ตอนที่ 74 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (6)
อีกมุมหนึ่งของลานหน้าเรือน หลี่ไคสือและภรรยาหลี่ปาก็พูดกระซิบกระซาบกันที่นั่นเช่นเดียวกัน
“ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือว่าจะลวงนางไปที่นั่นได้”
“แน่นอน เจ้าเพียงแค่รอเท่านั้น แต่ว่าเราตกลงกันแล้ว เจ้าได้ตัวนาง ให้นางเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น”
“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ เมื่อถึงเวลาแม้นางไม่ยอมก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ท่านคิดว่าท่านอาจารย์หนิงจะต้องการหญิงที่มีตำหนิหรือ หากนางไม่ยอมเป็นอนุภรรยา เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใส่กรงหมูถ่วงน้ำ[1]เท่านั้น”
“เช่นนั้นแม่ก็วางใจแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านแม่ช่างดียิ่งนัก หลังจากนี้ท่านแม่รอนับเงินที่นางหากลับมาในทุกวันก็พอแล้ว”
“ประเดี๋ยวเจ้าไปรอที่เรือนข้าง จะมีคนล่อลวงนางเข้าไปเอง เจ้าเพียง…”
“ข้าเข้าใจแล้วน่า”
……
ในที่มืดแห่งหนึ่ง เงาดำยกมุมปากขึ้น หากไม่ใช่เพราะนายท่านสั่งไม่ให้เขาทำการบุ่มบ่ามเพราะกลัวจะทำให้ให้ฮูหยินตกใจ เขาคงหั่นเจ้าคนชั่วนี้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเก้าสายตั้งนานแล้ว
เสียงนกกาเหว่าร้องเจื้อยแจ้ว หนิงเซ่าชิงเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า
อิ่งซารายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงเคร่งขรึม เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูด “เรื่องนี้ เจ้าคิดหาวิธีทำให้ฮูหยินรู้ก็พอแล้ว ฮูหยินย่อมมีวิธีจัดการ”
“ฮูหยินพอจะทราบบ้างแล้วขอรับ”
“หืม?”
“ยายาร้องหิว ฮูหยินให้หนีจื่อเล่นกับนางครู่หนึ่ง แล้วฮูหยินก็ไปหาของกินในครัว ได้ยินอาซ้อฟางและหญิงหม้ายคุยกันพอดีขอรับ”
“จากนั้นเล่า” นางไม่มีวันนิ่งเฉยเมื่อได้รู้ว่าถูกผู้อื่นวางแผนลวงตน แม้จะด้วยความหวังดี แต่ก็ไม่พอใจเหมือนกัน
“หลังจากนั้นฮูหยินก็เปลี่ยนน้ำแกงบำรุงทั้งสองถ้วยขอรับ ความเป็นจริงข้าน้อยเห็นน้ำแกงบำรุงนั่นแล้ว มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ…”
หนิงเซ๋าชิงมองอิ่งซา สีหน้าเย็นยะเยือกในฉับพลัน อิ่งซาตกใจ เพิ่งตระหนักได้ว่าตนพูดอะไรออกไป เขากำลังหวาดระแวงสงสัยความสามารถด้านนั้นของเจ้านายตนอย่างชัดเจน!
อิ่งซาก้มหน้าลง หนิงเซ่าชิงถอนสายตากลับ มองมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังกล่อมยายา นัยน์ตาของเขาจึงฉายความอ่อนโยนอีกครั้ง “เจ้าลอบช่วยฮูหยินอย่างลับๆ ฮูหยินอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้นางทำ มีข้าอยู่ แม้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่ต้องกลัว!”
หมุนตัวหันหลังเดินออกไป แล้วหยุดชะงักกะทันหัน “อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งใดเจ้าไม่ควรกังวล ก็อย่าได้เป็นกังวลเลย”
อิ่งซาหายตัวไปในความมืดแล้ว ขืนยังไม่ไปต้องถูกแววตาคมเฉียบดั่งมีดของนายท่านสังหารเป็นแน่
“อาหารพร้อมแล้ว!”
