มิซากิ ฮิมิยามะ part 1
[มุมมองของ มิซากิ ฮิมิยามะ]
“สงสัยจังว่ามันเกิดอะไรผิดปกติกับตัวฉันกันะ ….” (ฮิมิยามะ)
แล้วฉันก็หายใจออกมาเสียงดัง จากนั้นก็นั่งเอนหลังพิงลงที่เก้าอี้ พร้อมกับใช้ผ้าขนหนูเช็ดผิวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อออกอย่างเบาๆ นี่ฉันควรจะอาบน้ำก่อนดีไหม? ฉันคิดว่าฉันคงอาจจะตื่นเต้นเกินไปหน่อย ทุกๆวันนี้ ฉันนั้นมีความสุข และจากทุกๆวัน วันนี้นั้นเป็นวันสนุกมาก ฉันรู้สึกเหมือนราวกับได้มีชีวิตใหม่ขึ้นอีกครั้ง ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวฉันจะรู้สึกแบบนี้ได้อีก
ฉันไม่ได้รู้สึกเหมือนอยากจะไปเตรียมอาหารเย็นเลย ฉันกำลังหาที่ที่เหมาะๆ ที่จะอยู่กับอารมณ์ที่ท่วมท้นนี้ ช่วงเวลาสนุกๆ มักจะได้ไม่หายวับไป
ฉันนั้นอยู่คนเดียวในห้อง และเสียงเพียงอย่างเดียวนี้ก็คือนาฬิกาที่กำลังบอกเวลา ฉันสัมผัสไปที่แก้ว 2 ใบที่อยู่บนโต๊ะ สัมผัสมันอย่างแผ่วเบา ความเย็นของผิวเนื้อเซรามิกนั้นมันทำให้รู้สึกดี
แล้วทันใดนั้น ฉันก็กลับมาเป็นตัวของตัวเอง นี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรกันเนี่ย?
นี่ฉันคิดว่ามีความสุขในตอนที่ได้อยู่กับเขาหรือไงกันน่ะ? หรือว่านี่ฉันคงจะคิดเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า ว่าฉันนั้นได้รับการให้อภัยแล้ว?
เพราะเขานั้นจำฉันไม่ได้ ฉันคิดว่างั้นก็ไม่เป็นไร มาสร้างความสัมพันธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นเลยสิ และบางทีนั่นก็อาจเป็นทางออกอีกทาง
แต่ว่า-
ยังคงมีที่ไหนสักแห่งในตัวฉัน ที่ตัวฉันยังคงรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกกับเขาว่าฉันนั้นเป็นใคร มันจะเป็นการดีรึเปล่าที่จะหลอกเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วถ้าหากเขามารู้เอาทีหลังล่ะ—
เด็กชายคนนั้นก็ยังเป็นตัวเขา ที่ยังเป็นเด็กคนนั้นแม้แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้
นี่ฉันยังคงเป็นศัตรูกับเขาอยู่รึเปล่า?
หลังจากเวลานั้นแล้ว เขาก็ยังคงเป็นตัวของตัวเองเช่นเดิมหลังจากที่ฉันได้ออกจากโรงเรียนนั้นไป ฉันที่ยังอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเขา ก็ยังคงได้ติดต่อกับอาจารย์เรียวกะอยู่เป็นประจำ และสถานการณ์นั้นก็ช่างน่าเศร้ามาก
เขาไม่ได้พูดคุยกับใครในห้องเรียนอีกเลยจนกระทั่งเขานั้นขึ้นชั้นประถมศึกษาถัดไป แม้แต่กับอาจารย์ประจำชั้นเรียวกะด้วย และเขานั้นก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมใดๆ กิจกรรมนอกอาคาร การร่วมร้องเพลง การไปทัศนศึกษา ไม่เลยสักอย่าง
ในวันงานกีฬา ที่จริงผลงานของเขายอดมาก ถึงขนาดที่ควรจะได้รับเลือกให้ลงแข่งวิ่งผลัดในชั้นเรียน และเพื่อนร่วมชั้นเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ว่าเขากลับไม่พูดอะไรเลย เขาตัดสินใจไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดเลยสักอย่าง และก็ไม่มีใครที่จะไปพูดอะไรกับเขาได้ แม้อาจารย์เรียวกะ ที่ดูจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกบังคับใส่ชื่อเขาเป็นนักวิ่งผลัด แต่ว่าเขาก็ไม่ลงแข่งในวันงานกีฬา แม้ครอบครัวของเขาจะมาให้กำลังใจเขา ก็ทำได้เพียงแค่ตกตะลึงกับกับสิ่งที่เขาเป็น
เขาได้เมินเฉยทั้งชั้นเรียนนั้นด้วยตัวเขาเอง
มันดูกับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการกลั่นแกล้งที่ทุกคนจะเพิกเฉยต่อคนๆหนึ่ง
ถึงมันจะควรเป็นทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นเพื่อที่จะงานบางสิ่งให้สำเร็จ
แต่เขาเมินเฉยต่อเรื่องนั้นทั้งหมด เหตุผลง่ายๆ เพราะเขาพูดไปแล้ว สำหรับเขานั้น พวกนั้นไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้น แต่เป็นศัตรู มันจึงไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรร่วมกันเหมือนอย่างเพื่อนร่วมชั้นได้
มันเป็นข้อสรุปที่ง่ายมาก
มันชัดเจนมาก เข้าใจได้ง่าย จริงๆแล้วก็คงจะเรียกว่าตรงไปตรงมาก็ได้
มันไม่มีอะไรผิดสำหรับเรื่องนั้น
มันบริสุทธิ์และใสกระจ่างราวกับแก้ว [TL: นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องใช้คำว่า เด็กชายแก้ว]
แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัย
มันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่คนเราจะเอาแต่ใช้ชีวิตแบบนั้น?
เด็กที่อายุเพียงแค่นั้นจะมีความคิดสุดโต่งและดูแปลกแยกขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าฉันจะคิดเรื่องนี้มากแค่ไหนฉันก็นึกไม่ออก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในจิตใจของเขา แม้ว่าตัวฉันเองจะได้ข้อสรุปง่ายๆขึ้นมาก็ตาม..
แล้ววันเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างที่ฉันไม่ทันได้รู้ตัว และคิดไปว่ามันคงจะไม่มีวันที่จะได้เจอกับเขาอีก แต่แล้วก็ดูมันจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ทำให้เราได้พบกัน รวมถึงความจริงที่ว่าเขานั้นจำฉันไม่ได้เลย แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดจริงๆนะ ว่านี่มันคงจะเป็นปาฏิหาริย์จากสวรรค์ ..
เค้าว่ากันว่าเวลาจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่มันจะเป็นตอนไหนกันล่ะที่จะได้รับการให้อภัย?
–ให้กับผู้ที่เคยตัดสินเขาไปอย่างผิดๆ
และพอฉันได้เข้าใกล้เขา มันก็ทำให้ฉันรู้สึกขึ้นมาได้อย่างนึง
เขานั้นไม่ได้ต้องการใครสักคนเลย
ไม่ว่าฉันนั้นจะเอื้อมมือไปหาเขามากแค่ไหน ต่อให้พยายามเข้าใกล้เขาเท่าไหร่ เขานั้นก็ไม่เคยยื่นมือเข้ากลับมาหาฉันเลย เขาไม่เคยได้ขออะไรสำหรับตัวเขาเลย เขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
และไม่นานมานี้ เขาได้ถูกสั่งให้พักการเรียน ฉันแทบจะทนฟังไม่ได้ ฉันจึงยื่นมือไปเพื่อช่วยเขา เพราะฉันกลัว และไม่สามารถให้อภัยพวกนั้นได้ ฉันไม่อาจที่จะให้อภัยได้ หากว่ามีใครบางคนจะพยายามทำร้ายเขาอีกครั้ง
แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป ฉันเองก็มั่นใจว่าเขานั้น ก็คงจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองโดยที่ฉันไม่ต้องทำอะไรเลย
เขานั้นไม่สนใจแม้แต่การลงโทษแบบนั้น มันตรงกันข้ามกับความที่รู้สึกขุ่นเคืองของฉัน เขาดูไม่กังวล ราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องปกติ
สุดท้ายแล้วนั่นก็เลยทำให้ฉันได้รู้
กับคำตอบของคำถามที่ฉันเอาแต่ยึดมั่นอยู่มานานหลายปี
ยูกิโตะ โคโคโนเอะ นั้นเคยชินแล้วกับการถูกทำร้าย
ดูราวกับว่ามันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขา
แต่ว่าเขาก็ไม่ยอมแพ้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทนอยู่มาได้ยังไง แต่ว่าเขานั้นก็มีจิตใจที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ
เขาได้ขัดเกลาตัวเอง
ผ่านการเผชิญความอาฆาตพยาบาทที่เหมือนดังคมมีดที่ทำร้ายทุกสิ่งที่ได้สัมผัส
ราวกับเป็นตัวเม่นที่มีแต่จะทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันนั้นคิดว่า
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการใครเลยก็ตาม แต่เขานั้นก็ต้องการเพื่อน
เป็นมิตร ที่ไม่ใช่ศัตรู เป็นคนที่จะไม่ทรยศต่อเขา
ส่วนฉันคงไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้
แล้วคนที่ได้บังคับให้เขานั้นพักการเรียนก็รีบวิ่งเข้ามาขอโทษกับฉัน เขาดูหน้าซีดมากและมีสีหน้าเศร้าหมองราวกับจะเป็นวันสิ้นโลก มันก็แปลกนะ ทั้งที่เขานั้ควรนเป็นคนที่ต้องมาพิจารณาให้ดีไม่ใช่รึไง? ในตอนที่ยูกิโตะนั้นตกเป็นเหยื่อนั่นน่ะ
ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกหงุดหงิดอยู่ข้างในเพียงแค่ได้รับฟังเขา เพราะยิ่งฟังแล้วเขาก็ยิ่งดูงี่เง่ามากขึ้นเท่านั้น ยูกิโตะ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมันโดยตรงหรือโดยอ้อมเลย เขานั้นมีส่วนร่วมก็แค่เป็นเหยื่อเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอะไร มันเป็นแค่ความประมาทโดยการไม่ใส่ใจแค่นั้น
–ซึ่งมันก็เหมือนกับสิ่งที่ฉันได้ทำลงไปในตอนนั้น
ฉันทำให้เขาต้องอับอาย และก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเขานั้นจะทำอะไรต่อไปหลังจากนั้น
แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มันกลับไม่เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวฉัน
เขานั้นยอมให้อภัย นี่เขาโตมากขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วใช่ไหม?
บางทีเขาก็คงเป็น หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็น
ถ้าหากว่าเขาเป็นคนลงมือแก้ไขเองโดยตรง ผลที่ได้ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับทุกคน หากเราจัดการให้มันจบลงได้เอง นี่คงบางทีสิ่งที่ฉันทำไปนั้นก็ดูจะไม่ได้ไร้ประโยชน์เลยซะทีเดียว นี่ฉันสามารถช่วยเหลือเขาได้แล้วแม้เพียงเล็กน้อยแล้วหรือเปล่านะ? นี่ฉันจะสามารถสื่อไปถึงเขาได้แล้วใช่ไม๊?
“มันคงจะเหงาไม่มีใครเลย ที่พอจะสามารถเรียกว่าเป็นมิตรได้…….” (ฮิมิยามะ)
หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยก็ได้
ซึ่งฉันก็ทำไม่ได้ แต่ฉันน่ะมีความสุขจริงๆนะ ที่ได้มีเวลาร่วมกันกับเขาก่อนหน้านี้
การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนนั้นเป็นการเยียวยา และทำให้ใจฉันนั้นอบอุ่นขึ้น มันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันนั้นอยู่คนเดียวมานาน ก็อาจเป็นแบบนั้น เพราะฉันอยู่คนเดียวมานานแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะว่าฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองใหม่ และยังไม่ค่อยจะรู้จักใครเลย เลยอาจจะงงๆไปบ้าง หรือมันก็อาจจะเป็นเพราะทั้งหมดนี้ก็ได้
ฉันนั้นรักเด็ก ฉันคงไม่ได้รับพรที่จะมีลูกได้ ฉันก็เลยถูกพวกเขาปฏิเสธแถมยังสูญเสียความฝันอีก
และตั้งแต่ที่ฉันหมดความหวังและเป้าหมายในชีวิตไป ฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ที่ฉันนั้นตัดสินใจย้ายมาก็เพราะอยากที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันนั้นอยากจะเริ่มต้นใหม่และสลัดคราบในอดีตนั้นทิ้งไป เพื่อให้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเดิมได้
แต่ทว่าในตอนนี้ ก็กลับได้มาเจอกับเขาอีกครั้ง ฉันจึงได้ตัดสินใจเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากว่าฉันไม่ได้มาเจอเขาอีกแบบนี้ ฉันก็คงจะไม่คิดที่จะไปเป็นติวเตอร์ เพราะฉันนั้นเป็นครูไม่ได้อีกแล้ว แต่ว่าฉัน ก็ยังหวังว่าตัวฉันจะยังคงคิดบวกได้เหมือนกับเมื่อก่อน….
“เธอจะยกโทษให้ฉันได้ไหม?” (ฮิมิยามะ)
แล้วฉันก็ได้มาถึงจุดที่ฉันไม่สามารถจะหลอกตัวเองและเก็บซ่อนมันได้อีกต่อไป
แม้ว่าฉันจะต้องได้แผลเป็นจากการเข้าหาเม่นที่ปกคลุมไปด้วยเข็มหนาม แต่ว่าฉันก็ยังอยากจะรู้จักกับเขาให้มากขึ้น มันจะต้องทำ เพราะว่าฉันนั้นไม่ต้องการที่จะทำผิดซ้ำอีกครั้ง เหมือนอย่างในวันนั้นที่ได้ทำร้ายเขาโดยไม่พยายามรับรู้หรือรับฟังอะไรเลย
–ตืดดดดดด
แล้วทันใดนั้น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่น
มันเป็นอีเมลที่ถูกส่งมาจาก “มิกิยะ อุมิบาระ”
คนๆนี้น่าจะเป็นคนๆเดียวกันกับที่เคยโทรหาฉันก่อนหน้านี้หรือเปล่านะ?
ทายาทของเรียวกัง อุมิบาระ นี่มีอายุก่อตั้งมาอย่างยาวนาน
เขาเป็นคนที่ฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แต่ก็เป็นคนที่นั้นฉันขาดการติดต่อด้วยนานแล้ว
ฉันเองก็ไม่ได้เจอเขามา 10 กว่าปีแล้ว มันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่เราเคยคุยกันทางโทรศัพท์และจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
และเขาคืออีกส่วนหนึ่งในอดีตของฉัน แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นแตกต่างไปจากยูกิโตะคุงก็คือ มันเป็นเพียงอดีตที่ได้ก้าวผ่านพ้นไปแล้ว
แล้วอดีตคู่หมั้นของฉันยังจะมาบอกอะไรกับฉันกันอีก หลังจากที่มันผ่านมานานขนาดนี้กันล่ะ?
ฉันคิดว่าคุณน่ะปล่อยวางฉันไปแล้ว-