ตอนที่ 71 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (3)
ซินอี้หมิงผู้นี้วางแผนมาได้รอบคอบจริงๆ แต่ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ใช่คนโง่
ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาวแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “คุณชายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก ข้าเห็นได้ว่าคุณชายนั้นตั้งใจอย่างแท้จริง เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เชียนเสวี่ยจะคัดเลือกลูกศิษย์เอง หลังจากฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าแล้วจะส่งสินค้าให้แก่คุณชาย ส่วนราคานั้นรอดูผลงานที่แกะสลักออกมาแล้วค่อยว่ากัน”
นี่คือวิธีการหาเงินที่ดี เนื่องจากพวกเขาตัดต้นไม้ในป่าจะต้องเสียเงิน แต่ไม่มีใครสนใจขุดรากมันขึ้นมา
รากไม้ในสายตาของคนอื่นนั้นเป็นเพียงกิ่งไม้ที่ตายไปแล้วและใช้ทำฟืนได้เท่านั้น
การเลือกลูกศิษย์ที่มีความเฉลียวฉลาดในหมู่บ้านหวังจยาไม่ใช่เรื่องยาก
พวกเขาเหล่านั้นเป็นศิษย์ของนาง หากทำได้ดีนางก็จะจ่ายค่าจ้างให้…
การค้าที่ไม่ต้องลงทุนมากมาย เหตุใดนางจะไม่ทำเองเล่า
ถึงเวลานั้นเมื่อได้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปแล้ว นางยังต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้อีกหรือ
คำพูดเมื่อครู่ของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อกล่าวออกไปทำให้จุดยืนของทั้งสองคนเปลี่ยนไปทันที ที่เริ่มเจรจากันตอนแรกนั้นดูเหมือนว่าจะให้นางรับใช้ซินอี้หมิง แต่บัดนี้กลับกลายเป็นว่าเขาต้องร้องขอนาง
เฉกเช่นเดียวกับตัวแทนในยุคปัจจุบัน อีกทั้งในตอนนี้เขาจำเป็นต้องคว้าอำนาจในการเป็นตัวแทนจำหน่าย ด้วยเหตุนี้เองสถานะของเขาจึงกลับกลายจากผู้ว่าจ้างเป็นผู้ถูกจ้างทันที
คิดไม่ถึงว่าความคิดของหญิงสาวผู้นี้จะรวดเร็วเพียงนั้น
คลื่นในใจของซินอี้หมิงเกิดขึ้นอีกระลอกหนึ่ง แต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งเงียบไม่มีทีท่าใด เขายิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ย่อมได้ ข้าจะจ่ายเงินมัดจำเอาไว้ก่อน จากนั้นลงนามความร่วมมือกับหนิงเหนียงจื่อ สินค้าทุกชิ้นของเจ้าข้าจะรับซื้อไว้ทั้งหมด”
น้ำเสียงและท่าทางหยิ่งผยองของคุณชายซินกลับกลายเป็นถ่อมลงทันที
เนื่องจากบัดนี้ซินอี้หมิงดูเหมือนจะต้องร้องขอซื้อจากนาง ไม่ใช่นางที่จำเป็นต้องขายสินค้าให้เขา
มั่วเชียนเสวี่ยวางแก้วน้ำชาลงแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เชียนเสวี่ยมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวดีหรือไม่”
มือของซินอี้หมิงถือกาน้ำชาเอาไว้แล้วกล่าวอย่างสดชื่นว่า “ข้ารอฟังอยู่”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเบาๆ “หนังสือลงนามนั้นเชียนเสวี่ยจะตกลงด้วยก็ย่อมได้ แต่ราคาของสิ่งแกะสลักจะต้องชำระด้วยราคาห้าเท่าของสิ่งของชิ้นสุดท้ายที่อี้ผิ่นเซวียนขายออกไป ไม่ทราบว่าคุณชายซินคิดเห็นว่าอย่างไร”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ซินอี้หมิงก็กัดฟันแล้วกล่าวว่า “ตกลง!”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างรื่นเริง “ขอให้เราร่วมมือกันอย่างมีความสุข”
“อีกสามวันข้าจะนำหนังสือสัญญามา”
“เรื่องหนังสือนั้นเชียนเสวี่ยจะเป็นคนร่างเอง ไม่จำเป็นต้องรอถึงสามวันหรอก”
