เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ – ตอนที่ 62: เรื่องลวงและเรื่องจริงในแสงจันทร์

เรื่องลวงและเรื่องจริงในแสงจันทร์

 

“เรียน ออกกำลังกาย และทำงานบ้าน นายทำเพื่อใครกันล่ะ?” (ยูริ)

 

 แล้วแสงจันทร์สาดส่องมาที่ตัวพี่สาว ภาพที่ดูบอบบางของเงาสะท้อนนั้นช่างดูศักดิ์สิทธิ์พอๆ กันกับเทพอาร์เทมิสในตำนาน และมันก็งดงามมาก

 

 ผมที่ยังไม่อาจจะเข้าใจในเจตนาของคำถามนั้นได้ ดังนั้นผมจึงต้องให้คำตอบที่มันค่อนข้างตรงไปตรงมา

 

“ก็…..แค่เพื่อตัวผมเท่านั้น?” (ยูกิ)

 

“……จริงๆงั้นเหรอ?” (ยูริ)

 

ผมนั้นไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพยายามจะบอกอะไร แต่ผมก็ยังคาดเดาไม่เก่งพอที่จะล่วงรู้ความความในใจของเธอ แล้วพอเป็นเรื่องนี้ด้วยแล้ว ผมน่ะก็ไม่เคยเข้าใจอะไรมันเลยจริงๆ ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าผมคงจะไม่สามารถไปต่อว่าอะไรเธอได้ ผมน่ะมันเป็นคนคิดมาก คนตัวเล็กๆต่ำต้อยอย่างผมคงจะไปเดาสิ่งที่อยู่ในใจเธอนั้นไม่ได้หรอก

 

“แล้วมันจะมีอะไรอีกงั้นเหรอครับ?” (ยูกิ)

 

“ใช่ ยังมีอีก นายน่ะไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว ซึ่งไม่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น นายน่ะก็แค่ไม่ต้องการใครอีกแล้ว นายน่ะไม่คาดหวังอะไรจากใคร และนายก็ไม่ต้องการอะไรจากใครๆ ดังนั้นนายก็เลยแค่พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง” (ยูริ)

 

 นั่นก็คงจะจริง ถ้าหากถามผมล่ะก็นะ แต่ว่ามันก็มีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่เข้าใจ

 

“แล้วมีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้นด้วยหรือ……?” (ยูกิ)

 

“เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนมาร้องขออะไรสักอย่างจากนาย พวกเขาก็จะมักจะหักหลังนายอยู่เสมอ แล้วนายก็ยอมรับมันไปโดยไม่ปริปากและทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ฉันน่ะรู้ว่ามันไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำให้ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะทนดูมันได้อีกต่อไปแล้วนะ!” (ยูริ)

 

มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้เห็นใบหน้าพี่นั้นเศร้า เธอนั้นน่ะเคยขอโทษผมมาหลายครั้งแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นอีก อันที่จริงแล้ว ผมนั้นน่ะไม่ได้คิดอะไรเลย และมันก็เป็นความผิดของผมเองที่ก่อปัญหาขึ้น ไม่ใช่พี่สาวของผม อันที่จริงผมต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายขอโทษ แล้วพอผมนั้นบอกเธอไป สีหน้าของเธอซึ่งยังคงดูเศร้าอยู่ก็ยิ่งยิ่งบิดเบี้ยวมากยิ้งขึ้นไปอีก

 

ผมนั้นทำอะไรไม่ถูกเลย ไม่มีอะไรที่ผมนั้นสามารถทำได้ ผมน่ะไม่อยากเห็นเธอในสภาพแบบนั้น เธอได้บอกว่าผมนั้นเลิกยิ้มไป แต่เธอเองก็หยุดยิ้มเช่นกัน อย่างน้อย ก็จนถึงวันนั้น เธอที่มีรอยยิ้มที่ผมสามารถเอ่ยชื่นชมได้ ผมอยากให้เธอยิ้ม อยากเห็นเธอยิ้มแบบนั้นอีก

 

