ตอนที่ 95 คุณชายถงผู้ทำตัวแปลกประหลาด (5)
มั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปด้านใน
อาอู่ถูกรั้งให้อยู่ด้านนอก
เรือนหลังนี้สร้างขึ้นโดยมีภูเขาอยู่ด้านหลัง ยิ่งใหญ่มาก ตลอดทางที่เดินเข้าไป มีศาลาตั้งตระหง่าน ทางเดินมีสะพานเชื่อมประสานกัน ระหว่างเดิน พื้นทางเดินขึ้นลง ให้ความรู้สึกสนุกอีกอย่างหนึ่ง
รสนิยมของสวนแห่งนี้ ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลเจี่ยน ในทางตรงกันข้ามกลับมีรสนิยมที่เหนือกว่าเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยอดทอดถอนหายใจไม่ได้ ความเจริญรุ่งเรืองอาจสำเร็จได้ในรุ่นเดียว ทว่าการเป็นคนที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีกลับต้องสั่งสมหลายต่อหลายรุ่น นี่คือข้อแตกต่างระหว่างตระกูลที่ร่ำรวยและตราะกูลที่มีการศึกษา ไม่แปลกที่ลูกหลานขุนนางจะดูแคลนปัญญาชนที่ฐานะยากไร้ ดูถูกตระกูลมั่งคั่งใหม่ในราชสำนัก
ต้อนรับแขกที่ห้องโถงหลัก ชายชราหนวดเคราขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน ด้านหลังของเขามีชายชราอายุเท่ากันยืนอยู่ บ่าวรับใช้สองนายกำลังปรนนิบัติรับใช้
ชายชราผู้นั้นผมขาว ใบหน้าเหี่ยวย่น ทว่า สายตาของเขาแหลมคม หลังตรง ใบหน้านั่น บุคลิกนั่น ล้วนแสดงออกมาตรงนั้น เพียงแค่มองปราดเดียว ก็รู้ทันทีว่าตอนหนุ่ม ต้องเป็นคุณชายที่สง่างามแน่นอน
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามา พวกเขาออกไปทันที
“ข้าสกุลถง”
“สวัสดีค่ะท่านผู้เฒ่าถง! ข้าชื่อมั่วเชียนเสวี่ยเจ้าค่ะ” มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงกับผ่าเผยของเขา จึงเผลอกล่าวทักทายด้วยคำพูดในยุคปัจจุบัน
ท่านผู้เฒ่าถงแปลกใจกับการเรียกเช่นนี้เล็กน้อย ทว่าพอใจอย่างมาก ท่าทีโอนอ่อนลงบ้าง
“ได้ยินว่า เจ้าอยากจะได้หุบเขาผืนนั้นของข้า?”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าเตรียมสิ่งใดมาแลก”
หุบเขาลูกนี้ มีขนาดประมาณหนึ่งพันหมู่ แสงแดดเพียงพอ หากปลูกพืชดีๆ ก็จะเป็นผืนดินที่ดี คาดว่าราคาคงไม่ถูก ไม่มีทางที่จะซื้อได้ด้วยเงินไม่กี่ร้อยหรือหลักพันตำลึงแน่นอน มั่วเชียนเสวี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาถามตรงเกินไป จึงทำให้นางไม่รู้จะตอบเช่นไร
ภายในห้องเงียบนานเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป
ท่านผู้เฒ่าถงไม่คิดจะให้นางลำบากใจตั้งแต่แรก ดึงชาในแก้ว พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้ามีความรู้ด้านการรักษาหรือ”
คำพูดนี้เกิดขึ้นจากที่ใด มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อย จัดการความคิด แล้วตอบไปตามจริง “ข้าไม่มีความรู้ด้านการรักษาเจ้าค่ะ”
แม้นางอยากจะได้หุบเขาลูกนั่น แต่ก็ไม่อาจหลอกลวงผู้อื่นได้ หากนางมีความรู้ด้านการรักษา เช่นนั้นนางจะรักษาหนิงเซ่าชิงให้หายดีเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็อยู่ที่เรือน ปลูกต้นรักกับเขา ไม่มีวันเที่ยวออกเดินทาง ท่ามกลางหิมะโปรยปราย
“อืม! ไม่มีความรู้ด้านการรักษา? แล้วเหตุใดข้าจึงได้ยินว่า เจ้าช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยน ทั้งยังรักษาเจี่ยนเหล่าไท่จวินที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้?!”
“นั่น นั่นเป็นเพียงวิธีการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น เชียนเสวี่ยมีความรู้เพียงผิวเผิน”
“หุบเขาลูกนั้นข้าไม่มีวันขาย”
“ไม่ขาย?” แล้วจะให้นางกลับมาทำไม
“แต่ว่า หากเจ้าสามารถรักษาบุตรชายของข้าได้ เช่นนั้นข้าจะลองคิดพิจารณาดูว่าจะยกหุบเขาลูกนั้นให้เจ้าดีหรือไม่”
ยกให้? หุบเขาลูกใหญ่ขนาดนั้น กว้างหลายพันหมู่ สิ่งที่นางคิดคือแค่เช่าเท่านั้น
ได้ประโยชน์มากขนาดนี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น ไม่แน่อาจจะเป็นแมวตาบอดชนกับหนูตายก็ย่อมได้ ปีเหล่านั้น เพื่อทำธุรกิจ คุยการค้า นางอ่านหนังสือเพื่อสุขภาพมากมาย มีความรู้ความเข้าใจในด้านนี้ โดยเฉพาะด้านการใช้อาหารในการรักษา
ถึงแม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ไม่อาจพูดเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยความถ่อมตน “เชียนเสวี่ยไม่มีความรู้ด้านการรักษาจริงๆ เจ้าค่ะ หากอาการป่วยของบุตรชายท่านต้องเสียเวลาเพราะเหตุนี้ เกรงว่าเชียนเสวี่ยไม่อาจรับผิดชอบได้”
“เจ้ายังไม่ได้รักษา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนไม่มีความรู้ด้านการรักษา”
“…” มั่วเชียนเสวี่ยใบ้รับประทาน
“แต่ว่า เจ้าต้องรับปาก หากไม่อาจรักษาโรคนี้ได้ เรื่องที่พบเจอในวันนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว”
โรคประหลาดอะไร เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนี้ ถึงแม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่กลับพูดออกไปว่า “มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องในวันนี้เด็ดขาดเจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าถงได้ยินนางพูดด้วยความหนักแน่นเช่นนี้ จึงไม่ได้พูดอะไรมากมาย เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
มั่วเชียนเสวี่ยรีบเดินตามไป
ท่านผู้เฒ่าถงเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เดินผ่านทางเดินมากมาย แม้ทิวทัศน์จะงดงาม ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่มีเวลาชื่นชม
นางรู้สึกแปลกใจ โดยปกติตระกูลที่ร่ำรวย ภายในเรือนมีสาวใช้มากมาย ทว่า ตั้งแต่นางเข้ามาในเรือน จนกระทั่งตอนนี้ตลอดทางที่เดินมานั้น นางพบเจอแต่บ่าวรับใช้ องครักษ์ ทั่วทั้งเรือนไม่มีสาวใช้แม้แต่คนเดียว
เดินไปอีกไม่กี่ก้าว มาถึงเรือนที่สงบ ประตูเรือนปิดสนิท
พ่อบ้านเดินไปเปิดประตู ด้านในมีเสียงหัวเราะและฉีกเสื้อผ้าดังขึ้น
ยิ่งเดินไปด้านหน้า เสียงนั้นก็ยิ่งชัดเจน
ท่านผู้เฒ่าถงเดินไปถึงนอกหน้าต่างที่เสียงนั้นดังออกมา แล้วหยุดก้าวเดิน
“ด้านในนั่น คือบุตรของข้า เจ้าเข้าไปดูด้วยตนเองเถอะ”
ความใคร่รู้ขับเคลื่อนขึ้นมา มั่วเชียนเสวี่ยมองเข้าไปด้านในผ่านช่องหน้าต่าง
ชายสวมชุดผ้าแพร นั่งฉีกผ้ากลางห้อง ด้วยความสนุกสนาน
เขานั่งฉีกผ้าอยู่ด้านใน พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง คล้ายว่าเสียงผ้าที่ถูกฉีกนี้ ทำให้เขารู้สึกพอใจอย่างมาก
ดูแล้วเขาเหมือนคนอายุยี่สิบต้นๆ ทว่าสีหน้ากลับคล้ายเด็กสามขวบ ใสซื่อ ไม่อาจแยกแยะสิ่งใดได้!
ทว่ามีความแปลกประหลาดที่ไม่อาจพูดออกมา มองอย่างพิจารณาหน้าตาของเขาเหมือนเด็กอายุสามขวบ ทว่ากลับดูเหมือน…จมดิ่งอยู่ในโลกของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยปั่นป่วน ไม่ต้องคิดสิ่งใดให้มาก คนผู้นี้ทั้งหัวเราะและฉีกผ้า อาการเช่นนี้? เห็นชัดว่าป่วยทางจิต
นางจะรักษาได้อย่างไร! ช่างเถอะๆ วันนี้นางมาเสียเปล่าแล้ว
กำลังจะปฏิเสธอ หันกลับไปเห็นท่านผู้เฒ่าถงหันหลังไปแล้ว ไหล่สั่นเทาผิดปกติ คาดว่าคงจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตนได้
เฮ้อ! ท่านผู้เฒ่าถงช่างน่าเวทนายิ่งนัก ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องแสร้งทำ ร้องถามและปลอบโยนเสียหน่อย แม้การค้าจะล้มเหลวทว่าความเมตตากรุณาจะยังคงอยู่!
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถามเสียงเบา “เขาเป็นเช่นนี้นานหรือยัง”
ท่านผู้เฒ่าถงได้ยินสิ่งที่นางถาม หันขวับกลับมา นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวัง ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยกลับเห็นน้ำตาซ่อนอยู่ในส่วนลึก
ท่านผู้เฒ่าถงกระเอมไอ พูด “เป็นเช่นนี้สองปีแล้ว”
“อ่อ เช่นนั้นเขาเพิ่งป่วยเมื่อสองปีก่อน?”
“ไม่ใช่ แค่ว่าอาการฉีกผ้าเช่นนี้เป็นมาสองปีแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ทำอะไรเจ้าคะ”
“ก่อนหน้านี้โยนถ้วยไปสองปี”
มั่วเชียนเสวี่ยแทบกระอักเลือด
แม่เจ้า ตัวนางต้องตระเวนหาเงินทั่วทุกสารทิศ เขาฉีกผ้ามาสองปี โยนถ้วยอีกสองปี ต้องใช้เงินเท่าใด
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเหลวไหล มั่วเชียนเสวี่ยถามต่อ “เช่นนั้นก่อนจะโยนถ้วยเล่า?”
“ฉีกกระดาษ ตีกลอง…ไม่หยุดหย่อนตลอดทั้งวัน”
“แล้วเขาเริ่มเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“น่าจะประมาณสามสี่ขวบกระมัง” นัยน์ตาของท่านผู้เฒ่าถงหม่นหมอง
“อ๋า?? เช่นนั้นก่อนอายุสามสี่ขวบเล่า” เป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ
“เป็นเด็กปกติ ฉลาดปราดเปรื่อง…” พูดถึงตรงนี้ น้ำตาของท่านผู้เฒ่าถงไหลรินลงมาอย่างไม่อาจกลั้นได้
“แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ทันใดนั้นเองท่านผู้เฒ่าถงก็มองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย สีหน้าระแวดระวัง แววตาคมเฉียบดั่งมีด
มั่วเชียนเวี่ยเองก็ไม่อยากขุดคุ้ยความเจ็บปวดของผู้อื่น แค่ว่าหุบเขาลูกนางสำคัญกับนางมาก อีกทั้ง ยิ่งฟังนางก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารคนนี้ไม่ได้ป่วยทางจิต มีความเป็นไปได้สูงว่า…