ตอนที่ 78 การมาเยือนของเจี่ยนชิงโยว (4)
แม้ว่าร้านอาหารจะไม่ใหญ่ แต่อวิ๋นอิ๋นกลับทำความสะอาดและจัดตกแต่งมันออกมาได้อย่างเหมาะสม
มั่วเชียนเสวี่ยจัดแจงให้อวิ๋นอิ๋นพักอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาขนาดเล็กของร้านอาหารแห่งนี้ โดยไม่จำเป็นต้องติดตามนางกลับไปกลับมาระหว่างหมู่บ้านหวังจยา
หน้าที่หลักของอวิ๋นอิ๋นคือช่วยดูแลร้านในตอนกลางคืนและหยิบจับทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในเวลากลางวัน เนื่องจากจวี๋เหนียงและหวังเสี่ยวเหลยได้เห็นอวิ๋นอิ๋นอยู่หลายครั้งแล้ว พวกเขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจใดๆ ที่หนิงเหนียงจื่อตัดสินใจเช่นนั้น
พวกเขาในตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเรียกนางว่าเถ้าแก่เนี้ยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
ร้านอาหารเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่เพราะอากาศหนาวเย็นจึงทำให้หมั่นโถวธัญพืชขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้จัดการถังชักชวนผู้จัดการจินและลูกน้องของเขาอีกสองคนมาร่วมอุดหนุนด้วย หนึ่งคนสั่งน้ำแกงปอดหมูกับอาหารจานเล็กๆ สองสามอย่าง ทั้งวงร่วมดื่มสุรากันอย่างครึกครื้น
ผู้จัดการถังผู้นี้นับว่าเป็นคนมีกึ๋นโดยแท้ ในวันนั้นที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นผู้จัดการจินกับลูกน้องอีกสองคนของเขา พวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังชักดาบจะเข้าห้ำหั่นกันอยู่เลย มาวันนี้พวกเขากลับกำลังนั่งพูดคุยหัวเราะกันเสียอย่างนั้น
วันที่มั่วเชียนเสวี่ยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสาวใช้ของจวนที่ว่าการ พวกเขายังอุตส่าห์ถ่อมาขอโทษขอโพยนางเสียเป็นการใหญ่
มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่ได้เลอะเลือน หลังจากเจรจาพาทีกันอยู่พักหนึ่ง นางก็ไม่ได้ติดใจอันใดอีก ทั้งยังได้เชิญพวกเขามาร่วมทานอาหารกันในมื้อนี้ด้วย บอกว่านางจะเป็นเจ้ามือในครั้งนี้เอง เพราะนางเข้าใจชัดเจนดีว่าทั้งสองคนเป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจึงถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
ผู้จัดการถังและผู้จัดการจินยึกยักทำทีเป็นว่าหลบเลี่ยงอย่างสุภาพ จากนั้นจึงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังพูดอีกว่าหากในภายภาคหน้ากิจการที่นางกำลังดูแลอยู่เกิดมีปัญหาติดขัดประการใด สามารถเรียกหาพวกเขาได้
ประโยคนี้แหละที่มั่วเชียนเสวี่ยต้องการ
นอกจากนี้ ยังมีอีกสองสามโต๊ะที่เป็นของผู้จัดการเรือโดยสารหลายลำ
หวังเสี่ยวเหลยมีไหวพริบเป็นเลิศ ด้วยมือและเท้าที่คล่องแคล่วว่องไว ลูกค้าจากโต๊ะหลายโต๊ะบริเวณนั้นล้วนถูกเขาบริการเอาอกเอาใจอย่างดีเยี่ยม เมื่อลูกค้าลุกจากไป ยังมิวายมอบสินน้ำใจเล็กน้อยให้แก่เขาด้วย
ทว่าเขากลับซื่อนัก ครั้นได้สินน้ำใจมาก็รีบนำมันไปมอบให้มั่วเชียนเสวี่ยทันที มั่วเชียนเสวี่ยโยนมันคืนกลับไปให้เขา เพียงกำชับว่าให้ตั้งใจทำงานให้ดี ในภายหน้าหากมีลูกค้าจากโต๊ะใดมอบสินน้ำใจให้เขาอีก ทั้งหมดล้วนเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว ถือเสียว่าให้เป็นสิ่งตอบแทนในความตั้งใจทำงานของเขาเอง
เมื่อหวังเสี่ยวเหลยได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายสว่างวาบพร้อมกับตั้งใจทำงานอย่างขันแข็งมากขึ้น ทั้งบริการน้ำชา น้ำดื่ม เช็ดโต๊ะ เก็บโต๊ะ หยิบจับจานชาม ทำเอาอวิ๋นอิ๋นที่ถูกจัดแจงมาให้รับหน้าที่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในร้านว่างจัดเสียจนไม่มีอะไรทำ จนต้องเดินออกจากห้องโถงด้านหน้าเข้าไปเป็นลูกมือในครัวของจวี๋เหนียงแทน
ช่วงเที่ยง หนิงเซ่าชิงเองก็มาด้วย
เนื่องจากเมื่อวานที่บ้านของเขาเลี้ยงแขก เขาจึงได้ขอลาหยุดเป็นเวลาหนึ่งวัน วันนี้จึงไม่สมเหตุสมผลนักหากจะขอลาหยุดอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ช่วงเช้าเขาจึงไปสอนหนังสือตามปกติ หลังจากทิ้งบทเรียนให้พวกเด็กๆ กลับไปทบทวน เขาก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าประตูร้าน เถ้าแก่แห่งทิงเฟิงเชวี่ยนผู้นั้นก็มาถึงพอดี เวลานี้เขาจึงมานั่งจิบชาสนทนาภาษาบัณฑิตกับเถ้าแก่แห่งทิงเฟิงเชวี่ยนในห้องส่วนตัวที่ชั้นบนของร้านอาหารแห่งนี้
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งค้นพบตอนที่ได้เดินทางไปเมืองเทียนเซียงครั้งก่อนว่าแท้จริงแล้วสุราของทิงเฟิงเชวี่ยนนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองเทียนเซียง ทั้งยังไม่เคยยอมให้ใครติดเงินเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าคนงุ่มง่ามผู้นั้นไปโน้มน้าวใจเถ้าแก่ของที่นั่นว่าอย่างไร ไม่เพียงแต่จะยอมให้ทางนี้ชำระเงินหลังสิ้นเดือน แต่ยังยินดีขนส่งสุรามาให้ถึงที่ด้วยตัวเองอีกด้วย
สั่งการให้จวี๋เหนียงที่อยู่ในครัวจัดเตรียมอาหารเพิ่มอีกสองสามจานสำหรับห้องส่วนตัวนี้โดยเฉพาะ มั่วเชียนเสวี่ยก็ยกมันเข้ามาบริการด้วยตัวเอง
คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เถ้าแก่อวี๋ก็ลุกขึ้นยืนรอรับนางด้วยท่าทีละล้าละลังยิ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นหนิงเซ่าชิงที่ส่งสายตาให้อีกฝ่ายก่อน จากนั้นเขาจึงยอมนั่งลงอีกครั้งแต่โดยดี มองดูกิริยาท่าทางที่เคารพนับถืออย่างถึงที่สุดของเถ้าแก่อวี๋ที่มีต่อหนิงเซ่าชิงแล้ว จู่ๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าหรือนางจะพลาดอะไรบางอย่างไปแล้ว
มองไปที่หนิงเซ่าชิงด้วยสายตาที่งงงวยและว่างเปล่า แต่เขากลับทำเพียงยิ้มและพยักหน้าให้นางเท่านั้น
มันจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่! ชายคนนี้ไม่ว่านอนสอนง่ายเลยจริงๆ ดูเหมือนในวันนี้หลังจากที่นางกลับบ้านไปจะต้องออกแรง ‘รีดเค้นคำสารภาพ’ สักหน่อยแล้ว
เพิ่งจะลงมาจากชั้นบน แขกผู้มาเยือนคนใหม่ก็มาถึงที่ร้านอาหาร
สาวใช้และหมัวมัวซึ่งดูมีอายุหลายคนเดินขนาบข้าง ประคองหญิงสาวในชุดอาภรณ์ที่ทำจากขนสัตว์ชั้นดี ศีรษะสวมหมวกเหวยเม่าเดินเข้ามาในร้าน
บรรยากาศรอบตัวของหญิงสาวผู้นั้นดูไม่ธรรมดาเลย จะต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่งหรือไม่ก็บุตรีของขุนนางสักตระกูลหนึ่งเป็นแน่แท้ สายตาของมั่วเชียนเสวี่ยไปสะดุดเข้ากับหมัวมัวคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
นางรู้สึกคุ้นตาหมัวมัวคนนี้…
เดี๋ยวนะ! นี่…ไม่ใช่หมัวมัวของคุณหนูเจี่ยนที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยชั่วชีวิตเอาไว้ตอนตกลงไปในน้ำหรอกหรือ
ดูเหมือนว่าจะชื่อหยวนหมัวมัวอะไรสักอย่าง
ไม่กี่คนหยุดยืนอยู่ตรงที่หน้าประตูร้าน หยวนหมัวมัวไม่ได้ก้าวขึ้นมาเอ่ยทักทายมั่วเชียนเสวี่ย แต่สายตากลับมองมาทางนางอย่างลึกซึ้ง เป็นสาวใช้นางหนึ่งข้างกายของคุณหนูผู้นั้นที่เดินขึ้นมาเอ่ยถามอย่างสุภาพแทนว่า “ท่านเถ้าแก่เนี้ย ที่นี่มีห้องส่วนตัวหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับอย่างเรียบง่าย พลางหันไปหาอวิ๋นอิ๋นที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่และพูดว่า “อวิ๋นอิ๋น ช่วยพาแขกเหล่านี้ไปที่ห้องดอกเหมยชั้นบนที”
