ตอนที่ 64 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (2)
“…” ใครบางคนดูภูมิใจยิ่งนัก แต่หน้าก็แดงเรื่อเช่นกัน
เช้าวันต่อมา เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ลุกขึ้นจากเตียง
หลังจากปรนนิบัติหนิงเซ่าชิงจนเขากินข้าวอิ่มเดินทางออกไปแล้ว นางกับจวี๋เหนียงก็ได้เริ่มทำอาหารกัน เพื่อที่จะส่งไปให้แรงงานที่ท่าเรือเป็นอาหารกลางวัน
มีชายกำยำเดินทางมาช่วยงานสิบกว่าคน อีกทั้งเป็นงานใช้แรง พวกเขากินอาหารแต่ละมื้ออย่างน้อยสองชั่งจึงจะอิ่ม
ดังนั้น ทั้งสองคนจึงได้นึ่งหมั่นโถวธัญพืชสองหม้อใหญ่ และน้ำแกงเต้าหู้ปอดหมูถังใหญ่
ปอดหมูเป็นอาหารชั้นต่ำ เนื่องจากว่ามันมีกลิ่นคาวนัก ดังนั้นโดยมากจะไม่นิยมนำมากิน ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาถูกดั่งของเหลือทิ้ง
ตอนมั่วเชียนเสวี่ยยังเด็ก ทางบ้านของนางค่อนข้างยากจน แม่ของนางมักจะต้มน้ำแกงปอดหมูเพื่อให้นางประทังความหิว แน่นอนว่าแม่ของนางมีวิธีดับกลิ่นคาวของมัน ดังนั้นน้ำแกงปอดหมูจึงมีกลิ่นหอมน่ากิน ตัวนางที่มักดูแม่ทำอาหารจึงได้เรียนรู้วิธีการทำมาด้วย
บัดนี้ นางใส่เต้าหู้ลงไปในน้ำแกงด้วย จึงทำให้รสชาติดียิ่งขึ้น
นี่คืออาหารหลักที่นางเตรียมทำไปส่งที่ท่าเรือ ซึ่งอร่อย ทำง่ายและราคาประหยัดมากที่สุด
กลิ่นหอมหวานลอยออกมาจากทางห้องครัว ทำให้ยายาเดินตามกลิ่นมาจากเรือนข้างๆ นางอมนิ้วของตนเองเอาไว้แล้วแอบมองดูอยู่ตรงประตู
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งเอ็นดูและขำกับท่าทางเช่นนั้น จึงหัวเราะและเชิญชวนให้นางเข้ามาด้านใน ก่อนจะตักน้ำแกงให้นางถ้วยหนึ่งพลางเป่าแล้วยื่นไปป้อนนาง อีกทั้งหยิบหมั่นโถวธัญพืชส่งไปให้นางกินคู่กัน
ยายาดื่มน้ำแกงนั้นแล้วกินหมั่นโถวไปพลางเอ่ยชมไม่หยุดว่าอาจารย์หญิงทำอาหารได้อร่อยยิ่งนัก ท่าทางแสนน่ารักเช่นนั้นทำให้จวี๋เหนียงที่เป็นคนพูดน้อยยิ้มยากยังอดไม่ได้เอื้อมมือไปจับแก้มน้อยๆ ของนางแล้วรับถ้วยน้ำแกงจากมั่วเชียนเสวี่ยไปตักมาป้อนนางเพิ่ม
ทั้งสองคนสนทนากันไปหัวเราะกันไป มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดก่อนจะไปตักน้ำแกงปอดหมูเพิ่ม นำหมั่นโถวสิบกว่าลูกใส่กล่อง หันไปกำชับจวี๋เหนียงสองสามคำแล้วมุ่งหน้าไปทางโรงงานเต้าหู้
นางนำน้ำแกงปอดหมูและหมั่นโถวธัญพืชไปให้อาซ้อฟาง ก่อนจะมองไปรอบๆ โรงงานอย่างเป็นนิสัย นางพบว่าที่มุมหนึ่งมีเด็กหญิงร่างกายผอมซูบยืนอยู่ อายุราวสิบเอ็ดสิบสองปี ท่าทางดูป่วยหนัก สีหน้าไร้ซึ่งความหวัง
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยจ้องไปที่เด็กหญิงคนนั้น อาซ้อฟางจึงได้เดินหน้าเข้ามาอธิบายว่านี่คือหนีจื่อบุตรสาวของอาซ้อกุ้ยฮวา จากนั้นจึงเอ่ยถึงเรื่องหลี่ไคสือ ก่อนจะเอ่ยปากด่าออกมา
ปกติแล้วอาซ้อกุ้ยฮวาจะเดินทางมาที่โรงงานทุกวัน ส่วนบุตรสาวนางอยู่ที่บ้าน แต่กลับถูกไอ้เจ้าหลี่ไคสือจ้องเล่นงานเข้า เมื่อวานนี้มันเข้าไปในบ้านหมายจะทำมิดีมิร้าย หากไม่ใช่เพราะเพื่อนบ้านได้ยินเสียงดังผิดปกติ จะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ไม่มีใครรู้
อาซ้อฟางด่าออกมาอย่างออกรสออกชาติ แต่อาซ้อกุ้ยฮวากลับนั่งน้ำตานองหน้า นางพาบุตรสาวเข้ามาทักทายมั่วเชียนเสวี่ย “หนิงเหนียงจื่อ ข้ารู้ดีว่าข้ามาทำงานแต่พาบุตรสาวมาด้วย ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก แต่ว่า…หากให้นางอยู่บ้านเพียงลำพัง ข้าก็ไม่อาจวางใจได้จริงๆ”
“ท่านวางใจเถิดนะ บุตรสาวข้าเชื่อฟังคำสั่งสอน นางสามารถช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ได้โดยไม่ต้องให้ค่าจ้างแก่นาง ค่าอาหารท่านก็หักไปจากเงินตอบแทนของข้าเถิด เพียงขออย่าไล่นางไปเป็นพอ”
มั่วเชียนเสวี่ยรีบเข้าไปพยุงอาซ้อกุ้ยฮวาไว้แล้วด่าหลี่ไคสืออยู่ในใจ ขาพิการเช่นนั้นแล้วยังไม่สำนึกตัว ทำตัวไร้ซึ่งมนุษยธรรม แม้แต่เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดสิบสองปีที่ยังไม่ทันได้เติบโตเต็มวัย มันก็ยังไม่ปล่อย
ดูท่าแล้ว หลังจากจัดการกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เสร็จ นางจะต้องไปจัดการหลี่ไคสือด้วยตนเองสักหน่อย และยังมีฟางเถาเอ๋อร์หญิงแพศยานั่นอีก นางยังไม่ลืม ‘บุญคุณ’ ของนางหรอกนะ
แม้ว่าในใจนางจะด่าทอหลี่ไคสือเช่นไร แต่ปากของนางก็ได้ปลอบซ้อกุ้ยฮวาว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า อาซ้อกุ้ยฮวาเห็นข้าเป็นคนเช่นไรกัน”
ให้นางใช้แรงงานเด็กแต่ไม่จ่ายค่าแรง จะให้นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร อีกอย่างการทำเต้าหู้ต้องใช้แรงมากทีเดียว หนูน้อยร่างกายผอมแห้งอีกทั้งยังป่วย จะไปทำไหวได้อย่างไร
หรือว่า…
เมื่ออาซ้อกุ้ยฮวาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยกล่าวดังนั้น นางจึงคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยรังเกียจและไม่เห็นด้วย ขณะที่กำลังจะอ้อนวอนขออีกครั้ง ก็ถูกอาซ้อฟางจับมือเอาไว้แล้วบีบเบาๆ เป็นความหมายว่านางอย่าได้บุ่มบ่ามไป จากที่นางรู้จักมั่วเชียนเสวี่ยมา มั่วเชียนเสวี่ยมิใช่คนใจร้ายเช่นนั้น
หรือว่า…จะให้นางไปตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านดี
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดดูแล้ว นางจึงได้เอ่ยกับเด็กสาวว่า “แม่หนู เจ้าเย็บปักถักร้อยเป็นหรือไม่”
ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นขึ้นแล้ว เสื้อผ้าก่อนหน้านี้ที่มีอยู่ค่อนข้างบาง นางได้เตรียมซื้อหาผ้าฝ้ายและผ้าชนิดอื่นๆ ไว้บ้างแล้ว และได้ไหว้วานให้ภรรยาของหวังซานตัดเย็บให้บางส่วน แต่นางทำออกมาได้ไม่งดงามเท่าไหร่ ไม่อาจเปรียบได้กับอาซ้อกุ้ยฮวาเลย
นางจึงตั้งใจจะให้อาซ้อกุ้ยฮวาตัดให้อีกสักสองสามชุด แต่ช่วงนี้เห็นว่านางยุ่งอยู่ จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอก
“ทำเป็นสิ ทำเป็นแน่นอน” อาซ้อกุ้ยฮวารีบชิงตอบ “เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูดหรอก แต่เรื่องการเย็บปักถักร้อยนี้ข้าสอนลูกสาวข้ามากับมือ อย่าเห็นว่านางยังเด็ก ฝีมือนางดีกว่าข้ามากนัก”
เมื่อมองไปยังเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าลงอยู่อย่างกระสับกระส่าย ซ้อกุ้ยฮวาก็อธิบายขึ้นอีกว่า “เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยขี้อาย อีกทั้งเรื่องเมื่อวานนี้ทำให้นางตกใจยิ่งกว่าเดิม ท่านอย่าได้ถือสานางเลย”
ซึมเศร้างั้นหรือ มั่วเชียนเสวี่ยคิดอยู่ในใจ
“ไอ้หลี่ไคสือชาติชั่วนั่นสมควรตาย” เมื่อเห็นสภาพเด็กสาวเช่นนั้น อาซ้อฟางก็อดไม่ได้ที่จะด่าออกมา เมื่อนางด่าทอหลี่ไคสือเรียบร้อยแล้วจึงหันมาเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าเด็กคนนี้ชีวิตอนาถนัก บิดาตายจากไปตั้งแต่เด็ก มีนิสัยขี้กลัวไม่ค่อยพูดและกลัวคนแปลกหน้า…”
เฮ้อ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเสียจริง!
มั่วเชียนเสวี่ยย่อตัวลงไปสัมผัสที่แขนของเด็กสาว “เจ้าหนู เจ้ายินดีทำชุดให้น้าหนิงสักสองสามชุดหรือไม่”
“นางยินดีแน่นอน” อาซ้อกุ้ยฮวาแย่งตอบอีกครั้ง
มั่วเชียนเสวี่ยจึงขมวดคิ้วมองไป ใช้สายตากำชับให้อาซ้อกุ้ยฮวาหยุดการช่วยเหลือตอบคำถามแทน จากนั้นจึงเอ่ยถามเด็กหญิงอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชีวิตของนางเป็นของนางเอง จะให้มารดามาคอยปกป้องตลอดไปไม่ได้
“สาวน้อย เจ้าเป็นเด็กดีมีจิตใจอ่อนโยน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำได้”
“แม่สาวน้อย ชีวิตคนเรานั้นมักพบกับอุปสรรคมากมาย หากว่าเจ้ามัวแต่ก้มหน้าไม่ยอมรับมัน ก็จะไม่อาจก้าวผ่านไปได้ แต่หากเจ้าลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมันได้ สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในรสชาติชีวิตเจ้า…” ประโยคอันอ่อนโยนดุจดั่งสายน้ำอุ่นไหลผ่านดวงใจของเด็กสาว ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวถึงเหตุผลเหล่านี้กับนางมาก่อนเลย
ท่ามกลางสายตาอันเป็นมิตรและกำลังใจอันอบอุ่นของมั่วเชียนเสวี่ยที่มีให้นาง ประกอบกับสายตาคาดหวังและคำร้องขอของผู้เป็นมารดา ในที่สุดเด็กสาวก็สามารถรวบรวมความกล้าหาญพยักหน้าตอบรับออกมาเบาๆ
เพียงแค่น้ำเสียงอันแสนเบา แต่ทำให้อาซ้อกุ้ยฮวาน้ำตาไหลริน นับจากเมื่อวานนี้บุตรสาวของนางไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว หนิงเหนียงจื่อช่างเก่งกาจยิ่งนัก
คนมีความรู้นี่ช่างแตกต่างกันเสียจริง ขอเพียงแค่ดีต่อบุตรสาวนาง ต่อให้ใช้นางเป็นวัวเป็นความนางก็ยอม นางอยากจะทำงานให้มากๆ เพื่อที่จะได้เงินเยอะขึ้น
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพาเด็กสาวเข้าไปในเรือนแล้ว จวี๋เหนียงก็ได้บรรจุอาหารใส่กล่องเรียบร้อย มั่วเชียนเสวี่ยแบ่งอาหารเอาไว้ในห้องครัว จากนั้นกำชับเด็กสาวสองสามประโยคก่อนจะเดินทางไปยังท่าเรืออย่างเร่งรีบพร้อมกับจวี๋เหนียง
จวี๋เหนียงเข็นรถเข็นที่ใช้ในครัวเรือน นางนำหมั่นโถวและน้ำแกงปอดหมูถังใหญ่ใส่ไว้ด้านบน ไม่ให้มั่วเชียนเสวี่ยต้องออกแรงแม้แต่น้อย
คนคนนี้ช่างจริงใจยิ่งนัก นับแต่ที่นางกล่าวว่าจะให้ไปช่วยงานที่ร้านอาหาร ท่าทางของนางก็นอบน้อมยิ่งกว่าอาซ้อฟางเสียอีก ไม่เพียงแต่แย่งนางทำงาน อีกทั้งปฏิบัติต่อนางเช่นเจ้านายอย่างเคารพนับถือ
แต่มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกไม่ชอบใจเอาเท่าไรเลย จึงเข้าไปช่วยนางเข็นรถ แต่กลับถูกจวี๋เหนียงปฏิเสธ ต่อมาเมื่อเห็นท่าทางของนางที่ตั้งมั่นเช่นนั้น ประกอบกับเวลามีไม่มากแล้ว ท้ายที่สุดจึงไม่ได้พยายามช่วยอีก