ผู้ที่ถูกทอดทิ้ง
ผมนั้นชื่อ ยูกิโตะ โคโคโนเอะ และตัวผมเป็นคนญี่ปุ่น
ผมมีพี่สาวของผม ยูริ โคโคโนเอะ ซึ่งก็เป็นคนญี่ปุ่นด้วย
แต่ว่าก็เคยมีสิ่งที่ทำให้พวกเรานั้นมองเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นเหมือนกับในระหว่างการก่อตั้งระบอบโชกุนคามาคุระช่วงปี 1185 ถึงปี 1192 นั่นล่ะ สามัญสำนึกเดิมที่เคยมีนั้นก็กลับถูกล้มล้างได้ด้วยการปลุกระดมไปแค่ครั้งเดียว
เหล่าครูที่เคยสอนเรื่องโชกุนตระกูลคามาคุระ และการสร้างประเทศที่ดีนี้ก็ทำหน้าแดงกันหรือเปล่า? อันที่จริง พวกเขาอาจแสดงออกเป็นสีน้ำเงินซีดกันนะ
และผู้ชายที่ยังคงสงสัยในสามัญสำนึกของโลกอยู่นั้น นั่นคือผม ยูกิโตะ โคโคโนเอะ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ผมที่เพิ่งจะบอกไปเมื่อตะกี้นี้เอง ผมน่ะบอกไปว่า “ผมจะไปอาบน้ำ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพี่สาวของผมก็ได้บุกเข้ามาในขณะที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่ซะงั้น ผมน่ะอดไม่ได้เลยนะที่จะสงสัยว่า นี่เราสื่อสารภาษาญี่ปุ่นระหว่างกันไม่ได้งั้นเหรอ แล้วเมื่อลองคิดถึงมัน มันก็มีอยู่หลายครั้งในก่อนหน้าที่คำพูดของผมดูจะไม่เป็นที่เข้าใจนะ
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเธอเองนั้นจะไม่เข้าใจในการสื่อสารมากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นผู้หญิงนะ ถึงแม้ว่าผมนั้นจะเป็นน้องชายคนของเธอ แต่มันเป็นไปได้เหรอที่เธอจะยินดีไปอาบน้ำทั้งที่รู้ว่ามีผู้ชายอยู่ข้างในนั้นนะ ไม่นะ ไม่สิ
อะไรนะ แต่เดี๋ยวก่อน? แล้วจากนั้นผมก็ตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งนี่คงจะเป็นผลที่มาจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับสามัญสำนึกด้วย
“…… แล้วถ้ายูริไม่ใช่พี่สาวฉัน แต่เป็นพี่ชายของฉันล่ะ?” (ยูกิ)
“เป็นพี่สาวสิ” (ยูริ)
“นี่วนกลับมาที่จุดเดิมอีกแล้ว…….” (ยูกิ)
“มานี่สิ ฉันจะได้ล้างหัวนาย” (ยูริ)
การหลบหนีจากความเป็นจริงของผมกำลังจะใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว ผมจึงได้ถามเธออย่างตรงไปตรงมาว่า
“คือว่า ถึงมันจะเป็นห้องอาบน้ำที่ใช้ร่วมกัน……แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่มันจะเป็นห้องอาบน้ำแบบ……เปิด” (ยูกิ)
“ห้องอาบน้ำรวม” (ยูริ)
“ผมไม่คิดว่ามันเคยถูกว่าไว้แบบนั้นนะ ……” (ยูกิ)
“ห้องอาบน้ำรวม” (ยูริ)
“อย่างน้อยก็ห่มผ้าขนหนูซะหน่……” (ยูกิ)
“ห้องอาบน้ำรวม?” (ยูริ)
“พี่ไม่เห็นจะเข้าใจเลยนี่!” (ยูกิ)
“อะไรน่ะ? นี่นายไม่ดีใจที่เห็นฉันใหญ่ขึ้นหรอกเหรอ?” (ยูริ)
“ก็ดี..” (ยูกิ)
ชิคุชิคุ…….
