ตอนที่ 86 ไม่เชื่อฟังต้องตีก้น (1)
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังแปลกใจอยู่นั้น ในเรือนมีร่างสง่างามเดินออกมา เสียงนุ่มนวลราวกับเครื่องสายตะวันตก
“แน่นอนว่าพวกเขาเรียกเจ้า”
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“พวกเขาคือองครักษ์เก่าของข้า ไม่มีข้าวปลาอาหารให้กินแล้ว จึงมาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าไม่ยอม พวกเขาจึงมาขอร้องเจ้า”
อาซานและอาอู่ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนอิ่งซา ไม่ว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร ขอเพียงเป็นสตรีที่เจ้านายของพวกเขาให้การยอมรับ เช่นนั้นก็เป็นนายหญิงของพวกเขา
ได้ยินหนิงเซ่าชิงพูดเช่นนี้ ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพูดอย่างพร้อมเพรียง “ฮูหยินได้โปรดให้ข้าวพวกข้ากินด้วยขอรับ”
“ฮะ?” บุรุษทั้งสองที่เคร่งครัด บุรุษทั้งสองที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับน่าเวทนายิ่งนัก ไม่มีแม้แต่ข้าวกิน? ก็จริง ทั้งสองถือดาบเอาไว้ แม้จะต่อสู้เป็นบ้าง แต่คาดว่าแสร้งทำไปเท่านั้น ใช้ชีวิตด้านนอกไม่ง่ายเลยจริงๆ ทำนาไม่เป็น ทำงานฝีมือไม่ได้ ยากที่จะเลี้ยงชีพจริงๆ!
นางกำลังต้องการคนอยู่พอดี มีคนเพิ่มขึ้นสองคนก็คล้ายมีตะเกียบเพิ่มขึ้นสองคู่ ใช้งานคนรู้จักย่อมดีกว่าใช้งานคนแปลกหน้า
ตอนนี้ ไม่ต้องเก็บถั่วแล้ว หลิวเหล่าซวนถูกนางย้ายไปเฝ้าโกดังเก็บของ ยกเกวียนวัวให้หวังเสี่ยวเหลย ให้เขาขับเกวียนส่งนางและจวี๋เหนียงไปร้านอาหารทุกวัน
หวังเสี่ยวเหลย แม้นจะแลดูแข็งแรง แต่ความเป็นจริงกลับขับเกวียนไม่เป็น ตลอดทาง นั่นไม่ได้เรียกว่าขับเกวียนแล้ว เรียกว่าจูงวัวต่างหาก
เขาเดินอยู่บนพื้นตลอดทาง ไม่เพียงแค่ช้า มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเช่นนั้น ภายในใจรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ชี้ไปยังบุรุษหนุ่มที่เรียกแทนตนว่าอาซาน มั่วเชียนเสวี่ยถาม “เจ้า ขับเกวียนเป็นไหม”
“ขับเกวียน?” อาซานตกตะลึง เขาขี่ม้าเป็น ขับรถม้าเป็น แต่เกวียนนั้น เขาไม่เคยแม้แต่จะนั่ง แล้วจะให้ขับเป็นได้อย่างไร
“ข้าน้อยขับเกวียนเป็นขอรับ” อาอู่แย่งตอบ วัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะยากเท่าใดกัน นายให้เขาขับรถม้า เขาก็ต้องขับรถม้า นายให้ตนขับเกวียน เขาก็ต้องขับเกวียน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่เป็นก็ต้องเป็น
“ได้ ถ้าเช่นนั้นรับเจ้าเอาไว้” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอาอู่มีไหวพริบ รู้สึกดีใจ “ส่วนเจ้า…”
อาซานเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองมา นึกว่าฮูหยินรังเกียจที่เขาทำอะไรไม่เป็น รู้สึกกระวนกระวายใจ
กวาดตามองใบไม้ที่ตกอยู่ในลาน พูดด้วยความเฉลียวฉลาด “ข้าน้อยทำงานบ้านเป็นหลายอย่างขอรับ ยกของย้ายของหรือกวาดลานต่างๆ ข้าน้อยทำเป็นทุกอย่างขอรับ”
มุมปากของหนิงเซ่าชิงอดไม่ได้ที่จะกระตุก
ส่วนเงาบางเงาที่ซ่อนอยู่ แทบจะหัวเราะจนท้องแข็ง
สองคนนี้ ปกติสีหน้าเย็นชา นอกจากเจ้านายแล้ว ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ตอนนี้ช่างดีนัก คนหนึ่งกลายเป็นสารถีขับเกวียน คนหนึ่งกลายเป็นบ่าวทำความสะอาดเรือนและเฝ้ายาม
ประเด็นสำคัญคือ ‘งาน’ นี้พวกเขาเป็นคนร้องขอที่จะทำเอง
มองดูชายหนุ่มตรงหน้าทั้งสอง มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย นางอยากจะบอกว่า ทำงานกับนางค่าแรงไม่สูง ทั้งสองทำงานที่นี่จะเป็นการใช้งานไม่สมกับความสามารถหรือไม่ เงยหน้าขึ้นกลับเห็นหนิงเซ่าชิงมองทั้งสองด้วยแววตาซับซ้อน ความรู้สึกเสียใจสะท้อนออกมา คำพูดของเขาติดอยู่ที่ปากแต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยหยุดชะงัก อาอู่หัวใจบีบรัด “อาอู่ทำได้ทุกอย่าง ขอเพียงฮูหยินรับข้าเอาไว้”
ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านมีเสียงกลอง เสียงประทัดดังไม่หยุด เสียงของผู้คนมากมาย…
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนี้เป็นวันมงคลของหลี่ไคสือและฟางเถาเอ๋อร์
ชาวบ้านให้ยึดถือการแต่งงานในช่วงปีใหม่ เชื่อว่าลูกเมียจะมีความสงบสุข
หนึ่งเดือนกว่าของต้นปี มีฤกษ์งามยามดีเจ็ดวัน ทั้งสองทำเรื่องบัดสีไปแล้ว แน่นอนว่าต้องรีบจัดงานมงคล มิเช่นนั้นปล่อยไว้นานวันเข้าจะยิ่งไม่ดี
นี่อย่างไรเล่า ได้ยินอาซ้อฟางบอกว่าทั้งสองตระกูลหารือเรื่องฤกษ์ตั้งแต่คืนนั้น
ตระกูลของหลี่ไคสือไม่มีสินสอดมากมายเท่าใดนัก ทว่าตระกูลของฟางเถาเอ๋อร์กลับให้สินเดิมมากมาย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก่อนแต่งงาน แน่นอนว่าฝ่ายหญิงเสียเปรียบ ไม่ถูกจับไปอยู่ในเล้าหมูก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
เมื่อหลายวันก่อน ทั้งสองตระกูลส่งเทียบเชิญให้นางไปร่วมพิธี ดื่มสุรามงคล ให้นางไปช่วยสร้างความครื้นเครง
นางปฏิเสธไปโดยอ้างว่าตนงานยุ่งมาก คิดไม่ถึงว่าเช้าวันนี้มารดาที่ไร้ยางอายของฟางเถาเอ๋อร์จะมาถึงหน้าประตู ดึงดันจะรับนางไปร่วมพิธีมงคลให้ได้
มั่วเชียนเสวี่ยบอกว่ายุ่ง ไปไม่ได้! นางคร่ำครวญหน้าประตูไม่ยอมละจากไป จนกระทั่งได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยบอกว่าจะฝากอาซ้อฟางให้เอาของขวัญแต่งงานไปให้ นางจึงจากไปด้วยความอิ่มเอมใจ
บนโต๊ะมีหนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ยนั่งกินข้าวด้วยกัน ถือว่าบรรยากาศดีระดับหนึ่ง
ตอนมั่วเชียนเสวี่ยทำอาหาร อาอู่ดึงดันจะเข้ามาช่วย สุดท้ายทำให้ทั้งครัวเต็มไปด้วยควัน ไฟเกือบจะไหม้เรือนอยู่แล้ว
เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยอยากจะตำหนิ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มเปื้อนดำ ด้วยความไม่สบายใจทำให้เขายิ่งทำตัวไม่ถูก คิดว่าภายในใจของเขาคงรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้นางจึงใจอ่อน เพียงแค่ไล่เขาออกไปจากครัวเสียงเบาๆ เท่านั้น
อาซานเห็นอาอู่ถูกไล่ออกมา กลัวฮูหยินจะรังเกียจที่พวกเขาไร้ประโยชน์ จึงรีบพาอาอู่ไปหลังเขาแล้วหอบฟืนกลับมา
ตอนถึงเวลากินข้าว มั่วเชียนเสวี่ยให้พวกเขาสองคนกินข้าวบนโต๊ะ คนหนึ่งไปตักน้ำ อีกคนหยิบไม้กวาดมากวาดลานบ้าน ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าจะไม่กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกตน มั่วเชียนเสวี่ยมองออกทันที
ช่างเถอะ คนโบราณกฎระเบียบมากมาย นิสัยประหลาดหลายอย่าง นางก็ไม่ได้ดึงดัน เช่นนี้ก็ดีจะได้ลดปัญหา
แบ่งข้าวปลาอาหารเรียบร้อย แบ่งบางส่วนเอาไว้ในครัว ส่วนนางก็ยกข้าวปลาอาหารไปปรนนิบัติรับใช้หนิงเซ่าชิง แม้จะพูดว่าปรนนิบัติรับใช้ แต่ความเป็นจริงคือไปกินเป็นเพื่อน
ได้ยินเสียงดังจากทางด้านนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจัดวางอาหารให้หนิงเซ่าชิง พร้อมกับเอ่ยถาม “เซ่าชิง ทำไมเจ้าไม่ไปร่วมพิธีมงคลล่ะ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” หนิงเซ่าชิงวางตะเกียบลงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เหมือนว่าพูดถึงสองคนนั้นก็ทำให้เขาสะอิดสะเอียนอย่างไรอย่างนั้น
เห็นหนิงเซ่าชิงหน้าบึ้ง หัวใจมั่วเชียนเสวี่ยหดเล็ก นางไม่รู้จะพูดอะไร อยากจะพูดคุยกับเขาด้วยความจริงใจ หาเรื่องพูดคุยด้วยเท่านั้น! เหตุใดจึงพูดถึงคนไร้อางอายทั้งสองนั้นได้เสียนี่
พอแล้วๆ ต้องรีบเปลี่ยนบทสนทนา
ชำเลืองตา มั่วเชียนเสวี่ยกระแอมไอ หัวเราะแห้งๆ “วันนี้ไปจวนเจี่ยน ชิงโยวช่างดียิ่งนัก นางทั้งรูปโฉมงดงาม จิตใจดี จับมือข้า พาข้าเดินชมสวน…”
“จับมือ? มือข้างใด?” น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย ดวงตาลุ่มลึกจับจ้องมาที่มือของนางราวกับลูกศร มองจากมือซ้ายไปมือขวา แล้วมองจากมือขวาไปมือซ้าย
“เอ่อ…” วันนี้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพูดอะไรก็ผิดไปเสียหมด นางลืมเรื่องคราวก่อนได้อย่างไร
อยากจะยกเท้ามาก่ายหน้าผาก
แม่เจ้าโว้ย หรือจะให้นางบอกว่า วันนี้อากาศดียิ่งนัก ดวงจันทร์กลมมนดีเสียจริง
“ข้างนี้…” เห็นดวงตาคู่นั้นกวาดมองมือข้างซ้าย มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยความกังใจ “เหมือนจะ…ไม่…”
เห็นใบหน้านั้นคล้ายจะโมโห ดวงตาคู่นั้นมองมือขวา นางพูดเสียงอ่อนด้วยความไม่มั่นใจเท่าใดนัก “ข้างนี้…ก็ เหมือนจะไม่…”
“สรุปแล้วจับหรือไม่จับ”
สีหน้าของหนิงเซ่าชิงบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยก็เบาลงเรื่อยๆ “เหมือนจะไม่ได้จับ ข้าจำผิดไป”
“เช่นนั้นหรือ”
บรรยากาศกดดันยิ่งนัก น้ำเสียงเครื่องสายตะวันตกเคร่งขรึมยิ่งนัก เป็นเวลาก่อนที่พายุฝนจะมา
ไอเย็นกดทับจนมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกทรมาน เสียใจยิ่งนัก นางดื้อดึงขึ้นมา เหยียดกายลุกขึ้น พูดเสียงดัง “จับแล้ว จับมือทั้งสองข้างเลย!”