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไร นี่ผมควรจะโกรธและปฏิเสธเธอไปหรือเปล่า? หรือผมนั้นควรจะด่าสาปส่งและทำร้ายเธอ? แบบนั้น ผมไม่คิดว่าผมจะสามาถทำแบบนั้นได้หรอกนะ

 

“ฉันขอถามนายก่อนสิ นายน่ะจะทำอะไรหลังจากที่เรียนจบ? นายยังไม่ได้ให้คำตอบที่เป็นชัดเจนกับฉันเลย แต่ถึงอย่างนั้น นายเองก็ยังคงเรียนหนักอยู่เสมอ ทำไมล่ะ? มีอะไรบางสิง เป็นสิ่งที่นายอยากไล่ตามอยู่ในอนาคตหรือเปล่า?” (ยูริ)

 

“มันก็เพื่อไม่ให้ผมนั้นต้องไปเจอกับปัญหา……” (ยูกิ)

 

“มันเหมือนกันกับเรื่องทำเล็บนั่นล่ะ นายเรียนรู้และฝึกฝนกับไอ้สิ่งที่ฉันนั้นเพียงแค่บอกนาย ทำไมกันล่ะ?” (ยูริ)

 

“? ก็เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมนั้นจะทำได้” (ยูกิ)

 

นั่นคือทั้งหมดที่ผมจะสามารถพูดออกไปได้ ผมเป็นตัวสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวเสมอมาทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน โดยเฉพาะในกรณีของพี่สาวผม เธอนั้นอยู่เรียนโรงเรียนเดียวกัน ผมแน่ใจว่าเธอจะต้องมีประสบการณ์ที่แย่ๆ กับผมมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง

 

“ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นการรบกวน ทั้งฉันหรือกับแม่ก็ด้วยนะ พวกเรารู้ว่ามันมีบางคำ……ที่ไม่ควรที่จะล้ำเส้นมันไป แต่อันที่จริงก็พวกเราก็ได้เอาแต่ล้ำเส้น–” (ยูริ)

 

 สีหน้าของเธอนั้นบิดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิด และหมัดที่กำแน่นของเธอก็ทุบลงบนผิวน้ำ

 

“แต่ว่าฉันก็ต้องการให้นายสังเกตเห็นอะไรบางอย่างนะ นายน่ะไม่ต้องการอะไรจากใคร แต่ว่านายก็ต้องการให้ใครสักคนมาตอบรับนาย แล้วนายไม่คิดว่านี่มันจะไม่ยุติธรรมไปหน่อยรึไงกัน?” (ยูริ)

 

พี่สาวกำลังเข้ามาหาผม ระยะห่างระหว่างเราลดลงเหลือศูนย์ และผมก็สามารถเห็นหน้าอกของเธอที่มาอยู่ตรงหน้าผมได้ชัดเจน พวกมันมีขนาดใหญ่มาก แล้วมือของเธอก็ได้วางลงบนหน้าผากของผมเบาๆ และเสยเส้นผมขึ้น

 

“ฉันไม่สามารถกำจัดรอยแผลเป็นนี้ได้” (ยูริ)

 

“ผมขอโทษที่จะต้องให้พี่มาเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู” (ยูกิ)

 

“ตราบใดที่นายยังคงให้อภัยฉัน ฉันก็จะไม่ให้อภัยตัวเอง” (ยูริ)

 

นิ้วของเธอลูบไล้บาดแผลอย่างแผ่วเบานุ่มนวล ราวกับว่าเธอกำลังสำผัสกระจกบอบบางที่พร้อมจะแตกได้ตลอดเวลา มันเป็นรอยแผลเป็นยาวประมาณสองเซนติเมตรในระหว่างเส้นผมของผม มันเป็นรอยแผลเป็นที่ได้มาในตอนที่ผมนั้นถูกผลักตกลงจากอุปกรณ์ของสนามเด็กเล่น

 

“มันมองไม่เห็นหรอกนะครับ มันไม่เป็นไร” (ยูกิ)

 