แล้วเธอนั่งลงบนเก้าอี้แล้วตบไปที่เข่า ดูเหมือนเธอจะพยายามบอกให้ผมน่ะไปที่นี่ แล้วท้ายที่สุด การให้ความสำคัญของท่าที่แสดงออกนั้นไม่เคยเปลี่ยน ผมน่ะชินกับการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมแล้ว และก็กำลังดูดซับมันเหมือนกับฟองน้ำ แค่ในอ่างน้ำนี่เท่านั้นนะ
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ที่ได้กลิ่นอะไรบางจากตัวนายอย่างก่อนหน้านี้ มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ” (ยูริ)
“ผมถูกโจมตีจากโยวไคผู้หญิงที่อ้วกต่อหน้าน่ะ” (ยูกิ)
“นั่นมันอะไรล่ะนั่น?” (ยูริ)
“พี่สาว ผมน่ะสัมผัสถึงพวกโยวไคได้นะ” (ยูกิ)
“นายไม่จำเป็นจะต้องบอกฉันหรอกนะ” (ยูริ)
เธอสระหัวของผมและล้างมัน บอกตามตรงผมนะรู้สึกขอขอบคุณมาก ถ้าหากผมไม่หันเหความสนใจของตัวเองด้วยบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆไป ผมเกรงว่าผมจะบังเอิญไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเข้า แต่ในความเป็นจริงก็คือ ผมน่ะอยากเห็นมากเลยล่ะ ถ้าลองให้คิด ผมว่าผมจะต้องได้เห็นมันเข้าตอนกำลังสระน่ะนะ แล้วมันก็เป็นการการต่อสู้กันเป็นธรรมดาระหว่างเทวดาและปีศาจในสมองของผม และปีศาจก็มักจะได้เปรียบเสมอ ฮี่ฮี่ฮี่.
ผมคิดว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องตื่นมาพบกับความจริงชัดเจน แต่ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะตื่นเอาซะเลย
กะอีกแค่การออกไปข้างนอกแป๊บเดียวมันก็กลับจะแสนวุ่นวาย แต่ผมก็ได้พาโยวไคนั้นกลับไปที่ห้องของเธอคนเดียวไปแล้ว ก็เลยไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมนั้นได้เรียนรู้จากยูกิกะซังว่า มันไม่เคยมีเรื่องอะไรดีเกิดขึ้นหากผมนั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกคนเมา ยูกิกะนั้นน่ะเมาได้ด้วยแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าหากเธอเมา มันจะความเสียหายได้ 100% แล้วก็เป็นผมที่เป็นคนที่โดนทำ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…….
พอผมอธิบายเรื่องราวการไปเจอระหว่างผมกับโยวไคให้พี่สาวฟัง สีหน้าที่ดูเข้มงวดของเธอก็ยิ่งดูเข้มมากขึ้น
“ฮ่าาาา นี่นายเอาอีกแล้ว……. ฉันบอกนายอยู่ตลอดแล้วนะว่าอย่าไปตกหลุมของพวกผู้หญิงแปลกหน้าน่ะ” (ยูริ)
“แต่ก็มันเกิดขึ้นกับผมไปแล้วนี่ ตอนนี้ด้วย” (ยูกิ)
“อะไรน๊ะ?” (ยูริ)
“ผมน่ะมีความสุขมากสุดๆเลย!” (ยูกิ)
“จำไว้ตัวฉันเป็นข้อยกเว้นของกฎนี้นะ” (ยูริ)
ผมนะขอให้เธอช่วยล้างหลังของผมด้วย นี่น่ะเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากเพราะมันเป็นการยากที่จะทำด้วยตัวเอง ถึงดูจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าก็จะเคยเกิดขึ้นบ้างเล็กๆน้อยๆที่บ้านนะ…….
-ดะ เดี๋ยวหยุดแป๊บนึง! มือของเธอ… นั่นมัน …… มันคือ …… ฮัลโหลววว!
“เดี๋ยวผมล้างด้านหน้าเองได้” (ยูกิ)
“นาย แล้วนายเรียนรู้อะไรขึ้นมาบ้างไหมจนถึงตอนนี้น่ะ?” (ยูริ)
“แน่นอน” (ยูกิ)
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ชัดเจนนะ” (ยูริ)
“ไม่ มันเป็นจะเป็นงั้นไปได้ยังไง?” (ยูกิ)
เธอเข้าขย้ำผมแล้วจับผมล้างไปซะทั่วตัว
ชิคุชิคุ…….
————————————————————————————————–
“ฟู่~อาาา มันรู้สึกดีจังเลย.” (ยูริ)
“ทำไมมันถึงยากนักสำหรับผมที่จะพยักหน้าขึ้นลงเพื่อตอบรับกันนะ” (ยูกิ)
ผมได้แช่น้ำพุร้อนแล้ว แต่ความเหนื่อยล้าของผมเองก็ถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน ผมไม่ต้องการที่จะออกไปเลย น้ำแร่นั้นช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของผม มันกำลังละลาย นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้า แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าความเหนื่อยล้าเหล่านี้น่ะ มันเป็นสิ่งที่ผมควรจะต้องได้รับด้วยเหรอ
“นายสนุกกับการเดินทางแบบครอบครัวครั้งนี้หรือเปล่าล่ะ?” (ยูริ)
พี่สาวของผมที่กำลังแช่ตัวอยู่กับผมข้างๆ ก็พูดอะไรบางอย่างแบบนั้นออกมา
“ผมน่ะได้เรียนรู้ว่าการมาพักผ่อนของครอบครัวน่ะมันหนักหนาแค่ไหน” (ยูกิ)
“……นายคนเดียวน่ะสิ” (ยูริ)
สนุก ……. นี่ผมสนุกไหม?
มันเป็นเพียงแค่วันเดียว แต่พอมองย้อนกลับไป มันก็เป็นวันที่แสนยากลำบากอย่างแน่นอน แต่ก็รู้สึกดีที่ได้แช่น้ำพุร้อนแบบนี้
ผมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ ดวงตาของเธอก็ยังคมเหมือนเคย แต่มุมตาของเธอนั้นดูจะต่ำกว่าปกติเล็กน้อย เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ช่วยลดความกดดันจากการจ้องมองของเธอไปได้บ้าง และเมื่อผมลองคิดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าแม่และพี่สาวของผมนั้นจะมีช่วงเวลาที่ดี ทีแรกผมคิดว่าพวกเขากำลังจะระเบิดซะด้วยซ้ำ
แต่หากเป็นแบบนี้ การเดินทางไปเที่ยวกับครอบครัวก็จะประสบความสำเร็จ ความคิดเห็นของผมดูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ตราบใดเท่าที่ทุกคนนั้นได้สนุก มันแค่นั้นที่เป็นเรื่องสำคัญ และผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนได้สนุก
เมื่อขณะที่ผมได้คิดถึงเรื่องนี้ ก่อนที่ผมจะได้รู้ตัว พี่สาวผมก็ตรงเข้ามาที่ข้างหน้าของผม ดวงตาของเธอกำลังมองมาที่ผม มันเหมือนกับว่าเธอกำลังพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง เป็นความพยายามที่จะไม่ปล่อยให้ผมไป
“รู้อะไรไหม ฉันน่ะมีเรื่องอยากจะถามนายนะ” (ยูริ)
“มันคือ?” (ยูกิ)
“ทำไมไม่เคยไปทัศนศึกษากับโรงเรียน?” (ยูริ)
“ทัศนศึกษา?” (ยูกิ)
ฮะ? แล้วผมก็จำได้ว่าพี่สาวเคยได้ถามอะไรแบบนี้ขึ้นมาตอนช่วงทานอาหารค่ำ
“อืม… ผมไม่มีเหตุผลอะไรจริงๆ” (ยูกิ)
“นั่นแหละ มันแปลกเพราะถ้าหากไม่มีเหตุผลที่มากไปกว่านั้น งั้นแล้วนายทำไมไม่ไป ทำไมล่ะ?” (ยูริ)
ผมย้อนกลับไปในความทรงจำของผม เมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว
ผมนั้นไม่ได้ไปทัศนศึกษาตอนมัธยมต้น
ผมนั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมตอบอะไรไปแล้วด้วย และผมจะจำไม่ได้เลยถ้าหากเธอไม่ถามผม ก็ไม่ใช่ว่ามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก
แล้วผมก็ค่อยๆ นึกขึ้นได้ ซึ่งมันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยจริงๆ
หากว่าจะเป็นเพราะเรื่องไหนล่ะก็ มันก็คงจะต้องตอบว่าเป็นเพราะคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น
พอเมื่อใกล้ถึงวันทัศนศึกษา ครูประจำชั้นก็จะคอยเตือนผมว่าอย่าก่อปัญหา ต่อมา ผอ.โรงเรียนบอกกับผมแบบเดียวกัน แต่ว่าพวกครูก็มักจะพูดแบบนั้นกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะการไปทัศนศึกษาก็ถือเป็นงานใหญ่สำหรับพวกครูเช่นกัน และตัวผมก็ได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขาไว้มากมาย มันเป็นงานใหญ่สำหรับพวกเขา พวกเขานั้นก็คงจะต้องมีอะไรให้ห่วงอยู่มาก
และสำหรับตัวผมเองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ผมเองนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะต้องพูดแบบนี้ แต่ว่าผมก็โชคร้าย แล้วจากนั้นผมก็ได้คิดว่า
งั้นถ้าไม่ไปซะตั้งแต่แรกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมจะได้ไม่ไปรบกวน และพวกครูก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีก มันเป็นสถานการณ์ที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง ทัศนคติของพี่ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และเธอก็พยายามกระตุ้นให้ผมได้เข้าร่วม คำขอโทษอย่างกะทันหันนี้ได้ทำให้ผมนั้นสับสน
แม้ว่าผมจะได้การเตือนว่าต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน แต่ผมเองก็ไม่ได้ยึดติดอะไรเป็นพิเศษกับการไปทัศนศึกษา และถ้าหากทุกคนสามารถที่จะสนุกได้ด้วยกันเองโดยที่ผมนั้นไม่ได้ไปด้วย มันก็ย่อมที่จะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด ไม่มีขอเสียอะไรกับใครเลย มีเพียงข้อดีเท่านั้น อันที่จริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ควรจะทำ หากมาพิจารณาเอาในตอนนี้แทนที่จะรู้สึกเสียใจ มันก็เกือบจะจางหายไปจากความทรงจำของผมไปแล้วด้วย
มันก็มีแค่นั้นจริงๆ มันเป็นช่วงที่น่าเบื่อซะจนไม่คุ้มที่จะมาพูดถึงในตอนนี้
ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่ ตาของผมก็แหวกว่ายมองเข้าไปในความว่างเปล่าด้วย
แล้วหลังจากการเดินทางเข้าไปในความทรงจำของตัวเองเสร็จสิ้น ผมก็กลับมาที่จิตสำนึกของตัวเองอีกครั้ง
“……พี่สาว?” (ยูกิ)
มีน้ำตาเอ่อเตรียมจะไหลอยู่ที่ดวงตาของพี่สาวของผม
มือของเธอได้มาแตะอยู่ที่หน้าผากผม
“—–ทำไมนายถึงเป็นแบบนั้นได้? ทำไมยูกิโตะ ถึงจะมีความสุขอย่างที่นายควรจะมีไม่ได้กัน? นายไม่คิดเลยเหรอว่ายังมีคนที่อยากจะให้ยูกิโตะนั้นมีความสุข เหมือนกับที่ยูกิโตะปรารถนาในความสุขของคนอื่นบ้างเลยหรือไง?” (ยูริ)
แล้วผมถูกจู่โจมด้วยอารมณ์ที่รุนแรงของตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกที่อยากจะแสดงความเย็นชา ที่จะไปผลักเธอออกไปเหมือนกับครั้งก่อนหน้า
ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรกับผม หรือมีอะไรที่ทำให้ผมนั้นต้องเศร้า
ถึงอย่างนั้น ผมก็ได้ยินเสียง ราวกับว่ามีอะไรบางกลับมาลงล๊อคอย่างพอดี
แล้วจู่ๆผมก็เข้าใจ
ผมแน่ใจ ว่าผม – ว่าตอนนี้ผมโกรธ
ผมนั้นไม่เคยโกรธแม่หรือพี่สาวมาก่อน
แล้วทีนี้จะมีใครกันที่จะบอกผมเมื่อผมทำอะไรผิด
ผมจริงจังมาก และแทบจะหมดหวังเลยเหมือนกัน
เรื่องที่พี่สาวของผมโกรธ มันก็ช่วยไม่ได้
—–แต่แล้วในที่สุดผมก็นึกขึ้นได้ ว่านี่น่ะมันก็เป็นเพียงเรื่องๆนึงของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว