ตอนที่ 70 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (2)
หนีจื่อได้เพิ่มสิ่งประดับเล็กน้อยลงบนเสื้อคลุมตรงปก มันคือหางกระรอกที่มารดาของนางทำเหลือจากช่วงที่มีงานเย็บปัก จึงทำให้เสื้อคลุมตัวนี้เพิ่มความสง่าราศีไม่น้อย
หนิงเซ่าชิงกำลังดื่มชาร้อนอยู่ เมื่อเขาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยยิ้มให้กับตนเองในกระจกเช่นนี้ ตัวเขาก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน
เขาจำได้ดีว่าเมื่อหลายปีก่อนตนเคยจับจิ้งจอกสีขาวได้ตัวหนึ่ง ขนของมันเป็นสีขาวดุจดั่งหิมะเรียงตัวเป็นระเบียบไม่ยุ่งเหยิงแม้แต่เส้นเดียว หากว่านำมาทำเป็นเสื้อคลุมให้แก่นางไม่รู้ว่าจะเพิ่มความสง่างามให้แก่นางได้เพียงไร
เอาเถอะ หลังจากฤดูหนาวนี้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจะไปล่ามาให้นางอีกสักตัว
หนีจื่อทั้งเชื่อฟังคำสั่งสอนและขยันหมั่นเพียร ไม่เพียงแต่ช่วยนางทำเสื้อผ้า อีกทั้งยังช่วยดูแลงานบ้านอื่นๆ เช่นซักผ้า เก็บกวาดบ้านทำความสะอาด ร่างกายของเด็กหญิงอันบอบบางได้รับการพักฟื้นและกินอาหารที่มีประโยชน์เข้าไปจึงทำให้ดูมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉงขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะเข้าไปแย่งนางทำบ้างก็ยังไม่ได้
การที่มีคนมาคอยดูแลเช่นนี้แน่นอนว่านางมีความสุขยิ่ง มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่จะต้องทำทุกอย่างด้วยตนเองไปทั้งหมด นางมีความคิดเรื่องอิสระเสรีภาพและความเท่าเทียม
เมื่อนางยอมจ่ายเงิน นางก็ควรจะได้รับความสุข ในอนาคตรอให้ทุกสิ่งทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เมื่อนางพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง ตั้งใจจะไปซื้อบ่าวมาสักสองคนเพื่อมารับใช้ตนและหนิงเซ่าชิง นางอยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับคุณหญิงคุณนายในสมัยก่อนที่แสนสุขสบาย
แน่นอนว่าหากมีเงินก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ นางสามารถพาหนิงเซ่าชิงเดินทางไปหาหมอที่มีชื่อเสียงได้จากทั่วโลก และนี่คือเหตุผลว่าทำไมนางจึงพยายามจะหาเงินให้ได้มากที่สุด
นางไม่เชื่อว่าโรคนี้จะไม่มีทางจำกัดไปได้
ร้านที่ท่าเรือสร้างเสร็จไปได้ประมาณแปดเก้าส่วนแล้ว บัดนี้ถือว่าเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ที่นั่นมองดูภาพวาดในกระดาษด้วยความพออกพอใจ
นางนึกอยู่ในใจเอาไว้ว่าสิ่งของใดจะวางที่ไหนและจะตกแต่งอย่างไร…
จู่ๆ ก็มีเสียงดังอันคุ้นเคยขึ้นที่ข้างหูว่า “หนิงเหนียงจื่อขอรับ คุณชายของข้าเรียนเชิญให้ไปพบ”
คุณชายอะไรกัน ทำตัวเป็นใหญ่โต! มั่วเชียนเสวี่ยหันหลังกลับไปและพบเกาหลั่งผู้ติดตามของซินอี้หมิง เมื่อมองตามทางมือของเกาหลั่ง แหงนหน้าขึ้นไปทางต้นหลิวที่อยู่ริมแม่น้ำ…
หนึ่งศาลา หนึ่งชายหนุ่ม หนึ่งกาน้ำชา หนึ่งขลุ่ยหยก ประกอบกันเป็นหนึ่งภาพวาด
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นางได้ยินมาว่าบุตรชายคนโตของผู้ว่าการมณฑลได้อุทิศประโยชน์ เขาจ่ายเงินเพื่อสร้างศาลาไม้หลังหนึ่งสำหรับผู้คนผ่านไปมาได้หลบแดดและพักผ่อน
ในตอนนั้นมั่วเชียนเสวี่ยยังปรบมือเชยชมเขา นางรู้สึกว่าซินอี้หมิงชายหนุ่มผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เขาจะต้องได้รับชื่อเสียงอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าในวันนี้ศาลาเพิ่งจะสร้างเสร็จ คุณชายก็ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
สำหรับผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดนั้นนางมักให้ความสนใจเป็นเดิมทุน ดังนั้นจึงได้เดินก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
นางไม่ใช่คุณหนูในตระกูลใหญ่แต่อย่างใด เป็นเพียงแค่หญิงชนบทธรรมดา ท่ามกลางสาธารณะเช่นนี้นางจะไปกลัวปากขี้ปากของผู้ใด
“คุณชายซิน สบายดีนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่านางเดินเข้ามาในศาลาแล้ว ซินอี้หมิงก็ไม่ได้ลุกขึ้น เขาเพียงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยกล่าวว่า “หนิงเหนียงจื่อ ท่านปรมาจารย์หนิงผู้เก่งกาจ ไม่เจอกันตั้งนานสบายดีหรือ”
เขาเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ต้องยอมรับว่าทุกท่าทางการแสดงออกและการเคลื่อนไหวของเขานั้นงดงามดุจดั่งสายน้ำ รอยยิ้มนั้นช่างไร้ที่ติเสียจริง
คนคนนี้คือเสือยิ้มได้ชัดๆ มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประโยคนี้กล่าวออกมาเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาบอกเป็นนัยว่า เขารู้แล้วว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นผู้แกะสลักรากไม้ให้
แต่ถึงอย่างไรบัดนี้ต่อให้ถูกเปิดโปงออกมาก็ไม่สำคัญ มั่วเชียนเสวี่ยยักไหล่แล้วยิ้มขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ทำเรื่องขายหน้าต่อคุณชายซินเข้าเสียแล้ว” ก่อนหน้านี้ที่นางใช้ฉายาว่าอาจารย์เพราะเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อว่านางสามารถทำของดีออกมาให้เขาได้
“ไม่หรอก”
ซินอี้หมิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองดูนาง เขาเพียงจดจ่ออยู่กับการชงน้ำชาด้วยท่าทางอันงดงามมีเสน่ห์ ราบรื่นราวกับสายน้ำไหลริน
การแสดงอันเงียบสงบเช่นนี้ เขาต้องการจะควบคุมสะกดจิตนางอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายเหลือเกิน ศิลปะการชงชาที่นางมีเขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นด้วยซ้ำ
หลังจากชงน้ำชาเสร็จแล้ว ซินอี้หมิงยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขารินน้ำชาให้แก่ตนเองแก้วหนึ่ง แล้วยกขึ้นดื่มดุจดั่งรอบข้างไร้ผู้คน
ตัวมั่วเชียนเสวี่ยเองให้ความสนใจในเรื่องการชงชาเป็นเดิมทุน การที่ถูกเมินเฉยเช่นนี้ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“คุณชายซิน ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดอย่างนั้นหรือ หากไม่มีธุระข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อน เนื่องจากมีธุระที่ต้องจัดการ ไม่มีเวลาว่างพอจะมานั่งดื่มน้ำชาและสนทนากับคุณชายที่นี่” น้ำเสียงของนางดูไม่แยแส ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่อย่างใด
นางหันหลังกลับแล้วเดินจากไปทันที แต่เกาหลั่งยื่นมือออกมาขวางเอาไว้
ซินอี้หมิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
หากเป็นคนอื่นเห็นการกระทำอันสูงส่งงดงามเพียงนี้ก็คงจะหลงใหลในตัวเขา และใจอ่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อใจอ่อน การสนทนาต่อจากนั้นก็จะถูกเขาเป็นผู้ชักจูง
แม้ว่านางจะเป็นผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตชิงโยวเอาไว้ แต่ในแง่ของการค้า หากแผนการนี้ใช้ไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนแผนการใหม่
ซิมอี้หมิงลุกขึ้น “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นข้าจะขอกล่าวตรงๆ”
“เชียนเสวี่ยรอฟังอยู่เจ้าค่ะ”
“รากไม้ที่หนิงเหนียงจื่อแกะสลักนั้น ข้ารู้สึกชื่นชอบและสนใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจจะมาทำงานฝีมือให้อี้ผิ่นเซวียนของข้าหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยเผยอยิ้มขึ้น นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยอยู่ดีๆ จะให้ไปเป็นลูกจ้างอย่างงั้นหรือ ซินอี้หมิง! สมองเขามีปัญหาหรือไร
“คงมิได้ บัดนี้เชียนเสวี่ยไม่มีเวลาทำสิ่งนี้แล้ว”
การที่ของชิ้นนั้นสามารถขายได้ในราคาสูง นั่นเป็นเพราะนางรู้อยู่แก่ใจว่า ประการที่หนึ่งวัสดุที่นำมาใช้นั้นแปลกประหลาด
ประการที่สอง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นการแกะสลักรากไม้เช่นนี้ จึงรู้สึกว่ามันเป็นของหายาก
ประการที่สาม เนื่องจากซินอี้หมิงกำลังต้องการของขวัญสักชิ้น และในเวลานั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่าของสิ่งนั้น
ท้ายที่สุดแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือในวันนั้นมีซูชีคอยสร้างความรบกวนอยู่ด้านข้าง
“แท้จริงแล้ว หากหนิงเหนียงจื่อเข้ามาทำงานในอี้ผิ่นเซวียนของข้า ข้าซินอี้หมิงจะต้องมอบของกำนัลตอบแทนเป็นแน่ เจ้าสามารถกล่าวออกมาได้ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเช่นไร อี้ผิ่นเซวียนจะให้การสนับสนุนถึงที่สุด อีกทั้งผลงานแกะสลักที่ทำออกมาได้ ข้าจะเพิ่มค่าตอบแทนให้ต่างหาก ค่าตอบแทนที่ได้รับนั้นไม่แย่ไปกว่าร้านอาหารเล็กๆ เช่นนี้หรอก อีกทั้งอี้ผิ่นเซวียนของข้ายังโด่งดังไปทั่วทิศ”
นี่เป็นสิ่งล่อที่น่าสนใจมาก ไม่เพียงแต่เงินทอง…อีกทั้ง…ยังมีชื่อเสียง จะมีสักกี่คนเชียวที่สามารถเอาชนะต่อการยั่วยวนของชื่อเสียงและเงินทองได้ ซินอี้หมิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ
“คุณชายซินได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย เชียนเสวี่ยเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา ไม่ต้องการทะเยอทะยานสร้างชื่อเสียงมากมาย ข้าเพียงต้องการจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้เท่านั้น” มั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธออกไปโดยไม่ต้องคิด
ริมฝีปากอันหยิ่งผยองของซินอี้หมิงยังไม่ทันจะหุบ ใบหน้าก็สงบลงด้วยความนิ่งเรียบของนาง
ในใจของเขาเกิดคลื่นดุจดั่งทะเล แต่ดูจากสีหน้ามองไปเหมือนเขาจะคาดเดาไว้อยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อหนิงเหนียงจื่อกำลังยุ่งอยู่ ข้าก็จะไม่บังคับ”
ต่อจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปทำท่าทางว่าเชิญนั่ง มั่วเชียนเสวี่ยจึงนั่งลง บัดนี้นางเริ่มมีความสนใจที่จะนั่งคุยกับเขาอย่างจริงจัง
ซินอี้หมิงเอื้อมมือไปรินน้ำชาให้แก่นางด้วยตนเองแล้วกล่าวว่า “หากว่าหนิงเหนียงจื่อมีเรื่องต้องจัดการก็ไม่เป็นไร เพียงแต่หากทักษะนี้ถ่ายทอดให้แก่ข้าได้ละก็ อี้ผิ่นเซวียนก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมอบเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงให้แก่เจ้า และส่งช่างผู้ชาญฉลาดมาสักสองคนเพื่อศึกษา หากเจ้าต้องการล่ะก็ ข้าสามารถส่งพ่อครัวมาให้อีกสักสองคน…”
มองดูจากภายนอกนั้นข้อเสนอนี้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่หากมองในระยะยาวจะรู้ว่ามันผิดมหันต์ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มออกมาเบาๆ นางไม่รีบร้อนที่จะตอบ แต่กลับหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
ชานั้นเป็นชาชั้นดี เมื่อเข้าไปในปากช่างรู้สึกสดชื่น มั่วเชียนเสวี่ยแอบชมอยู่ในใจว่าเป็นชาชั้นดี แต่ปากของนางกลับกล่าวเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้าว่า “รายละเอียดเป็นเช่นไร”
“ข้าส่งสองคนนั้นไปคอยทำธุระและจัดการเรื่องราวต่างๆ ของเจ้า ส่วนเจ้าทำเพียงแค่ตั้งใจสอนผู้ที่ส่งมาเรียนสองคนเท่านั้นเป็นพอ ข้าขอเวลาเจ็ดวัน การที่พวกเขาจะเรียนรู้ได้มากเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นความสามารถของพวกเขาแล้ว ว่าอย่างไร”