ตอนที่ 97 สารภาพรัก ความโกรธเคืองของเชียนเสวี่ย (2)
หนิงเซ่าชิงพยายามถามนาง นางก็ไม่อาจบอก บอกเพียงว่าเป็นความลับ รอให้นางได้ครอบครองหุบเขาลูกนั้นเสียก่อนค่อยเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
หากนางบอกหนิงเซ่าชิงว่านางกำลังคิดหาวิธีรักษาอาการป่วยของคุณชายถง ด้วยความหึงหวงของเขา เกรงว่าต้องขังนางไว้ในเรือนไม่ให้ออกไป
หนิงเซ่าชิงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่ออกไป เขาจึงอ้างว่าอากาศหนาวเย็นแจ้งให้นักเรียนในโรงเรียนหยุดเรียนหนึ่งวัน
มั่วเชียนเสวี่ยอยู่บนโต๊ะและยกพู่กันขึ้น ทั้งเขียนทั้งวาด… นี่คือนิทานที่นางพยายามอย่างหนักเพื่อเค้นออกมาจากสมอง จากนั้นวาดเนื้อความในนิทานเป็นภาพวาด
หนิงเซ่าชิงนั่งอ่านตำราอยู่ข้างๆ มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าของเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ผมสีนิลย้อยลงมาตามรูปหน้า เงียบสงบราวกับหยกที่งดงาม ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชั่วครู่หนึ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุรุษรูปงามที่ทำให้น้ำลายสอ ห้ามใจไม่ได้เลย…มองแล้วมองอีก ไม่รู้จักพอ
ด้วยเหตุนี้ ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยวาดภาพอยู่นั้น นางมักจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
หากหนิงเซ่าชิงเงยหน้าขึ้นเช่นเดียวกัน นางก็จะยิ้มบางๆ แล้วก้มหน้าลงวาดภาพต่อ
เพียงแค่ยิ้ม แววตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน ความอบอุ่นโอบล้อมทั้งสอง ภายในใจของหนิงเซ่าชิงคล้ายมีน้ำไหลผ่าน ที่นี่ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีการลอบวางแผนทำร้าย ไม่มีเรื่องให้เคร่งเครียด…ความหวานถึงขั้วหัวใจทำให้เขารู้สึกว่า ชีวิตเช่นนี้ช่างงดงามยิ่งนัก
หลบตาลงคลายยิ้มบางๆ วางตำราในมือลง หนิงเซ่าชิงลากเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย เอามือเกยบนโต๊ะแล้วมองหน้านาง มองรอยยิ้มมุมปากของมั่วเชียนเสวี่ย เขานึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนตอนที่โดนนางกระโจนใส่ เกือบจะถูกนางกัดริมฝีปาก ความอบอุ่นที่หวานชื่นไหลผ่านเส้นเลือดหัวใจไปยังสักแห่งหน ร้อนผ่าวไปทั่ว
มั่วเชียนเสวี่ยถูกเขามองจนรู้สึกประหม่า กระแอมไอหนึ่งครั้ง “เซ่าชิง ท่านมองข้าเช่นนี้ ข้าไม่อาจวาดต่อได้แล้ว” เหตุใดแววตาของเขาวันนี้คล้ายจะกลืนกินนางอย่างไรอย่างนั้น
หนิงเซ่าชิงกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เจ้าไม่มองข้า แล้วจะรู้ได้เช่นไรว่าข้ามองเจ้า อีกอย่าง เมื่อครู่เจ้าก็มองข้าเช่นเดียวกัน รบกวนข้าอ่านตำรา เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องมองเจ้ากลับ”
มั่วเชียนเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าหนิงเซ่าชิงจะมีช่วงเวลาที่ไร้เหตุผล ถูกมองด้วยแววตาเร่าร้อนเช่นนี้ นางอยากจะวาดแค่ไหนก็ไม่อาจวาดต่อได้แล้ว นางจึงทำได้เพียงอมยิ้มแล้ววางพู่กันลง อยากจะแกล้งเขานัก… กระแอมไอเบาๆ จับจ้องไปที่เขาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามองท่าน แต่ว่า…แววตาของข้าคือการชื่นชม ไม่เหมือนกับท่านในตอนนี้ แววตาชัดเจนโจ่งแจ้ง คล้ายจะกลืนกินข้าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
ร้ายกาจ? กล้าต่อว่าเขาเช่นนี้เลยหรือ หนิงเซ่าชิงนิ่งค้างไปชั่วขณะ เหยียดตัวตรงลุกขึ้น ลำตัวระนาบกับโต๊ะ แขนยาวยืดเหยียดจะคว้าตัวนาง ควรจะให้นางได้ลิ้มลองว่ากลืนกินทั้งเป็นคืออะไร ร้ายกาจเป็นเช่นไร
นางดีดตัวลุกขึ้น ถอยหลังสองสามกว้าง หลีกหนีจากกรงเล็บสุนัขจิ้งจอก หันกลับไปหัวเราะ โชคดีที่ตัวเบาดุจนกนางแอ่น รู้ดีว่าคนอย่างเขาไม่อาจหยอกล้อด้วยได้!
มั่วเชียนเสวี่ยกำลังได้ใจ หันกลับไปเห็นหนิงเซ่าชิงกระโดดข้ามโต๊ะ ยืนพิงโต๊ะหนังสือ มองไปที่นางพร้อมกับส่ายหน้าและยิ้มเบาๆ นางมองไปยังคนตรงหน้าที่อยู่ห่างจากมุมกำแพงไม่มาก ไม่ได้การแล้ว หมุนตัวเตรียมจะวิ่งหนี นี่ยังกลางวันแสกๆ! หากยุเขาจนโมโหขึ้นมา…
มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปด้วยความระมัดระวัง เพิ่งเดินเข้าใกล้ประตู แผ่นหลังมีลมพัดผ่าน ประตูพลันปิดลง นางตกตะลึง นี่คือฝ่ามือวายุในตำนาน นางหันกลับไป ยิ้มแห้งๆ “วันนี้ลมแรงเสียจริง ข้ากำลังจะเดินไปปิดประตูพอดี”
ยากนักที่จะเห็นนางเคอะเขิน หนิงเซ่าชิงยืนพิงโต๊ะ อารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “คิดอยากจะปิดประตูพอดี? ปิดประตูเสร็จแล้วอยากจะทำเรื่องร้ายกาจกับสามีหรือ”
คนผู้นี้? เปลี่ยนไป? หรือว่า นี่คือธาตุแท้ของเขา?
ประสบการณ์ในชีวิตของมั่วเชียนเสวี่ย จำนวนครั้งที่ถูกคนพูดเกี้ยวด้วยความจริงจังเท่ากับศูนย์ ด้วยเหตุนี้แม้เมื่อครู่จะพูดเช่นนั้น เวลานี้ได้ยินหนิงเซ่าชิงพูดหยอด ความเป็นจริงแล้วหัวใจที่ไม่ได้เรื่องของนางรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา
นางพูดตะกุกตะกัก “นี่…นี่มันกลางวันแสกๆ ไม่เหมาะเท่าใดกระมัง แหะๆ”
หนิงเซ่าชิงหัวเราะเล็กน้อย วางมาดคุณชาย กระดิกนิ้วให้นาง “เชียนเสวี่ย มานี่”
มั่วเชียนเสวี่ยร้องโอดครวญในใจ เหตุใดต้องหาเรื่องเขาด้วย บุรุษผู้นี้กลางวันและกลางคืนต่างกันราวกับเป็นคนละคน ไม่แน่ หากถูกกลืนกินจริงๆ…ประตูปิดไปแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าไม่ไปไม่ได้ แต่ทว่า หากไปหาเขาเช่นนี้ คล้ายนางเสนอตัวไปให้เขา มั่วเชียนเสวี่ยเจ็บใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินไป เท้าแต่ละข้างก้าวออกไปอย่างอ้อยอิ่ง ขณะที่อยู่ห่างจากหนิงเซ่าชิงอีกไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเองหนิงเซ่าชิงก็กระโจนเข้ามา ยื่นมือมาจับนาง แล้วดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด
จากสถานการณ์ในตอนนี้ วันนี้เขาจะทำจริงๆ แล้วหรือ!
แต่ว่า ร่างนี้ยังเด็กอยู่กระมัง อย่างน้อย…อย่างน้อยต้องรอถึงสิ้นปีกระมัง
อ้อมกอดที่กอดนางแน่นมาก แม้จะมีเสื้อกันหนาวขวางกั้นก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในร่างกาย
ความอบอุ่นที่สมบูรณ์แบบแนบชิดริมฝีปากสีชาดที่เย็นเล็กน้อยของนาง
ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านเข้าไปในใจของนาง นางเผยอปากอย่างไม่อาจห้ามใจ อยากจะตอบรับ
ร่องน้ำด้านหน้าโดนจับโดยที่มีอาภรณ์กั้นกลาง ถูกลูบไล้ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าจู่โจม ขาของนางอ่อนแรง รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย เวลานี้กลางวันแสกๆ… ที่อาซานเคาะประตูเรียกเมื่อคราวก่อน นางยังจำได้ดีคล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
มั่วเชียนเสวี่ยหยิกต้นขาของตนเองอย่างแรง ความเจ็บปวดทำให้นางมีสติเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เรี่ยวแรงพลันกลับมาเช่นเดียวกัน เมื่อมีสติ ปากที่เผยอไม่ได้ตอบรับ แต่กัดโต้กลับ
จากนั้น คล้ายหนิงเซ่าชิงรู้แต่แรกอย่างไรอย่างนั้น เขาถอนริมฝีปากออกจากปาก แล้วเลื่อนไปยังที่แก้ม ย้ายไปยังติ่งหูของนาง
จั๊กจี้! จั๊กจี้เสียจริง! จั๊กจี้ไปทั้งหัวใจ!
