ตอนที่ 61 พบกับคำสัญญาอันปวดใจ (2)
รถม้าคันหนึ่งจอดลงตรงท่าเรือ สาวรับใช้สองคนกระโดดลงจากรถ จากนั้นวางเก้าอี้ตัวเล็กลงที่พื้น ก่อนจะมีหมัวมัวคนหนึ่งประคองหญิงสาวท่าทางสง่างามสวมหมวกเหวยเม่า[1]เดินลงมาจากรถ
เมื่อเปิดการสัญจรทางน้ำ การค้าขายที่ท่าเรือก็เปิดอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่ามีผู้คนเดินทางไปมามากมาย ทั้งชายหนุ่มหญิงสาว มองไปช่างครึกครื้นยิ่ง
แต่กระนั้น เมื่อมีผู้มาเยือนซึ่งดูสูงส่งงดงามเช่นนี้ ก็ยังคงกลายเป็นจุดสนใจและแต่งเติมให้ฉากนี้งดงามยิ่งขึ้น
เมื่อแม่นางผู้เลอโฉมนั้นลงมาจากรถ หมัวมัวที่อยู่ข้างกายก็กล่าวบางสิ่งออกมา จากนั้นสาวรับใช้นางหนึ่งจึงเดินไปข้างกายหวังเทียนซงเอ่ยถามว่า “พี่ชาย ไม่ทราบว่าเจ้านายของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”
“หืม? จะหาเจ้านายของเรารึ นางกลับไปเสียแล้ว” หวังเทียนซงคิดไม่ตก หนิงเหนียงจื่อเป็นเพียงสตรีชาวบ้านที่ไม่มีรากฐานใด นางรู้จักสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นนี้ได้อย่างไร
สาวรับใช้เอ่ยขอบคุณก่อนจะหันหลังเดินกลับไปรายงาน
เจี่ยนชิงโยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเบาๆ ว่า “ซื่อฉิน เจ้าจงไปสืบดูว่าเหนียงจื่อผู้นั้นบ้านช่องเรือนนอนอยู่ที่ใด ไว้วันหลังเราจะเดินทางไปขอบคุณนางใหม่”
น้ำเสียงของนางสดใสชัดเจน ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกสง่านัก
“เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่” ซื่อฉินเดินออกไป จากนั้นเจี่ยนชิงโยวจึงได้มองไปทางแม่น้ำแล้วเดินหน้าไปสองสามก้าว
แต่ละย่างก้าวของนางช่างงดงามอ่อนช้อย ชายกระโปรงไม่ได้พัดปลิวหรือทำให้เกิดฝุ่นแม้แต่น้อย ทำให้มองดูสง่างดงาม
หยวนหมัวมัวเดินติดตามไปข้างหลังนางอย่างช้าๆ นางกล่าวออกมาอย่างเห็นใจว่า “ให้บ่าวเดินทางไปขอบคุณแทนก็ได้เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่มีความตั้งใจเช่นนี้นับว่าบุญแล้ว เหตุใดจึงต้องยืนกรานจะเดินทางไปด้วยตนเองเช่นนี้เจ้าคะ อากาศก็หนาวเหน็บ หากไม่สบายขึ้นมาคงจะลำบากนะเจ้าคะ!”
“พระคุณในการช่วยชีวิตข้าควรจะตอบแทนด้วยตนเอง หมัวมัวเองก็ได้กล่าวว่าแม่นางผู้นั้นดูท่าทางสง่างามยิ่ง หากผูกมิตรกันเอาไว้คงจะดีไม่น้อย”
“ไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนูใหญ่ นางเป็นผู้ใดมาจากไหนก็ไม่รู้ ส่วนคุณหนูสูงส่งเพียงนี้ จะลดตัวลงไปไม่ได้นะเจ้าคะ”
“สูงส่งอะไรกัน ข้าเลือกไม่ได้ต่างหากเล่า ไม่ต่างอันใดกับนกที่ถูกขังไว้ในกรงเลย” น้ำเสียงของนางดูหม่นหมอง
เจี่ยนชิงโยวเดินไปยังริมน้ำอย่างไม่เร่งรีบ โดยมีหยวนหมัวมัวรีบตามเข้าไปประคองไว้ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ไม่ได้นะเจ้าคะ ที่นั่นลมแรงนัก”
“ไม่เป็นไร…” นางต้องการจะออกมากินลม และหวังว่าสายลมนี้จะพัดพาให้นางตื่นจากฝันสักที
นางพยายามเอาอกเอาใจบิดามารดา พยายามร้องขอเหล่าไท่จวินว่าบุญคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้นั้น นางจะต้องเดินทางมาขอบคุณด้วยตนเองจึงจะแสดงถึงความจริงใจ! ทั้งที่ความจริงแล้ว นางไม่ได้เพียงต้องการมาให้สายลมเย็นที่นี่พัดพาให้นางตื่นขึ้นจากฝันหรอกหรือ
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วันที่ดอกท้อผลิบานลอยไปทั่วท้องนภา แม้เพียงเสี้ยววินาทีแต่นางก็ตราตรึงอยู่ในจิตใจ สัมผัสโอบกอดอันอบอุ่นท่ามกลางสายฝนนั้น ทำให้นางยากที่จะลืมเลือน
เมื่อคิดถึงคำมั่นสัญญาท่ามกลางป่านั้น นางก็รู้สึกสูญเสียความเป็นตัวของตนเองไปจนสิ้น
ระยะเวลาปีหนึ่งที่นางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนี้ หากจะออกเรือนไปกับผู้อื่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เรียกว่ามีมากเสียด้วยซ้ำ
ทว่านางไม่ยินยอม นางยังอาวรณ์และรอคอย
หยวนหมัวมัวส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ จะมีผู้ใดเข้าใจคุณหนูดีกว่านางอีกเล่า
ทุกคราที่มีงานเลี้ยงน้ำชาต่างๆ ในเมืองหลวง งานชื่นชมดอกไม้หรืองานร่ายกวี หากคุณหนูไม่แสร้งเป็นเจ็บไข้ก็จะแอบหลบอยู่ด้านหลัง หรือบางทีก็แสร้งทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้…
บัดนี้นางกำลังย่างกรายอยู่ข้างแม่น้ำ สายลมโชยมาอ่อนๆ จู่ๆ ก็มีเสียงของขลุ่ยบรรเลงขึ้นดังมาแต่ไกล
หยวนหมัวมัวและเจี่ยนชิงโยวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สายตาสอดส่องไปทางต้นเสียง
ทางด้านหน้าบริเวณที่ไม่ไกลออกไปนัก มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งเอนกายพิงต้นหลิว เขามัดผมขึ้นสูงประดับด้วยหยก เสื้อผ้าอาภรณ์ขาวนวลดุจดั่งดวงจันทร์ ในมือถือขลุ่ยหยก สายตามองลงด้านล่าง
เป็นเขาหรือ
เจี่ยนชิงโยวตกตะลึงและรีบเปิดผ้าคลุมหน้าออก จากนั้นจึงก้าวไปด้านหน้าจ้องมองเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มชุดขาวผมเผ้ายาวดำสลวยถูกสายลมพัดเบาๆ ใบหน้าอันเยือกเย็นสุขุม แต่ดวงตาเขาในบัดนี้กลับอบอุ่นอ่อนโยนดั่งสายน้ำ
ขลุ่ยหยกในมือนั้นบ่งบอกถึงตัวตนของเขา
เป็นเขา! เป็นเขาจริงๆ!
ซินอี้หมิงเดินทางมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาขี่ม้าของเขามาที่นี่
เนื่องจากความอึดอัดคับข้องในหัวอก จึงตั้งใจจะขี่ม้ามาระบายที่นี่เพื่อผ่อนคลายสักหน่อย
นับแต่ท่าเรือที่นี่สร้างเสร็จเขายังไม่เคยเดินทางมาเลย นี่คือครั้งแรก คาดไม่ถึงว่าจะสร้างได้ดีเพียงนี้
เพียงเวลาไม่นาน เขาได้สอบถามพบที่อยู่ของมั่วเชียนเสวี่ย เมื่อเขารู้ว่านางอยู่แห่งหนใด เขาก็ไม่ต้องรีบร้อนอีกต่อไป แต่เมื่อนึกถึงครั้งนั้นที่เจี่ยนชิงโยวตกลงไปในน้ำตอนกลับจากเมืองหลวง ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะโทษตนเอง
บัดนี้ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ต้นหญ้าริมแม่น้ำก็เหี่ยวเฉากลายเป็นสีเหลือง เมื่อมองขึ้นไปบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามพบว่ามีเพียงใบไม้ซึ่งร่วงโรยไปทุกหนทุกแห่ง มองไปช่างดูหดหู่นัก ความโหยหาในใจที่มีไม่อาจละเลยไปได้ ด้วยความรู้สึกโศกเศร้า เขาจึงได้ระบายออกมาผ่านเสียงบรรเลงเพลงด้วยขลุ่ยนี้
ขณะที่เขาบรรเลงเพลงไปจวบจนจะถึงท่อนกลาง เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็ต้องชะงักลง
สายตาคู่นั้นมองเห็นนางผู้ที่อยากพบเจอทั้งยามหลับฝันและตื่นนอน ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย คิ้วทั้งสองข้างโค้งมน แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวกระทบไปยังใบหน้าของนางแต่ไม่ได้ดูเยือกเย็น กลับให้ความรู้สึกนุ่มนวลเสียมากกว่า รอบกายนางมีแสงสว่างปกคลุมทั่วช่างสะดุดตา
สายตาของทั้งคู่ประสานกัน
ลมหายใจของนางแทบจะหยุดลง เขาเองก็หยุดเสียงขลุ่ยราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน
เจี่ยนชิงโยวอ้าปากค้างเหมือนจะกล่าวบางสิ่งออกมาแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าซินอี้หมิงจะทำการใดล้วนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว แต่บัดนี้เขากลับดูขี้ขลาดยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับเขยื้อน
วินาทีนี้ ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างหยุดไว้กลางอากาศ
ซินอี้หมิงเกร็งและชะงักลง หนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้พบนาง แต่นางยังคงงดงามดุจดั่งเคย เพียงแต่บนใบหน้ามีความโศกเศร้าหดหู่อยู่เล็กน้อย
ผู้ใด เป็นผู้ใดกันที่ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะผู้บงการอยู่เบื้องหลังให้นางตกน้ำครานั้น หรือเพราะนางไม่มีความสุขกับชีวิตในเมืองหลวง
นับจากคราก่อนที่จากกัน ไม่มีวันใดเลยที่เขาไม่คะนึงหานาง
ความคิดถึงที่เข้าไปในกระดูกดำ ทำให้เขาต้องส่งคนไปเมืองหลวงเพื่อสืบดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง แต่ละวันทำสิ่งใดพูดคุยกับผู้ใด แต่เขาไม่ได้บอกกล่าวให้นางรับรู้ อีกทั้งพยายามอย่างยิ่งในการขัดขวางการดูตัวของนางในทุกครั้งไป
แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่ใช่สุภาพชน นับจากที่มารดาลาจากโลกนี้ไปแล้ว เขาก็จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแย่งชิง จากการพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดนับครั้งไม่ถ้วนนี้ทำให้เขาเข้าใจในเหตุผลที่ว่า หากจะเป็นหมาป่าก็ควรลับฟันให้คม หากจะเป็นแกะน้อยก็ควรเรียนรู้ที่จะหดขาไม่ให้ถูกกัด
นางรู้ดีว่าใจเขาคิดกับนางเช่นไร แต่เขาไม่อาจให้นางรู้ถึงความทุกข์ที่เขากำลังแบกรับ
เขาจะต้องอดทนต่อไป และทำคำมั่นสัญญาในวันนั้นให้สำเร็จจงได้
เพียงแค่นางไม่ออกเรือนกับชายอื่น เขาก็จะไม่ตบแต่งผู้ใด
ท่ามกลางฝูงชนมากมาย ทั้งสองได้แต่มองหน้ากัน ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้แม้แต่จะเอ่ยปากคุยกันสักคำเดียว
หยวนหมัวมัวกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดผ้าคลุมหน้าลง เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะบัดนี้เป็นเวลานานพอควรแล้ว พวกเราควรจะรีบกลับจวน ไม่เช่นนั้นออกมานานเช่นนี้อาจทำให้เหล่าไท่จวินเป็นห่วงเอาได้เจ้าค่ะ”
หากเหล่าไท่จวินรู้ว่าคุณหนูใหญ่เดินทางมาพบกับคุณชายซินผู้นี้ พวกนางในฐานะบ่าวรับใช้ก็คงจะถูกตำหนิเช่นกัน อีกทั้งคุณหนูก็จะถูกกักบริเวณ ไม่แน่ว่าอาจถูกบังคับให้ออกเรือนก็เป็นได้
เจี่ยนชิงโยวดูเหมือนยังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน นางเดินไปข้างหน้าช้าๆ โดยมีหยวนหมัวมัวประคองไป
มือของนางที่จับไปยังหยวนหมัวมัวสั่นคลอนเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พบเขาอีกเสียแล้ว
แต่ทว่า ต่อให้พบกันอีกครั้งแล้วอย่างไรเล่า
“ซื่อฉิน คุณหนูใหญ่เหนื่อยมากแล้ววันนี้ กลับจวนเถิด” สาวรับใช้สองนางรีบเข้ามาพยุงเจี่ยนชิงโยวขึ้นรถ หยวนหมัวมัวจึงหันไปกำชับกับสารถีว่า “เหล่าหวัง ออกรถได้!”
บริเวณไม่ไกลจากรถม้าออกไป มีม้ารูปร่างสง่างามตัวหนึ่งติดตามไปอย่างช้าๆ บนหลังม้าตัวนั้นชายหนุ่มสวมชุดขาวผ่องบรรเลงเพลงขลุ่ยอย่างไพเราะ…
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเพลงบรรเลงจากขลุ่ยทำให้คล้อยตาม หรืออาจเป็นเพราะเกรงว่าคุณหนูซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าจะกระเทือน รถจึงขับเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
ผ้าม่านในรถม้าถูกแง้มออกเล็กน้อย
รถม้า ชุดขาวนวล ม้าสูงสง่า เส้นทางทอดยาวและเสียงขลุ่ย เดิมทีช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
แต่ทว่าบัดนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้า ดวงใจกลับปวดร้าวแทบแตกสลาย
เจี่ยนชิงโยวนั่งพิงกายไปข้างหน้าต่าง นางกำชายผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ร่างสั่นสะท้าน แต่นางก็ไม่ยินยอมปล่อยชายผ้าม่านลง สาวรับใช้ทั้งสองได้แต่หันมามองหน้ากัน รูเล็กเพียงเท่านี้จะไปมองเห็นสิ่งใดหรือ
หยวนหมัวมัวเห็นเช่นนั้นก็ใจคอไม่ดี นางรีบตะโกนสั่งสารถีว่า “เหล่าหวัง เจ้ามัวชักช้าอยู่ไย อยากโดนตำหนิรึ เหล่าไท่จวินรอคุณหนูใหญ่กลับไปรับประทานอาหารเย็นอยู่นะ”
เหล่าหวังตื่นขึ้นจากเสียงกล่อมของขลุ่ย เขาใช้แส้หวดม้าบังคับให้มันวิ่งไปข้างหน้า รถม้าจึงแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งหายลับไปจากสายตา
……
[1] หมวกเหวยเม่า หมวกที่ใช้ตาข่ายล้อมทุกด้านจากปีกหมวก และห้อยลงมาถึงคอ มักประดับด้วยลูกปัด