เมื่อตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยออกแบบร้านอาหาร นางได้แบ่งชั้นบนออกเป็นทั้งหมดหกห้อง
ห้าห้องเป็นห้องส่วนตัวและอีกหนึ่งห้องเป็นห้องที่สงวนไว้สำหรับนางโดยเฉพาะใช้เพื่อพักผ่อน แต่ตอนนี้มันถูกยกให้เป็นที่พักอาศัยของสองแม่ลูกอวิ๋นอิ๋นไปเสียแล้ว
ห้องส่วนตัวทั้งห้าห้องล้วนถูกตั้งชื่อตามดอกไม้ทั้งสิ้น
ห้องที่อยู่ตรงกลางสุด ใช้ชื่อว่าหมู่ตานหรือโบตั๋นตามฉายาของราชาแห่งบุปผาทั้งมวล ส่วนอีกสี่ห้องที่เหลือถูกตั้งชื่อว่าห้องดอกเหมย ห้องกล้วยไม้ ห้องไม้ไผ่ และห้องเบญจมาศตามลำดับ
ในเวลานั้นหนิงเซ่าชิงยกย่องแนวคิดนี้ว่าช่างมีความสร้างสรรค์และสง่างามเหลือเกิน แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นผู้ใดตั้งชื่อดั่งเช่นที่นางทำมาก่อน แม้จะได้รับการยกย่องเป็นล้นพ้น แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับทำได้เพียงยิ้มรับไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ก็นะ นางเพียงแต่ลอกเลียนแบบผู้อื่นมาเท่านั้นเองนี่นา
ร้านอาหารขนาดใหญ่ทั้งหลายในยุคสมัยนี้ ยังไม่มีแนวคิดตั้งชื่อสวยหรูเพื่อใช้เรียกห้องส่วนตัวทุกห้อง ที่มีอยู่ก็แค่ใช้เรียกเลียนแบบกันอย่างห้องอักษรเทียน ห้องอักษรตี้ หรือไม่ก็เรียกตรงๆ ไปเลยว่าห้องแรกฝั่งทิศตะวันออก หรือห้องที่สองฝั่งทิศตะวันตกอะไรทำนองนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยมองตามหลังคนทั้งหกที่เดินขึ้นชั้นบนไปก็ลอบเบ้ปากเล็กน้อย ในเมื่อผู้อื่นไม่ยินดีแสดงตนว่ารู้จักกับนาง นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักด้วยเช่นกัน! นางไม่ได้หิวเงินมากถึงขั้นที่ต้องวิ่งส่ายหางไปประจบประแจงเพื่อขอรางวัลจากใครหรอกนะ
ไม่อย่างนั้น ในวันนั้นนางคงรับของขวัญแทนคำขอบคุณจากซินอี้หมิงไปแล้ว
เมื่อนึกถึงซินอี้หมิงผู้นี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เผลอหลุดยิ้มออกมา คนแบบนั้นไม่คิดเลยว่าจะขี้เกรงอกเกรงใจขนาดนี้
หลังจากการเจรจาสัญญาในวันนั้นสำเร็จลุล่วงลงไป เกาหลั่งก็ได้หยิบกล่องผ้าสักหลาดออกมากล่องหนึ่งแล้วยื่นมันให้นาง บอกว่าให้เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณนาง นี่มันคือการรับมอบสิ่งของเป็นการส่วนตัวชัดๆ มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยปากปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะเปิดมันออกดูด้วยซ้ำ
เกาหลั่งอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านี่เป็นค่าตอบแทนเรื่องในครั้งนั้นที่นางช่วยชีวิตหญิงสาวที่ท่าเรือเอาไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมคะยั้นคะยอให้นางรับไว้ให้ได้ จนมั่วเชียนเสวี่ยเอะใจขึ้นมา แล้วอดไม่ได้ถามกลับไปว่า คุณหนูผู้นั้นแซ่เจี่ยน ส่วนคุณชายของเจ้าแซ่ซิน เขาอาศัยอะไรมามอบของขวัญแทนคำขอบคุณแทนผู้อื่นกัน
เกาหลั่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับสะอึก ส่วนทางด้านซินอี้หมิงนั้นหน้าแดงเล็กน้อย เขาหยิบกล่องนั้นกลับมาแล้วพรวดพราดเดินออกไปจากห้องทันที มั่วเชียนเสวี่ยยามนั้นถึงได้เข้าใจ หัวเราะไล่หลังเขาไปด้วยเสียงดังลั่น
ที่แท้ คุณหนูเจี่ยนผู้นี้ก็คือสตรีในดวงใจของเขานี่เอง!
