ตอนที่ 89 ไม่เชื่อฟังต้องตีก้น (4)
หลี่ไคสือหวนนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อคืน นึกถึงฟางเถาเอ๋อร์ด่าทอว่าเขาไร้น้ำยา นึกถึงฟางเถาเอ๋อร์***ต่อหน้าตน น้ำหนักมือของเขาก็แรงยิ่งขึ้น
ตบนางไปสองสามที นึกถึงคำพูดของมารดาที่บอกว่าทำลายพรหมจรรย์อะไรนั่น ภายในใจของเขาก็คิดหาเหตุผลดีๆ ที่ไม่ต้องเข้าใกล้ฟางเถาเอ๋อร์ได้ทันที
“ท่านแม่ ลูกเสียใจยิ่งนัก! สตรีชั้นต่ำนางนี้ไม่ได้เป็นหญิงพรหมจรรย์ตั้งแต่แรก ต้องเคยหลับนอนกับบุรุษอื่นแน่นอน” นึกถึงฟางเถาเอ๋อร์ลูบคลำตนเองด้วยความชำนาญอย่างมีความสุข เขายิ่งพูดก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ
“โกหก หลี่ไคสือ เจ้ามันไร้น้ำยา เจ้าตั้งข้อครหากับข้า ขอให้เจ้าไม่ตายดี”
…
กินอาหารเช้าเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยไปตรวจตราโรงงาน ได้ยินพวกอาซ้อฟางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาจึงแยกย้าย
เป็นปกติที่สตรีจะชอบนินทา นางยิ้มแล้วถามอาซ้อฟาง ถึงเรื่องที่เมื่อครู่อาซ้อฟางกับป้าๆ พวกนั้นพูดคุยกันอย่างออกรส จากนั้นอาซ้อฟางก็เล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งรู้ว่าเมื่อวานตระกูลนั้นเพิ่งจัดพิธีมงคล วันนี้ตอนเช้าก็ทะเลาะตบตีกันแล้ว
ฟางเถาเอ๋อร์โดนสองแม่ลูกทุบตีจนหน้าเขียวช้ำไปหมด หลี่ปากลับยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
ในตอนหลังยังเป็นเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียง แล้วรีบเรียกให้พี่ชายของฟางเถาเอ๋อร์มาแยกสองแม่ลูกสติวิปลาสออก
คนหนึ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่สงวนตัวควรถูกจับใส่กรงหมูแล้วถ่วงน้ำ อีกคนบอกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่บุรุษแท้ หากไม่มีน้ำยาก็ไม่ควรมาขายหน้าบนโลก
ล้วนเป็นเรื่องน่าเกลียดที่ไม่ควรพูดออกมา
สุดท้าย เชิญหัวหน้าหมู่บ้านออกโรง เกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่ายให้ยอมความ ฟางเถาเอ๋อร์บอกว่าตอนที่ตนหลับนอนกับหลี่ไคสือยังเป็นหญิงพรหมจรรย์ หากสิ่งที่นางพูดไม่ใช่ความจริงเช่นนั้นขอให้ฟ้าผ่า หลี่ไคสือเองก็บอกว่าเป็นเพราะมีปมในใจจึงกล่าวหานางเช่นนั้นไป เรื่องนี้จึงค่อยจบลง
มั่วเชียนเสวี่ยฟังแล้วเพียงแค่ยิ้ม นี่เป็นเรื่องที่คาดการณ์เอาไว้แต่ต้น คนเช่นนี้ไม่มีปัญหากัน นั่นสิเรื่องแปลก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีปัญหากันเร็วเช่นนี้ ทะเลาะกันอย่างมีสีสันเช่นนี้
สมน้ำหน้า!
หลังจากสั่งงานในโรงงานเสร็จ หวังเทียนซงพาชายหนุ่มสี่คนเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยตรวจดูผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้
เมื่อวานตอนเย็นนางสั่งจวี๋เหนียงกับเสี่ยวซง นับจากนี้ทั้งสองไปร้านอาหารด้วยกัน ไม่ต้องรอนางแล้ว
อวิ๋นอิ๋นเป็นคนฉลาด นางมีพื้นฐานด้านบัญชีอยู่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยช่วยสอนเล็กน้อย นางก็จดบันทึกบัญชีตามที่มั่วเชียนเสวี่ยต้องการ ดังนั้นบัญชีที่นางทำจึงเข้าใจง่าย มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีก
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับชีวิตของนาง สตรีรู้หนังสือมีไม่มาก สตรีที่เขียนได้ก็ยิ่งมีน้อย สาวใช้เช่นนี้ ถูกเลี้ยงเพื่อเป็นสาวใช้คนสนิทแน่นอน
ทว่า ไม่ว่านางจะพูดอ้อมค้อมเช่นไร ขอเพียงอวิ๋นอิ๋นนึกถึงเรื่องในอดีต น้ำตาก็จะนองหน้า จากนั้นก็สะอึกสะอื้นร้องไห้เงียบๆ ถึงอย่างไรก็ไม่เคยปริปากพูดแม้แต่น้อย
มั่วเชียนเสวี่ยมีจิตวิญญาณของคนสมัยใหม่ สำหรับเรื่องส่วนตัวนางรู้ว่าควรให้เกียรติกัน ในเมื่อไม่อยากจะเล่า เช่นนั้นนางก็พอรู้ จึงไม่ได้ถามอีก
ถึงอย่างไรเสีย นางเชื่อว่าสตรีรันทดผู้นี้ไม่มีวันทรยศหักหลังตนก็พอแล้ว
ในร้านอาหาร ในครัวมีจวี๋เหนียง หน้าร้านมีอวิ๋นอิ๋น ในร้านมีเสี่ยวเหลยคอยยกอาหาร เด็กน้อยแสนปราดเปรื่องอย่างซีซีคอยช่วยทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ แม้จะเพิ่งเปิดร้านได้เพียงเจ็ดวัน แต่ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้ มั่วเชียนเสวี่ยแทบไม่ต้องเป็นกังวล
ดังนั้น นางคิดเอาไว้แล้ว วันนี้นางจะอยู่เรือนคอยแกะสลักรากไม้ จากนั้นตอนเย็นค่อยไปหารือกับพวกเขาที่ร้านอาหาร หลังจากแบ่งหน้าที่ของทุกคนจนชัดเจนแล้ว หลังจากนั้นในทุกวันก็แค่มานับจำนวนคน ค่อยไปนับเงินและเทียบบัญชีกับอวิ๋นอิ๋นก็พอแล้ว
หวังเทียนซงไม่มีความรู้ด้านการแกะสลักรากไม้ ทั้งยังเรียนรู้ช้า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คิดจะให้เขาทำงานฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ให้เขาดูแลแผงนี้ รับหน้าที่หลักดูแลการเข้าออกของรากไม้แกะสลัก ฝึกอบรมผู้มาเรียนรู้ ดูแลด้านการบริการหลังการขาย
ท่ามกลางเด็กทั้งสี่คน มีเด็กคนหนึ่งชื่อเกาฉีหวาอายุราวสิบขวบ เป็นคนที่มั่วเชียนเสวี่ยพอใจมาก
ก่อนหน้านี้มั่วเชียนเสวี่ยให้หวังเทียนซงสอนทักษะพื้นฐานด้านการใช้มีด ให้พวกเขาฝึกฝนด้วยตนเอง เจ้าเด็กเกาฉีหวาคนนี้มือนิ่งและตาดี มั่วเชียนเสวี่ยพูดคุยกับเขา พบว่าเขามีลำดับความคิดดี จินตนาการล้ำเลิศ เป็นคนที่เหมาะแก่การแกะสลักรากไม้ยิ่งนัก
นางจึงกำชับหวังเทียนซงให้ดูแลเกาฉีหวาเป็นพิเศษ วันข้างหน้าสองคนนี้คนหนึ่งดูแลการขายและบริการหลังการขาย คนหนึ่งดูแลด้านทักษะการแกะสลัก ไม่ต้องกังวลว่าตลาดค้ารากแกะสลักจะไม่เติบใหญ่
เช่นนี้ หลังจากเด็กๆ เรียนรู้วิธีการแกะสลักรากไม้ไปหนึ่งคาบ ทั้งยังทำการสาธิตให้ดู หลังจากให้กำลังใจพวกเขาแล้วก็มอบหมายงานให้ทำ บอกพวกเขาฝึกฝนให้มากแล้วค่อยให้แยกย้ายกันกลับ
ตอนกลางวันมั่วเชียนเสวี่ยกินอาหารกลางวันตามลำพัง ไม่ได้สนใจหนิงเซ่าชิง สั่งอาอู่ขับเกวียน ไปร้านอาหารตรงท่าเรือ
นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่เรือน แล้วไม่สนใจหนิงเซ่าชิง ผู้ใดใช้ให้เมื่อวานเขาตีบั้นท้ายนางเล่า
อาอู่ขับเกวียนไม่ชำนาญเหมือนหลิวเหล่าซวน ทว่าท่วงท่าของเขากลับสวยงามกว่าหลิวเหล่าซวน อย่างน้อยหลังของเขาเหยียดตรง อย่างน้อย วัวก็ถือว่าเชื่อฟัง
แน่นอนว่าอาอู่ไม่มีทางบอกฮูหยินหรอก เมื่อคืนเขาให้ฟางต้าถังสอนเขาขับเกวียน เขายิ่งไม่มีวันให้ฮูหยินรู้ว่าเมื่อคืนเขาพูดคุยผูกมิตรกับวัวทั้งคืน
เขาไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้านายของตนจึงไม่ซื้อรถม้าให้ฮูหยิน
เพิ่งขับเกวียนถึงหน้าหมู่บ้าน รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวเข้ามาหา สารถีที่ขับรถม้าคือเหล่าหวังบ่าวรับใช้คนเก่าคนแก่ของตระกูลเจี่ยนที่ส่งนางกลับมาวันนั้น
“หนิงเหนียงจื่อ จะไปที่ใดหรือขอรับ คุณชายและคุณหนูของข้าน้อยไปหาท่านที่ร้านอาหาร ท่านไม่อยู่ ข้าน้อยจึงพาพวกท่านมาหาท่านที่เรือน”
“ชิงโยวมางั้นหรือ เหตุใดจึงไม่บอกล่วงหน้า ให้ข้าได้เตรียมตัวเสียหน่อย”
“เชียนเสวี่ย มารบกวนโดยไม่บอกล่วงหน้า เป็นความผิดของข้า จะลงโทษเช่นไร ชิงโยวยอมทุกอย่าง”
เจี่ยนชิงโยวเปิดม่านรถม้า ส่งยิ้มให้มั่วเชียนเสวี่ย กำลังจะแนะนำพี่ชายเจี่ยนมั่วไป๋ที่เผยหน้าออกมาแล้ว
คาดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะกระโดดลงจากเกวียน ยื่นมือมาช่วยพยุงนางลงจากรถม้า
“มา ชิงโยว มานั่งเกวียนกับข้าเถอะ”
หยวนหมัวมัวก็กระโดดลงจากรถม้าเช่นเดียวกัน ร้องตะโกนสุดเสียง “ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ทำเช่นนี้ได้อย่างไร คุณหนูใหญ่ของตนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เล็ก แล้วจะทนกับการกระแทกของเกวียนและลมที่พัดมาได้อย่างไร ทั้งยังเผยหน้าให้เห็นอีก…
อาอู่กระแอมไออย่างสุดแรงอยู่ข้างๆ
ฮูหยิน วันนี้เขาต้องทำบาปมหันต์แล้ว เจ้านายไม่กล้าทำอะไรฮูหยิน แต่ว่าทำให้เขาตกทุกข์ได้ยากนั้นย่อมทำได้
เมื่อคืนได้ยินอิ่งซาบอกว่าเจ้านายตีบั้นท้ายของฮูหยิน ทว่า กลับถูกฮูหยินเตะลงจากเตียง
เจ้านายถูกฮูหยินเตะลงจากเตียง ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก เอาความโมโหมาลงกับเขาและอาซาน มาหาพวกเขากลางดึก สั่งให้พวกเขาประลองฝีมือให้เขาชม พูดอย่างไพเราะว่า ‘ไม่เห็นพวกเขาต่อสู้มานาน ไม่รู้ว่าวรยุทธ์ถดถอยหรือไม่’
น่าสงสารเขาที่ก่อนหน้านี้เพิ่งเรียนขับเกวียน จากนั้นก็ต้องมาประลองกับอาซาน สุดท้ายยังต้องไปสร้างสัมพันธ์ผูกมิตรกับวัว ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน
อิ่งซาบอกว่า สิ่งต้องห้ามที่สุดสำหรับเจ้านายคือฮูหยินสนิทสนมกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนผู้นี้
พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้านายจึงเกลียดชังคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนมากเช่นนี้ ทว่า ความไม่ชอบใจของเจ้านายก็คือความไม่ชอบใจของพวกเขา พวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เปิดโอกาสให้ฮูหยินได้ใกล้ชิดกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนอีก