เมื่อเข้าไปในห้องโถง มั่วเชียนเสวี่ยก็มองหาหนิงเซ่าชิงท่ามกลางผู้คนตามความเคยชิน
พอเงยหน้าขึ้น ก็สบเข้ากับสายตาของหนิงเซ่าชิง
ก้นบึ้งนัยน์ตาเขามีประกายโทสะซ่อนเร้นเหมือนกับนาง แต่ที่มากกว่านั้นคือ ความเป็นห่วง ความต้องการปลอบโยน และสนับสนุน
ตอนนี้จิตใจที่กระสับกระส่ายได้รับการบรรเทา
มั่วเชียนเสวี่ยพ่นลมหายใจแห่งความอึดอัดใจในทรวงอกออกมา
นางไม่ได้ตัวคนเดียว! นางยังมีคนที่อยู่ข้างกาย ลงเรือลำเดียวกัน และร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกันอีกคนหนึ่ง!
นัยน์ตาคู่งามกลอกไปมา แล้วหยุดนิ่งบนร่างของคนที่ส่งเสียงดังออกมาเมื่อครู่
นางไม่คุ้นหน้าคนที่มาส่งข่าว เขาสวมเครื่องแบบของกองพันทหารม้า คาดว่าน่าจะเป็นทหารของกองพันทหารม้าที่อยู่นอกบ้านไร่
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่า ในวันมงคลเช่นนี้ คนที่เฝ้าประตูคงนึกว่าเขามาส่งของขวัญแทนใต้เท้าของพวกเขา จึงไม่ได้ขัดขวาง
เขาเอ่ยเสียงดังขึ้นอีกเมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยออกมา “คุณหนูใหญ่ ไม่ได้การแล้วขอรับ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว…”
ไม่ต้องให้มั่วเชียนเสวี่ยออกปาก ก็มีคนออกหน้าแทนนาง
เพี๊ยะ พ่อบ้านมั่วสะบัดฝ่ามือใส่ผู้มาเยือนครั้งหนึ่ง “โหวกเหวยโวยวายเช่นนี้ น่าอับอายเสียจริง!”
นายทหารถูกตบจนมึน ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง พ่อบ้านมั่วก็ประณามเสียงเฉียบขาดอีกครั้ง
“เจ้านับเป็นตัวอะไรได้ ถึงกับกล้าบุกรุกเข้ามาในห้อง แล้วตะโกนเสียงดัง เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้คือวันอะไร กระทั่งรองผู้บัญชาการเหวยของพวกเจ้ามา ก็ยังปฏิบัติต่อคุณหนูด้วยความเคารพ…เจ้าไม่รู้หรือว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าคือสิ่งใด หากว่าทำให้คุณหนูใหญ่ตกใจจนป่วยขึ้นมา เกรงว่าศีรษะของเจ้าก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว…”
ในตอนนี้ และสถานการณ์เช่นนี้ มีเพียงแต่ให้พ่อบ้านออกหน้าตำหนิ พร้อมกับทำความเข้าใจเรื่องราวให้ชัดเจน ถึงจะสงบความวุ่นวายตรงหน้านี้ได้
หากมั่วเชียนเสวี่ยถามก่อน จะไม่เป็นการลดฐานะลงหรอกหรือ
แน่นอนว่าในตอนนี้ คนอื่นๆ ล้วนไม่มีสิทธิ์เอ่ยอันใด
นายทหารถูกตบ จากนั้นก็ถูกประณาม จึงได้สติขึ้นมาทันที คราวนี้ถึงรู้จักกลัวแล้ว เขาพลันมีท่าทางห่อเหี่ยว
ทุกคนที่มาร่วมพิธีหมั้นหมายในบ้านไร่ เริ่มกระซิบกระซาบ คาดเดา และแสดงความคิดเห็นกันแล้วว่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ห้องโถงที่เดิมเงียบสงบ พลันมีเสียงผู้คนเอะอะโวยวาย คึกคักยิ่งกว่าในตลาดสดเสียอีก!
พ่อบ้านมั่วมองนายทหารที่ถูกทำให้ตระหนกตกใจ แต่เมื่อได้รับสัญญาณทางสายตาจากมั่วเชียนเสวี่ย ก็ตวาดเสียงดัง “มีเรื่องอันใดกันแน่ ยังไม่รีบเอ่ยอีก!”
“ไม่ได้การแล้วขอรับ! ทูตที่มาจากชายแดนตะวันตกทั้งหมดถูกคนลอบสังหารแล้ว!”
ตึง!
ข่าวนี้ร้ายแรงเกินไปจริงๆ!
มั่วเชียนเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง นางรีบหันหน้าไปมองชังมู่!
คนจากชายแดนตะวันตกมาเมืองหลวงเพื่อนาง และรั้งรอไม่ไปจากเมืองหลวงก็เพื่อนาง
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในตอนนี้ นางจะอธิบายกับสองชนเผ่า และสองแม่ทัพของชายแดนตะวันตกว่าอย่างไร! นางจะใจสงบได้เช่นไร! นางจะไม่ละอายใจต่อบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วได้อย่างไร…
ชังมู่นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความโมโห ในความไม่อยากจะเชื่อผสมปนเปไปด้วยเพลิงโทสะโหมกระหน่ำ
“ใคร…เจ้าได้ยินจากใคร”
เรื่องมาถึงตอนนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจให้พ่อบ้านมั่วขวางอยู่ด้านหน้าแล้ว ไม่มีใครมีคุณสมบัติในการเอ่ยถามประโยคนี้ตรงนี้มากกว่านาง
ตอนนี้บนร่างนางแผ่รังสีสังหารที่กระทั่งตัวนางเองก็ไม่รู้สึกถึงมันออกมา
รังสีสังหารนี้คล้ายกับดาบแหลมคมเล่มหนึ่ง แทงเข้าไปในหัวใจของนายทหารส่งข่าว
เขาตัวสั่นเทา แต่กลับจำเป็นต้องเอ่ยตอบ
“ขุนนางในที่ว่าการแม่ทัพเก้าประตูที่สืบคดีกำลังมุ่งหน้ามายังบ้านไร่ ข้าน้อยได้รับสาร ก็รีบมาส่งข่าวทันที เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยมิทราบ คุณหนูใหญ่โปรดอภัยให้ด้วยขอรับ”
วาจานี้กล่าวอย่างเกรงใจเกินไปแล้ว
เขาไม่กล้าเอ่ยว่า มีคนส่งม้าเร็วมาที่ค่าย เขารับเงินแล้ว ถึงได้มาส่งข่าว
คนผู้นั้นยังกล่าวอีกว่า รอเขาส่งข่าว คุณหนูใหญ่มั่วได้รับข่าวแล้ว ก็จะให้เงินเขาเป็นรางวัล
เขาโง่จริงๆ ถูกเงินบังตา การมาส่งข่าวการสูญเสียในเวลาเช่นนี้ ยังจะมีเงินรางวัลอะไรอีก ไม่ถูกตัดศีรษะก็โชคดีมากแล้ว…
นายทหารที่มาส่งข่าวไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง
เขาไม่เพียงแต่ไม่กล้าหายใจแรง พิธีหมั้นหมายที่เดิมเต็มไปด้วยความยินดี เหล่าแขกผู้มีเกียรติที่เดิมวิจารณ์กันเซ็งแซ่ ก็เงียบเป็นเป่าสากทันที
คนที่มาที่นี่ ผู้ใดบ้างที่ไม่เฉลียวฉลาด ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ความเกี่ยวข้องระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับชายแดนตะวันตก
แววตาคมปลาบของหนิงเซ่าชิงวาดผ่านนายทหารที่มาส่งข่าวแวบหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปข้างกายมั่วเชียนเสวี่ย แล้วโอบนางเข้ามากอด โดยไม่สนใจว่าทุกคนจะอยู่ที่นี่ด้วย
“เชียนเสวี่ยวางใจ ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
เขาจะไม่รู้สภาพจิตใจของมั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้ได้อย่างไร เกรงว่าคนที่อยู่ที่นี่ แม้ว่าจะเป็นชังมู่ ก็ไม่มีทางรู้สึกเช่นเดียวกันกับมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ในตอนนี้คล้ายกับสัตว์ร้ายตัวน้อยๆ ที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่ง นางกัดฟันแน่น มือจับอาภรณ์ของหนิงเซ่าชิงแน่น กระทั่งนิ้วมือก็สั่นระริก
ล้วนเป็นเพราะนาง! ล้วนเป็นเพราะนาง!
หากไม่ใช่เพราะนาง ทูตของชายแดนตะวันตกจะตายได้เช่นไร และจะถูกคนลอบสังหารได้อย่างไร
“เช่นนั้น…แม่ทัพจางเล่า” มั่วเชียนเสวี่ยรีบเงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนหนิงเซ่าชิง โอบกอดความหวังเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ ขณะมองไปทางคนส่งข่าวด้วยสีหน้าตึงเครียด
นางยังจำรูปร่างหน้าตา ท่าทางป่าเถื่อน เสียงดังสนั่นของแม่ทัพจางได้ ยังมี แม้จะกล่าววาจาหยาบคาย ไร้อารายธรรม แต่กลับมีนิสัยละเอียดอ่อน และมีเหตุผลที่ถูกต้อง!
วันนี้เป็นวันพิธีหมั้นหมายของนางกับหนิงเซ่าชิง มีแค่ชังมู่ที่มา! เป็นเพราะพวกแม่ทัพจางไม่สนิทสนมกับตนเอง และไม่ชื่นชอบพิธีการโบราณ กล่าววาจาสุภาพโดยนิสัย ดังนั้นจึงไม่ได้มา เพียงแค่ให้ชังมู่เป็นตัวแทนมอบของขวัญล้ำค่าอย่างหนึ่งแทนพวกเขา
นายทหารที่มาส่งข่าวกัดฟันเอ่ย “เรื่องนี้ข้าน้อยมิทราบขอรับ ข้าน้อยรู้เพียงแค่คณะทูตจากชายแดนตะวันตก…ถูกคนลอบสังหารเท่านั้น…”
ตอนนี้เขาเกลียดคนที่ให้เขามาส่งข่าวอย่างยิ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยหลับตาลงด้วยความเศร้าซึม ไม่กล่าววาจาใดอีก
ส่วนหนิงเซ่าชิงก็ตบไหล่ปลอบมั่วเชียนเสวี่ย แล้วหันกลับไปสบตากับบิดาตนเองแวบหนึ่ง
เรื่องนี้ ผิดปกติ!
ทำไมทูตจากชายแดนตะวันตกถึงได้ประสบกับการลอบสังหาร ไม่เร็วไม่ช้ากว่าวันนี้วันหนึ่ง แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นในวันหมั้นหมายของตระกูลหนิงและตระกูลมั่วของพวกเขา?
อีกทั้ง พวกเขาก็ไม่ได้ประโคมข่าวเรื่องการหมั้นหมายในวันนี้ แขกของมั่วเชียนเสวี่ยก็เพิ่งจะได้รับเทียบเชิญ คนที่เชิญมาก็ไม่เยอะ
ในความคิดของหนิงเซ่าชิง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีคนตั้งใจสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขาสองตระกูล!
ทว่าคนผู้นั้น…เป็นใครกัน?
ภายในห้องโถงไร้ซึ่งความยินดีและคึกคักก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องเลวร้ายเช่นนี้เรื่องหนึ่ง
ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปดูแลสภาพจิตใจของคนเหล่านี้
ทว่า แม้ว่าแขกผู้เยือนจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครเลือกจะจากไปสักคน!
ไม่ใช่ว่าไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมกับทั้งสองตระกูล แต่กำลังรอคนของแม่ทัพเก้าประตูมาถึง สิ่งสำคัญของพวกเขาคือ ดูเรื่องสนุก ฟังข่าวคราว!
เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก ใหญ่ตรงที่สั่นคลอนถึงรากฐานของแว่นแคว้น เล็กก็แค่พยายามหาสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าเป็นความรื่นเริงของชนชั้นสูงเท่านั้นเอง