“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ! ก็เพราะว่านายเป็นแบบนี้ ฉันถึง………. ยูกิโตะ ฟังฉันนะ ฉันน่ะไม่สนใจในสิ่งที่นายทำกับฉันหรอกนะ ฉันน่ะจะยอมทำทุกอย่างที่นายต้องการ” (ยูริ)

 

“งั้นผมขอจับหน้าอกพี่ได้ไหม” (ยูกิ)

 

“งั้นเอาเลย” (ยูริ)

 

“ผมแค่หลุดปากกกก” (ยูกิ)

 

ผมกลับถูกตอบตกลงทันที แน่นอน ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นแค่เพียงสิ่งที่เกินไปกว่าจะอดพูดไม่ได้ ก็มันช่วยไม่ได้นี่! ก็มันมาอยู่ตรงหน้าผมเลยนะรู้ไหม๊ นี่ผมน่ะพยายามจะละสายตาจากมันมาสักพักนึงแล้วด้วย แต่ว่าผมก็ละสายตาไปจากมันไม่ได้เลย มันมีพลังดึงดูดที่คุกคามหนักมาก มันน่ะเป็นอปไปเลยนะ และนี่ก็คงเป็นสิ่งที่เค้าเรียกกันโดยทั่วไปว่าพลังแห่งเวทย์มนตร์……

 

“แล้วตอนนี้ นายไม่ได้คิดที่จะหายตัวไปจากเราจริงๆ ใช่ไหม?” (ยูริ)

 

“ไม่ ผมไม่ไปหรอกน่า” (ยูกิ)

 

และคงต้องขอบคุณยูกิกะซังที่ทำให้ผมนั้นสามารถเอาตัวรอดมาได้ ถึงแม้จะโชคร้าย แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณเธอ และผมก็ไม่ได้อยากที่จะตายอีกต่อไป ผมนั้นแน่ใจว่านั่นคือวิธีที่จะทำให้ผมนั้นจะยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เธอหมายถึงอย่างการหายตัวไปก็ได้

 

“ฉันน่ะมีความรู้สึก ว่านายกำลังจะหายไป เพราะว่านายน่ะเอาแต่อยากจะอยู่คนเดียว และนายเองก็รู้ดีว่าใคร ว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวนายเอง นั้นคอยเฝ้าจะทำร้ายนาย และไหนนายก็ยังรู้ดีอีกว่านายกำลังจะไปทำร้ายคนอื่นอีก” (ยูริ)

 

“ก็ใช่มันเป็นแบบนั้น” (ยูกิ)

 

มันช่างเป็นคำพูดเฉียบขาดที่บาดใจผม ไม่ว่าผมนั้นจะทำอะไร ผมก็ไม่อาจตอบสนองต่อความรู้สึกของใครกลับได้ แล้วงั้นผมควรจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าหากผมต้องการให้ใครสักคนมีความสุข และถ้าหากพวกเขาเองก็ต้องการให้ผมมีความสุข มันก็เลยทำให้ผมเหลือทางเพียงเลือกเดียวเท่านั้น

 

พี่สาวของผมทรุดตัวลงมาหาหลังเธอสัมผัสบาดแผล ดวงตาที่เปียกชื้นของเธอนั้นสั่นไหว พวกมันเป็นสีดำสนิท ดูลึกพอๆ กันกับหินออบซิเดียน แล้วตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในบ่อน้ำพุร้อน ผมจึงไม่อยากจะพูดเรื่องน้ำหนักกับผู้หญิงเพราะว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาด แต่ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ออกจากร่างกายของเธอโดยตรง

 

 ก็ถ้าหากว่ารู้มากขนาดนี้แล้วยังจะพยายามเข้าหาผมต่ออีกทำไมล่ะ? มือที่เคยผลักผมออกไปแล้วนั้น และในตอนนี้…

 

“—เฮ้ ช่วยบอกฉันที ความจริงน่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น วันที่ฉันพยายามจะฆ่านาย และในตอนที่นายหายไป มันเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ คำขอโทษมันก็ลบล้างไม่ได้ แต่ฉันก็ยังสงสัย เพราะในตอนที่นายโทรมาหาฉัน แล้วนายพูดว่า—” (ยูริ)