คล้ายโลมเลียใบหูจนอิ่มหนำ ลิ้นที่ร้อนผ่าวย้ายกลับมา อ้าปาก ครอบครองริมฝีปากเล็กๆ
ความคิดของมั่วเชียนเสวี่ยสับสนไปหมด คล้ายว่าความร้อนตื่นขึ้นมาในชั่วพริบตา ร่างกายสั่นเทาดั่งมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน กระแสไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทของสมอง
เวลานี้ ร่างบางถูกช้อนตัวขึ้น เดินไปยังตั่งไม้
นางอยากจะปรามเขา ทว่าร่างกายอ่อนระทวย ไร้เรี่ยวแรง คล้ายเรี่ยวแรงที่มีถูกความร้อนของเขาหลอมละลายไปตั้งแต่แรกแล้ว นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลมหายใจของหนิงเซ่าชิงแปรเปลี่ยนเป็นหืดหอบ
ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตนเอง…
ทั้งยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ รินรดบนซอกคอ สัมผัสอุ่นๆ เคลื่อนตัวเป็นวงกลมอยู่ที่ริมฝีปากและใบหูของนาง
หรือว่า…หรือว่าเขาจะกลืนกินนางทั้งเป็นจริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจท่ามกลางความย้อนแย้ง หากเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางจริงๆ เช่นนั้นนางไม่ลังเลที่จะเตะเขาลงจากเตียง
แต่ว่า นางที่เพิ่งตัดสินใจเสร็จ แม้คนที่อยู่บนเรือนร่างจะยังร้อนผ่าว ทว่า เขากลับหยุดนิ่งกะทันหัน
ทุกการเคลื่อนไหวหยุดลงเพียงเท่านี้!
เสี้ยววินาทีนั้นอากาศควบแน่น
ความบ้าคลั่ง ร้อนแรง ที่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าผิดหวัง หรือสิ้นหวัง ลืมตาขึ้นมองเขาด้วยความสับสน
“เชียนเสวี่ย”
“อืม”
หนิงเซ่าชิงปรับลมหายใจที่แปรปรวน คล้องผมบนหน้าผากของมั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เชียนเสวี่ย อันที่จริงครั้งแรกที่เจอเจ้า ข้าไม่ได้ชอบเจ้า”
ไม่จำเป็นต้องทำลายบรรยากาศถึงขั้นนี้ก็ได้นะคุณชายย!
“ไม่เป็นไร ตอนนั้นที่ข้าเข้าพิธีวิวาห์แก้เคล็ดกับท่าน ก็ไม่เคยคิดที่จะครองรักกับท่านชั่วชีวิต” มั่วเชียนเสวี่ยพูดจบก็ใคร่จะผลักเขาออก
มือทั้งสองข้างของเขากระชับแน่น พันธนาการนางไว้ตรงแผงอก เห็นนางเสียใจและหงุดหงิดอยากจะผละออก เขายิ้มกว้าง กัดหูของนางเบาๆ “เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อนได้หรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยจับติ่งหูของตนเองด้วยความน้อยอกน้อยใจ หยุดดีดดิ้น “ท่านพูดมาสิ ไม่มีผู้ใดปิดปากท่านเสียหน่อย” เขากัดนางจนติดเป็นนิสัยแล้ว หลังจากกัดนางเมื่อคราวก่อน อะไรนิดอะไรหน่อยก็ทำท่าจะกัดนางตลอดเวลา
อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ชอบนาง แล้วเหตุใดเวลานี้ยังจะกอดนาง ทับร่างนาง หนักจะตายแล้ว!
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งเสียใจ ทั้งโมโห…
นางต้องตระเวนออกไปข้างนอกทุกวัน ทนหนาวทนลำบากเพื่อใคร เพื่อเขาไม่ใช่หรือ เวลานี้ เขากลับพูดเช่นนี้ รู้สึกอยากจะตายจริงๆ