เสียงร้องตะโกนของอาซ้อฟางดังขึ้น ทุกคนรีบกลับไปยังโต๊ะของตน สตรีหลายคนแย่งกันเข้าครัวเพื่อช่วยยกอาหาร
อาซ้อฟางกลัวคนอื่นจะยกน้ำแกงของนางไป รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ขยิบตาให้อาซ้อกุ้ยฮวา ทั้งสองยกคนละถ้วย คนหนึ่งยกไปให้หนิงเซ่าชิง อีกคนหนึ่งยกไปให้มั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำแกงด้วยรอยยิ้ม หนิงเซ่าชิงเองก็ดื่มหมดถ้วยในคราวเดียว
อาซ้อฟางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำแกง ยิ้มด้วยความปลื้มปริ่มทันที หารู้ไม่ว่าน้ำแถงถ้วยนี้ถูกมั่วเชียนเสวี่ยสับเปลี่ยนไปนานแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยดื่มน้ำแกง หางตาของนางเหลือบไปเห็นหวังเทียนซงที่อยู่ด้านในห้องพยักหน้าให้นาง ด้วยเหตุนี้นางจึงเอามือวางไว้บนศีรษะ แสร้งทำเป็นเวียนหัวแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“หนิงเหนียงจื่อวางใจเถอะ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” หวังเทียนซงเดินผ่านมั่วเชียนเสวี่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ตั้งแต่สร้างร้านอาหารเสร็จ หวังเทียนซงที่ได้รับมอบหมายจากมั่วเชียนเสวี่ยให้ดูแลงานแกะสลัก เขาก็เคารพหนิงเหนียงจื่อมากขึ้น
อีกทั้ง งานที่หนิงเหนียงจื่อสั่งให้ทำในครั้งนี้ช่างระบายอารมณ์ได้ดีเสียจริง แล้วเขาจะทำพลาดได้อย่างไร
ตั้งแต่เมื่อก่อนหลี่ไคสือเคยลวนลามพี่สาวที่ออกเรือนไปแล้วของเขา ทุกครั้งที่มันมองภรรยาของเขา ดวงตาคู่นั้นทอประกายจนทำให้เขาคันไม้คันมืออย่างมาก แค่ว่าเห็นแก่หวังเอ้อร์และพ่อของหลี่ไคสือ เขาจึงไม่ได้ลงไม้ลงมือ
ฟางเถาเอ๋อร์อะไรนั่นก็อีกคน ตอนที่เขายังไม่ได้แต่งงานก็มักจะมารังควานตน เป็นสตรีที่ไร้ยางอายที่สุด การจับคู่ให้สองคนนี้ ถือเป็นการขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากหมู่บ้าน ทั้งยังได้ดูเรื่องสนุก และยังได้กำจัดสิ่งอัปมงคล เขาจะไม่ยินดีได้อย่างไร
หนิงเซ่าชิงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในเรือน มุมปากของเขาเปื้อนยิ้ม แล้วขอตัวออกจากงานเลี้ยง
หลังจากดื่มวนไปสามครั้ง มีคนพบว่าเจ้าภาพทั้งสองคนหายไป ทว่าก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
ท่านอาจารย์หนิงสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ดื่มสองจอกก็เมาแล้ว ถือว่ามีเหตุมีผล
ส่วนหนิงเหนียงจื่อย่อมติดตามไปปรนนิบัติรับใช้
ลานหน้าเรือนไม่ได้เงียบสงบเพราะการจากไปของพวกเขาทั้งสอง ในทางกลับกันครึกครื้นมากยิ่งกว่า
ท่านอาจารย์หนิงอยู่ในงานเลี้ยง กลับทำให้พวกเขารู้สึกเกร็ง เวลานี้ พวกขี้เมาทั้งหลายเริ่มก่อความวุ่นวายแล้ว
ฟางเถาเอ๋อร์กำลังเตรียมแอบเข้าไปในลานด้านใน ภรรยาฟางอู่กลับเดินมาคว้าตัวนางเอาไว้ “เปลี่ยนสถานที่แล้ว ท่านอาจารย์หนิงเดินไปผิดทาง เมื่อครู่ข้าได้ยินเทียนซงบอกว่าเห็นท่านอาจารย์หนิงเดินเข้าไปในเรือนข้างฝั่งลานด้านนอก เจ้ารีบไปเถอะ อย่าได้พลาดโอกาส”
ฟางเถาเอ๋อร์ที่เพิ่งเข้าไปในเรือนข้าง ได้กลิ่นเหม็นคลุ้ง เรือนนี้ถูกมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนมาเป็นเรือนเก็บของ มานานแล้ว แน่นอนว่ากลิ่นในเรือนย่อมไม่น่าพิสมัย
ฟางเถาเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า “ที่แห่งนี้ทั้งมืดและหนาวเย็น เป็นที่สำหรับคนอยู่จริงหรือ” ขณะที่นางกำลังลังเลคิดอยากจะออกไป ทว่า ร่างหนึ่งโผเข้ามา ทั้งกอดและจูบ
ตัวของ ‘ท่านอาจารย์หนิง’ มีกลิ่นสุราและเร่าร้อน นางลอบดีใจ ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ไม่ผลักไสตนอีก น่าจะเป็นเพราะในที่สุดยาก็ออกฤทธิ์ หรือไม่ก็เพราะแผนการของท่านแม่นั้นดียิ่ง ให้ตนสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ของหนิงเหนียงจื่อ
เวลาเดียวกันที่อ้อมกอดนี้เร่าร้อน ฟางเถาเอ๋อร์เองก็รู้สึกว่าร่างกายของตนร้อนรุ่มขึ้นมากะทันหัน นางไม่เพียงแต่ไม่ผลักไส ในทางกลับกันนางยังเอาตัวเข้าไปหาเขาอย่างเชื้อเชิญ
แม้ว่าตอนนี้จะดูไม่ค่อยดี แต่ขอเพียงเรื่องนี้สำเร็จ เขาต้องรับผิดชอบนาง บิดาของนางเป็นถึงหัวหน้าตระกูลเชียวนะ
ด้านนอกดื่มสุรากันอย่างครื้นเครง ด้านในกลับไม่อาจต้านทาน
ทั้งสองร้อนใจอย่างมาก ต่างฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่าย…ในชั่วพริบตา เริ่มพลิกตัวไปมาบนพื้น…สายมากแล้ว คนที่ดื่มสุราก็ดื่มไปประมาณหนึ่งแล้ว
ภรรยาฟางอู่คำนวณเวลาที่ลูกสาวเข้าไปในเรือนด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย เห็นว่าใช้เวลาไปประมาณหนึ่งแล้ว จึงตบอาซ้อฟางที่อยู่ข้างๆ แล้วพูด “หลานสะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่ข้าเห็นคนเข้าไปในเรือนข้างทางด้านนั้น หรือว่าจะมีคนฉวยโอกาสนี้ขโมยของ?”
อาซ้อฟางมองตามมือของนาง เห็นมีการเคลื่อนไหวบางอย่างในเรือนข้างจริงๆ จึงรีบเหยียดกายลุกขึ้น
นั่นเป็นเรือนเก็บของ เป็นเรือนที่นางดูแล จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ด้วยเพราะเป็นฤดูเหมันต์ ยังไม่เย็นมากนัก ทว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว อาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดของเทียนด้านนอก อาซ้อฟางมองเห็น…
ชายหญิงคู่หนึ่งกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน…
นี่มัน? มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันบนพื้นเลยหรือ!
ปฏิกิริยาแรก ตกตะลึงนิ่งค้างไปชั่วขณะ
ปฏิกิริยาที่สอง ร้องลากเสียงยาว อ้ากกก…
ปฏิกิริยาที่สาม ด่าว่าไร้ยางอายพร้อมกับปิดประตูในเวลาเดียวกัน
ทว่าภรรยาฟางอู่กลับพุ่งตัวเข้าไป ผลักเปิดประตูที่กำลังจะปิดลง ด่าทอเสียงดัง “ท่านอาจารย์หนิง คิดไม่ถึงว่าปกติคนที่ดูเป็นผู้เป็นคนเช่นท่าน กลับเป็นสุนัขจิ้งจอกสวมหนังมนุษย์ ขืนใจลูกสาวข้าเช่นนี้”
ท่านอาจารย์หนิง? ลูกสาวของนาง? หัวใจของอาซ้อฟางสั่นเทา ตายจริง หรือว่าท่านอาจารย์หนิงดื่มน้ำแกงแล้วไม่ได้เข้าเรือน เดินหลงทาง เข้าไปในเรือนข้างแห่งนี้ ชั่วเวลานั้นนางมีความคิดอยากจะตาย
[1] ใส่กรงหมูถ่วงน้ำ เป็นการลงโทษของจีนยุคโบราณในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง โดยชายหญิงที่ล่วงประเวณีจะถูกจับเข้าไปในกรงหมูไม้ไผ่แล้วยัดเข้าไปในหินก้อนใหญ่จากนั้นก็โยนลงไปในแม่น้ำ