิทธิได้เล่นพวกนาง พวกนางไหนเลยจะเคยมีสิทธิได้ทารุณและเล่นคนอื่น อีกทั้งยามนี้พวกนางก็ทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์ ไม่มีใครสนใจมานานแล้ว โหดเหี้ยมดุจเสือร้ายต่างล้วน ‘หิวโหยเหลือแสน’ มาแรมปี
เห็นบุรุษรูปงามเพียงนี้จึงย่อมพากันใช้เรี่ยวแรงและฝีมือทั้งหมดกันสุดตัว เพื่อปรนนิบัติบุรุษรูปงามตรงหน้าผู้นี้
ทั้งแปดนางผลัดกันขี่ม้า สารพัดความโหดเหี้ยม
เรื่องที่ฮวาหูเตี๋ยถนัดดันถูกคนที่ถนัดกว่าคิดบัญชีเข้าเสียแล้ว
ภายในห้อง ‘หรูหรา’ คึกคักตลอดทั้งคืน คลอเคล้าด้วยเสียงโหยหวนทั้งคืนเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อนางโลมทั้งแปดคนออกมา สีหน้าพวกนางต่างแดงผุดผ่องดุจสาววัยแรกแย้ม แข็งขาอ่อนเปลี้ยแทบยืนไม่อยู่ นี่คือตัวอย่างของการกินจนอิ่มหนำสำราญ
ทว่าทั่วทั้งร่างของฮวาหูเตี๋ยไม่มีที่ว่างเลย นิ้ว แก้ม หน้าอก…ตั้งแต่หัวจรดเท้าเต็มไปด้วยรอยกัดและรอยฟันที่เนื้อหนังปริแตกจนเลือดซิบ
เมื่อเจ้าหน้าที่ศาลาว่าการเข้าไป ขอบตาเขาดำคล้ำ แม้แต่ดวงตาก็ไม่ขยับไหว เสียเรี่ยวแรงออกไปมากและเติมเต็มเข้ามาน้อย ฟ้ายังไม่ทันสางก็ขาดใจตาย
เวลาบุรุษจะฆ่าคนไหนเลยจะใช้วิธีการเช่นนี้ หากบุรุษต้องโทษมหันต์ ก็ต้องฟันประหาร
วิธีการตายที่ละเอียดแยบคายเช่นนี้ ย่อมมาจากความคิดของสตรีอยู่แล้ว
คนสุดท้ายที่ฮวาหูเตี๋ยไปล่วงเกินเข้าคือกูเสี่ยวซู ความคิดนี้จึงย่อมมาจากกูเสี่ยวซู
ชายใดแต่งกับสตรีอย่างกูเสี่ยวซูไป ล้วนต้องมีความกล้าหาญหมื่นเท่า ผนวกกับความใจกล้าอันแข็งแกร่งที่เต็มเปี่ยม หากอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ดี พี่ชายผู้โหดเหี้ยมดุจเสือทั้งสามคนของนางก็จะพุ่งเข้าไปถลกหนังเลาะกระดูก…
พอซูชีนึกถึงสภาพการตายของฮวาหูเตี๋ยขึ้นมาก็พลันตัวสั่น ฝีเท้าที่เดินจากไปพลันรวดเร็วขึ้นทันที
ทว่าตราบใดที่เขาไม่จากเมืองหลวงไป ไม่จากศาลาว่าการแม่ทัพเก้าประตูไป เขาก็จะสลัดหางน้อยๆ นี้ไม่หลุด
ขันทีที่นำราชโองการมาถ่ายทอดจากไปได้ไม่นาน ถงจื่อจิ้งก็กลับมา
หลายวันมานี้เขาเอาแต่ไปสืบและเจรจาต่อรองเรื่องสีเคลือบแก้ว
หนิงเซ่าชิงต่อต้านเรื่องเรือนกระจกอยู่ในใจ แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่อยากรบกวนถงจื่อจิ้ง แต่ก็อยากหาเรื่องดึงความสนใจของถงจื่อจิ้ง
มิฉะนั้นวันๆ เขาเอาแต่เฝ้าหน้าประตู นางเห็นใบหน้ามืดมนของหนิงเซ่าชิงแล้วก็สงสารและเจ็บปวดเช่นกัน
ทว่า ถงจื่อจิ้งก็ช่วยนางหาช่องทางซื้อสีเคลือบแก้วได้เช่นกัน เพียงแต่จำนวนที่ถงจื่อจิ้งหามาได้กลับไม่เพียงพอเลยสักนิด!
ยามนี้สีเคลือบแก้วยังไม่เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คนส่วนใหญ่ใช้สีเคลือบแค่ทาพวกเครื่องประดับแปลกใหม่เท่านั้น
ตระกูลที่ร่ำรวยเงินทองมากๆ ต่างหากที่จะมีฉากบังลมเคลือบสีหรือไม่ก็บานหน้าต่างเคลือบสี
ได้ยินว่าในวังหลวงใช้สีเคลือบมาทำหน้าต่าง นอกจากตำหนักบรรทมของฝ่าบาทแล้วก็มีเพียงอวี้กุ้ยเฟยที่ได้รับเกียรตินี้
ร้านค้าเหล่านั้นที่ถงจื่อจิ้งหามา สีเคลือบที่พวกเขากักตุนไว้ไม่เพียงพอให้มั่วเชียนเสวี่ยใช้เลยสักนิด
มั่วเชียนเสวี่ยกลุ้มอกกลุ้มใจ สีเคลือบยุคปัจจุบันมีกันแพร่หลายถึงไหนต่อไหนแล้ว เทคนิคการทำแก้วก็หาได้จากอินเตอร์เน็ตด้วย