 

 มันยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ถึงแม้ว่าผมจะค้นหาคำตอบในเศษกากตะกอนที่สะสมอยู่ในซอกส่วนลึกของความทรงจำ ทุกสิ่งมันก็เป็นเพียงอดีต

 

พี่สาวของผมนั้นเสียใจ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงเสียใจ ผมมั่นใจแล้วว่าเหตุผลที่เธอแอบเข้ามาในห้องนอนผมในตอนกลางคืนขณะที่ผมหลับอยู่นั้นเป็นเพราะว่าเธอยังคงเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด

 

 -เธอได้ทรมานมามากพอแล้ว เพียงพอแล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมยังคงบอกให้อภัยกับเธอ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย เธอไม่ใช่คนเลว มันเป็นความผิดของผม มันเป็นความผิดของผมเอง ไม่มีทางเป็นอะไรอย่างอื่น มันไม่มีคำตอบที่เธอต้องการ

 

จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงเสียใจอยู่ เธอสามารถออกไปพบกับสิ่งต่างๆอย่างอื่นอีกได้มากมาย เพื่อที่จะได้สามารถทำให้ชีวิตของเธอนั้นง่ายขึ้น

 

 -เธอได้ทรมานมามากพอแล้ว เพียงพอแล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมยังคงบอกให้อภัยกับเธอ มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย เธอไม่ได้เป็นคนไม่ดี มันเป็นความผิดของผม มันเป็นความผิดของผมเอง ไม่มีทางเป็นอะไรอย่างอื่น มันไม่มีความเป็นจริงอะไรที่เธอกำลังตามหา

 

 แต่ก็ยัง…

 

 ทำไมกันล่ะ?

 

“เป็นไปได้ไหมว่ามีคนมาลักพาตัวนายไปในวันนั้นน่ะ?” (ยูริ)

 

———————————————————————————

 

 

 

[มุมมองของ ยูริ] 

 

มันเป็นความสงสัยที่ฉันมีมานานแล้ว น้องชายของฉันนั้นก็เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้

 

 ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้บาปที่มีของฉันนั้นลดน้อยลง ซึ่งบางทีก็ทำให้มันหนักมากขึ้นก็เป็นได้ หากว่ามันไม่ช่วยให้ลดลง มันก็คงจะเป็นบาปอีกอย่างหนึ่งที่ฉันได้ทำ

 

 ฉันกลัวเกินกว่าที่จะไปแตะต้องมันเข้า

 

 หากดูเพียงผิวเผินนั้น ก็ดูจะไม่สามารถที่จะเป็นอะไรแบบนั้นได้ แล้วตัวน้องชายของฉันเองได้ปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นด้วยตัวเอง

 

 ในตอนนั้น เขาก็ตอบกลับมาว่า

 

 ’ผมไปเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นด้วยตัวเองและผมก็หล่นลง ผมพยายามจะกลับบ้าน แต่ว่าผมก็หลงทาง’

 

ชื่อของฉันไม่ได้ถูกเอ่ยขึ้น ฉันเองก็ปิดปากเงียบ น้องชายของฉันปกป้องฉันทั้งๆที่ฉันพยายามจะฆ่าเขา ด้วยเหตุนี้แล้วคนที่รู้ความจริงก็จึงมีเพียงสมาชิกในครอบครัวของเราเท่านั้น แต่มันก็มีบางอย่างที่ฉันก็ไม่รู้อยู่อีกเหมือนกัน มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของฉันหลังจากที่ฉันผลักเขาแล้วในวันนั้น เป็นหกวันที่ว่างเปล่า

 

ฉันได้พยายามจะฆ่าน้องชายของตัวเอง แล้วเขาก็หายไป เกือบหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันก็ได้พบกับน้องชายที่บาดเจ็บสาหัสจากการหายตัวไปอีกครั้ง เขายังมีชีวิตอยู่ แต่มันก็มีราคาที่แพงมากที่จะต้องจ่ายไป แล้วนั้นมันก็แพงจนเกินไป