เพียงแต่ ชักอยากจะรู้เสียแล้วสิว่าสตรีเช่นไรกันถึงได้ทำให้คุณชายผู้สูงศักดิ์ เก่งกาจเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านอย่างเขาผู้นี้หลงใหลปักใจรักได้มากถึงเพียงนี้
ในวันนั้นที่นางกระตือรือร้นช่วยเหลือผู้อื่น บอกตามตรงว่านางไม่ทันได้สังเกตรูปลักษณ์ของคุณหนูผู้นี้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ จากสถานการณ์ในยามนั้น คุณหนูที่ถูกพาตัวขึ้นมาจากน้ำแล้วถูกพรากจุมพิตเพื่อแลกเปลี่ยนลมปราณเช่นนาง ภาพลักษณ์แสนน่าอายเช่นนั้น ต่อให้สวยหยาดเยิ้มเพียงใดก็คงหมดสิ้นความงามอยู่ดีกระมัง
หลังจากที่อวิ๋นอิ๋นรับรองแขกอย่างคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินกลับลงมาที่ชั้นล่างโดยมีสาวใช้คนหนึ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง
“เถ้าแก่เนี้ย คุณหนูของเราเชิญท่านขึ้นไปสนทนาด้วยกันสักครู่เจ้าค่ะ” กิริยาวาจาของสาวใช้นางนี้ค่อนข้างสุภาพทีเดียว
หมวกเหวยเม่าบนศีรษะของเจี่ยนชิงโยวถูกปลดออกนานแล้ว เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามา นางก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยอบกายคารวะมั่วเชียนเสวี่ยในแบบชนชั้นสูงอย่างเต็มพิธีการ
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงอยู่กับที่ ร่างทั้งร่างหยุดชะงักไปอย่างมิอาจห้ามได้ หากแต่ไม่ใช่เพราะตกใจในการคารวะของอีกฝ่าย
แต่เป็นเพราะ…สตรีที่อยู่ตรงหน้านางยามนี้งดงามเกินไปแล้ว!
เส้นผมสีดำขลับราวกับน้ำหมึกถูกเกล้าขึ้นเป็นทรงอย่างองค์หญิง ปิ่นลายบุปผามุกประกอบด้วยพู่ห้อยระย้าถูกจัดตกแต่งขึ้นไปอย่างเอาใจใส่ยิ่ง เมื่อนางพูด พู่ระย้านั่นก็จะแกว่งไปมาด้วย
ใบหน้าขาวนวลผุดผ่อง ผิวพรรณเรียบเนียนกระจ่างใส วงคิ้วเรียวงามดุจดั่งภาพวาด ยิ่งเมื่อได้สบกับดวงตาที่เป็นประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้านั่น ก็ยิ่งขับเน้นให้เครื่องหน้าที่ปากนิดจมูกหน่อยนั้นดูเย้ายวนใจ
อย่างไรก็ตาม ริมฝีปากที่ยกโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มซึ่งแฝงไว้ด้วยความเศร้าจางๆ กลับขับเน้นให้องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของหญิงงามยิ่งดูสวยเด่นและมีเสน่ห์ ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าเศษฝุ่นผงธุลีในแดนมนุษย์นั้นมิอาจทำให้นางแปดเปื้อนได้เลย