เมื่อเอ่ยอำลากับซินอี้หมิงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดและรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรจะต้องผ่านมืออาซ้อฟาง
ให้อาซ้อฟางไปประกาศเรื่องรับสมัครเด็กอายุราวสิบขวบที่มีความสามารถและฉลาดหลักแหลมออกไป การที่ให้คนอื่นมาร้องขอนางคงดีกว่าให้นางไปร้องขอผู้อื่น
อีกอย่างหนึ่ง เรื่องของพื้นฐานครอบครัวนั้นอาซ้อฟางจะเป็นผู้คัดเลือกให้ จึงทำให้นางวางใจลงไม่น้อย เนื่องจากอาซ้อฟางอยู่ที่หมู่บ้านนี้มาสิบกว่าปีแล้ว บ้านไหนมีลักษณะนิสัยเป็นอย่างไรนางรู้ดีเป็นที่สุด
เมื่อนางกลับมาถึงหมู่บ้านหวังจยา เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยต้องการจะเดินทางไปหาอาซ้อฟางที่โรงงาน
คาดไม่ถึงว่าอาซ้อฟางกลับดักรอนางอยู่ที่ประตู
ไม่รอให้นางเอ่ยปาก อาซ้อฟางก็ลากนางเข้าไปด้านในห้อง กล่าวออกมาด้วยความกังวลใจว่า
“หนิงเหนียงจื่อ โรงงานของเราไม่มีถั่วมาส่งสำหรับทำเต้าหู้หลายวันแล้ว”
“หลิวเหล่าซวนก็ไม่ได้รับถั่วมาหลายวันแล้วเช่นกัน”
“หากไม่มีถั่ว การค้าเต้าหู้ของเราจะทำต่อไปเช่นไร”
“ได้ยินมาว่าราคาของถั่วเพิ่มขึ้นอย่างยากจะคาดเดา เราจะทำการปรับราคาเต้าหู้หน่อยดีหรือไม่”
“…”
นางกล่าวประโยคเหล่านั้นออกมาติดๆ กัน จึงทำให้มั่วเชียนเสวี่ยปวดหัวเป็นที่สุด “ช้าก่อน ทีละเรื่องได้หรือไม่”
แต่อาซ้อฟางเป็นกังวลมาก เมื่อนางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเข้าหากันก็รู้สึกตกใจ
นับจากที่มั่วเชียนเสวี่ยให้นางขึ้นมาเป็นผู้ดูแล คนในหมู่บ้านก็มองนางสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็มีเเต่คนเข้ามาป้อยอเนื่องจากหวังว่าการรับสมัครพนักงานคนงานในโรงงานครั้งต่อไปตนจะสามารถเข้ามาทำงานได้
ทั้งแม่สามีและน้องสามียิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หลังจากที่แยกเรือนออกมาแล้วก็ไม่เคยติดต่อกันอีกเลย ทว่าบัดนี้กลับมาหานางทุกสองสามวัน
แน่นอนว่านางรู้ถึงเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงมองและให้ความสำคัญกับโรงงานเต้าหู้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ซึ่งบัดนี้สถานการณ์ราคาของถั่วดูตึงเครียดมากขึ้น จะไม่ให้นางกังวลใจได้อย่างไร
บัดนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เป็นเพียงเด็กกำพร้าอีกต่อไปแล้ว นางมีศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่เป็นของตนเอง
ดังนั้นนางไม่เป็นเพียงน้องสาวแต่ยังเป็นเจ้านายอีกด้วย ด้วยเหตุผลเหล่านี้แม้ว่าอาซ้อฟางจะรู้สึกกังวลและรีบร้อนมากเพียงใด นางก็ยังคงทำท่าทางเคารพ น้ำเสียงแผ่วเบาผ่อนคลายพูดช้าลง
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยฟังประโยคของนางจนจบแล้วก็ได้นิ่งเงียบไปสักพัก ในตาของนางรู้สึกสงสัย “ในคลังยังมีถั่วเหลืออีกเท่าไหร่”
“ประมาณสองสามพันชั่ง”
“วันล่ะไม่กี่ร้อยชั่ง น่าจะเพียงพอสำหรับสิบกว่าวัน”
“เช่นนั้น เราจะหยุดทำเต้าหู้ไปก่อนหรือทำน้อยลงหน่อย…”
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยขัดประโยคเมื่อครู่ของนาง “ไม่จำเป็น ทำการผลิตตามแผนเดิมเถิด”
นางจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคิดให้รอบคอบ ถั่วเป็นของที่ไร้ราคา จู่ๆ จะขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนนางก็พอจะได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ไม่ได้สนใจและเพิกเฉยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
หากว่าราคาของถั่วในช่วงนี้ไม่อาจกลับไปเป็นแบบเดิมได้ในเร็ววัน นางคงจะต้องเดินทางไปเจรจากับซูชีสักหน่อย
หลังจากเกลี้ยกล่อมอาซ้อฟางเรียบร้อยแล้ว ก็ได้สั่งนางประกาศรับสมัครนักเรียน แม้ว่าอาซ้อฟางจะไม่เข้าใจแต่นางก็พยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น ทั้งให้สัญญาว่าจะหาเด็กที่มีเฉลียวฉลาดและเหมาะสมมาให้มั่วเชียนเสวี่ยในเวลาอันรวดเร็วที่สุด
เมื่ออาซ้อฟางได้รับคำสั่งก็ได้จากไปอย่างรวดเร็ว นางเป็นคนเช่นนี้ทั้งว่องไวเด็ดเดี่ยว จัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากที่นางจากไป มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา บัดนี้ไม่มีถั่วเพียงพอสำหรับทำเต้าหู้ แล้วในอนาคตเมื่อนางทำโรงงานกลั่นซีอิ๊วจะไปหาถั่วมาจากที่ใด ราคาถั่วชั่งละหลายร้อยอีแปะ แม้ว่านางจะมีเงินพอที่จะซื้อ แต่ด้วยต้นทุนที่สูงเพียงนี้จะมีใครสามารถซื้อไปใช้เล่า
ระหว่างมื้ออาหารเย็น หนิงเซ่าชิงเห็นท่าทางของนางที่ขมวดคิ้วดูไม่เป็นสุขจึงได้เอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
เดิมทีสามีภรรยาก็ไม่ควรมีเรื่องราวปิดบังกันอยู่แล้ว แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะยังไม่ได้เกินเลยล้ำเส้นนั้น แต่หัวใจของทั้งสองก็นับว่าใกล้กันมาก
เมื่อเขาถามนางจึงได้ตอบไป
“ทำเต้าหู้ของเจ้าต่อไปให้ดีเถอะ ถั่วไม่ใช่สิ่งของหายากสักหน่อย ตอนนี้ราคาถั่วในท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้น แต่อีกไม่กี่วันบรรดาพ่อค้าต่างถิ่นก็จะพากันขนส่งลำเลียงถั่วจำนวนมากมาจากที่อื่น ดังนั้นราคาถั่วจะลดลงอย่างรวดเร็ว เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป” เมื่อกล่าวจบเขาก็มองไปทางนางแล้วเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “กินข้าวเถิด ดูสิช่วงนี้เจ้าเหนื่อยเสียจนผอมซูบไปหมดแล้ว”
ผอมหรือ! เป็นเพราะเสื้อผ้าจึงทำให้ดูผอมต่างหาก มั่วเชียนเสวี่ยจ้องเขาตาเขม็งแต่ในใจกับรู้สึกมีความสุข
“รู้ได้อย่างไรว่าบัดนี้ในท้องที่อื่นราคาถั่วไม่ได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งถั่วจากที่อื่นจะลำเลียงมาถึงในไม่กี่วัน”
หนิงเซ่าชิงยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างลึกล้ำ มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าเขาจะเอ่ยเหตุผลใดที่น่าเชื่อถือออกมา หรือเป็นสิ่งสำคัญที่สืบเล่ามาจากบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น คาดไม่ถึงว่าใบหน้าอันจริงจังของเขานั้นจะกล่าวออกมาเพียงสองคำว่า “ข้าเดา”
มั่วเชียนเสวี่ยชะงักลงและหัวเราะออกมาเสียงดังจนแทบจะสำลักข้าวแทบออกมา
หนิงเซ่าชิงรีบลุกขึ้นยืนแล้วลูบตบหลังของนาง รินน้ำยื่นส่งให้ เขาบ่นว่านางกินข้าวท่าทางไม่งดงาม ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามว่าข้าวติดหลอดลมหรือไม่
จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกิน นางรู้สึกว่าในครั้งนี้ที่นางเดินทางข้ามภพมา ก็เพื่อจะได้เจอกับเขา
เช้าวันต่อมา ที่ท่าเรือก็ครึกครื้นกว่าเดิม แต่ละโกดังเต็มแน่น มั่วเชียนเสวี่ยเดินทางไปสอบถามผู้จัดการถังเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าสิ่งของทั้งหมดนั้นล้วนเป็นถั่วจริงๆ