 

รอยแผลเป็นที่จะคงอยู่ตลอดไป เขาไม่ยิ้มอีกต่อไป และหยุดเรียกฉันว่าพี่สาว และเขาขอโทษฉันที่ไม่สามารถจะหายไปได้ ไม่ว่าฉันจะไปขอโทษเขาสักกี่ครั้ง ไม่ว่าฉันจะขอให้ช่วยลงโทษมากสักแค่ไหน น้องชายของฉันยังคงยกโทษให้กับฉัน เขาไม่เคยตำหนิฉันหรือโกรธฉันเลย

 

น้องชายของฉันนั้นถูกพบในอีกเมืองติดกัน แล้วเมืองที่เราอาศัยอยู่ก็มีขนาดใหญ่พอสมควร ระยะห่างระหว่างที่เราอยู่กับเมืองถัดไปนั้นไม่ได้เป็นอะไรที่น้องชายของฉันซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจะสามารถเดินไปได้ แล้วในที่ที่เขาถูกพบนั้นมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กจะไปถึงได้ด้วยตัวคนเดียว

 

 แล้วทำไมเขาถึงไปอยู่ที่นั่นได้กัน?

 

ฉันเองก็อยากจะเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อันที่จริงแล้ว น้องชายของฉันตอบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงกระนั้น มันอาจจะเป็นเพียงความสงสัยของตัวฉันเอง ที่ฉันนั้นยังคงนึกสงสัยไปอยู่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ บางทีมันอาจเป็นแค่ภาพลวงตาที่ฉันนั้นพยายามคิดขึ้นเอาเอง เพราะเพียงแค่ฉันอยากจะได้รับการลงโทษ

 

 ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถสลัดมันออกจากหัวได้

 

 น้องชายของฉันไม่เคยโกหก เป็นเด็กดี ซื่อสัตย์ เขาน่ารัก

 

แต่นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ได้โกหกด้วยเหตุเพื่อตัวของเขาเอง ถ้าหากมันเป็นการทำเพื่อคนอื่น ถ้าทำเพื่อปกป้องคนอื่น เขาก็จะโกหกออกไปได้โดยไม่ลังเลเลย เขาจะทำการซ่อนความจริงและแทนที่ทุกอย่างด้วยเรื่องแต่งในจินตนาการ มันจึงเป็นผลที่ทำให้เขาไม่ได้สนใจว่าเขาได้รับบาดเจ็บไปมากสักแค่ไหน

 

 เขาโทษตัวเองจนถึงขั้นยอมได้แม้กระทั้งจะต้องเสียสละตัวเอง

 

 มันเป็นเรื่องที่ฉันก็เพิ่งจะรู้ตัวได้มาเมื่อไม่นานมานี้เอง

 

นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ความสงสัยที่เคยเป็นเพียงสิ่งที่ผูกติดลอยอยู่เหนือเรื่องต่างๆของฉันมาเป็นเวลานาน และฉันก็พยายามจะเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่แล้วมันก็กลับเข้ามาอยู่ในความคิดของฉันอีกครั้ง

 

 – มีความเป็นไปได้ที่วันนั้นเขาจะถูกใครสักคนลักพาตัวไป

 

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงอยากจะมาบอกกับผมในเรื่องนี้ บางทีเธอคงจะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยเด็กละนะ แล้วผมก็อ่านความคิดของอื่นไม่ได้ซะด้วยสิ ในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของเธอมันก็ได้ทำร้ายผมไปมากกว่าสิ่งที่เคยผ่านมาทั้งหมดเสียอีก ผมจำไม่ได้นะว่าพวกเราเคยไปสัญญาว่าจะแต่งงานอะไรกันไว้รึเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นได้บ่อยๆกับหลายๆคนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่ยังไงเธอนั้นก็พิเศษสำหรับผม เธอคงมีเหตุผลนั่นแหล่ะ แล้วผมก็ถูกผลักให้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset